ตอนที่แล้วบทที่ 4 นักเวทย์และม้ากระดูก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 6 เมืองใต้ดิน

บทที่ 5 หมอผี


แม้ว่าภายนอกนักพรตจะดูไม่ได้มีทีท่าหวาดระแวงอะไร แต่อังเกอร์ก็สัมผัสได้ถึงคลื่นจิตวิญญาณของหัวกะโหลกม้าโครงกระดูก ที่คอยกวาดสายตาตรวจสอบร่างของเขาเป็นระยะๆ แน่นอนว่า ถึงแม้ไม่มีม้าโครงกระดูกคอยเฝ้าระวัง อังเกอร์ก็ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับนักพรตผู้นี้อยู่แล้ว เขาเป็นแค่โครงกระดูกตัวเล็กๆ ที่ชอบปลูกผัก ไม่เหมือนซอมบี้ตัวเล็กที่ชอบหาเรื่องใส่ตัว

การที่เขาอุดช่องทางเชื่อมระหว่างหลุมทั้งสองเป็นเพราะเขาก็กังวลเรื่องนี้เช่นกัน เขากลัวว่าซอมบี้ตัวเล็กจะได้ยินเสียงอะไรแล้วมุดข้ามมา

คืนนั้นผ่านไปอย่างเงียบสงบ วันที่สองพายุเพิ่งสงบ นักพรตตื่นขึ้น เขาขยี้หน้าขยี้ตาเสียแรงๆ ซักที เพื่อให้ตื่นเอาเป็นว่าไปล้างหน้าแล้วกัน

หลังจากตื่นเต็มที่แล้ว เขามองอังเกอร์อย่างประหลาดใจ แล้วหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า "นี่มันเป็นโครงกระดูกที่ไร้เสียงจริงๆ เลย หาโครงกระดูกที่เงียบขนาดนี้ได้ยากนะ หวังว่าครั้งหน้าที่ข้ามาเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่นะ"

นี่เป็นคำอวยพรที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา ในบริเวณนี้ โครงกระดูกมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันรวดเร็วมาก ถ้ามีพวกตัวแสบๆ อย่างซอมบี้ตัวเล็กสักสองสามตัว ความเร็วในการผลัดเปลี่ยนก็จะยิ่งเร็วขึ้นไปอีก

อังเกอร์ถือเป็นโครงกระดูกที่เงียบมากๆ แล้ว แต่ก็ยังถูกนักพรตมาเคาะประตูอยู่ดี โชคดีที่นักพรตคนนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นผู้ล่าตัวอื่นๆ ล่ะก็ ปัญหาใหญ่แน่ๆ ดังนั้น 'ครั้งหน้ายังมีชีวิตอยู่' จึงไม่ใช่เป้าหมายที่บรรลุได้ง่ายๆ ต้องอาศัยโชคช่วยมากทีเดียว

นักพรตปีนออกจากโพรงใต้ดิน เอาหัวกะโหลกม้าประกอบเข้ากับตัว ปู๊ดดดด! เปลวไฟสีน้ำเงินพุ่งออกมาจากรูจมูกของม้าโครงกระดูก มันลุกขึ้นยืนอย่างกระฉับกระเฉง

นักพรตจูงม้าโครงกระดูกเดินไปสองสามก้าว แต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาหันกลับมาพูดว่า "โอ้โอ้โอ้ ไม่สุภาพเลย ลืมแนะนำตัวซะงั้น ข้าชื่ออายส์เค เป็นพ่อค้าเร่ที่ท่องไปบนถนนทองคำ และยังเป็นนักพรตศพด้วย"

อายส์เคทำท่าไหว้อย่างนอบน้อม โค้งศีรษะให้อังเกอร์ แล้วเดินลงไปที่ทุ่งราบทางเบื้องล่าง

อังเกอร์มองตามหลังอายส์เค ไปยังทิศทางที่เขากำลังมุ่งไป แสงวิญญาณในดวงตาของอังเกอร์กะพริบวูบวาบสองสามที ไม่รู้เขาคิดอะไรอยู่ในใจ เขาปีนออกจากโพรงใต้ดิน และเดินตามหลังอายส์เคไปในทิศทางที่เขาเดินไป

อายส์เคเดินไปได้ไม่ไกลก็สังเกตเห็นอังเกอร์ เขาหยุดเดิน อังเกอร์ก็หยุดเดิน เขาเดินต่อ อังเกอร์ก็เดินตามต่อ ตลอดเวลารักษาระยะห่างสักสองสามสิบเมตร ท่าทางกวนๆ นั้นเหมือนซอมบี้ตัวเล็กเป๊ะ โดยไม่รู้ตัว อังเกอร์ก็ได้รับอิทธิพลจากซอมบี้ตัวเล็กไปบ้างแล้ว

เห็นแบบนี้แล้วอายส์เคก็ส่ายหัวพลางหัวเราะ เขาไม่สนใจอังเกอร์อีกต่อไป

พอลงจากเนินเขามา โครงกระดูกบนถนนก็เริ่มมีมากขึ้น พวกโครงกระดูกระดับต่ำต่างพากันวิ่งหนีม้าโครงกระดูกไปจนหมด เส้นทางโล่งไร้สิ่งกีดขวาง จนมาถึงโพรงใต้ดินที่อังเกอร์เคยขุดเอาไว้ มีโครงกระดูกสีเทาตัวหนึ่งปีนขึ้นมาจากโพรง

นั่นก็คือโครงกระดูกที่พาลูกน้องมาไล่ล่าอังเกอร์กับซอมบี้ตัวเล็กนั่นเอง ดูเหมือนมันจะพบข้อดีของโพรงใต้ดิน เลยยึดเป็นของตัวเองซะงั้น

ขณะที่โครงกระดูกตัวอื่นๆ วิ่งหนีม้าโครงกระดูกไปแล้ว โครงกระดูกสีเทาตัวนี้กลับไม่ตกใจ มันปีนขึ้นมาบนพื้น ยืดตัวโค้งโก่ง อ้ากรามกว้าง ส่งเสียงคำรามแห่งวิญญาณดังกึกก้อง

บริเวณโดยรอบโพรงเหมือนถูกปลุกให้ตื่น มีโครงกระดูกระดับต่ำอีกสิบกว่าตัวพากันปีนขึ้นมาเป็นระลอก

ต่างจากตอนที่ถูกไล่ล่าเมื่อครั้งก่อน จำนวนลูกน้องของโครงกระดูกสีเทาลดลงไปมาก เหลืออยู่แค่สิบกว่าตัว หลายตัวมีรอยบุ๋มจากการโดนทุบอยู่บนใบหน้า

อังเกอร์คิดว่านี่น่าจะเป็นฝีมือของซอมบี้ตัวเล็ก ตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่ถูกไล่จนหน้าโดนฟันเป็นแผลยาว ซอมบี้ตัวเล็กชอบทุบหน้าคนอื่นเป็นพิเศษ มีหลายครั้งที่โครงกระดูกที่มันลากกลับมา แก้มจะมีรอยบุ๋มคล้ายๆ กันแบบนี้

ช่วงนี้ซอมบี้ตัวเล็กออกไปแต่เช้าและกลับดึกทุกวัน คงไม่ใช่ไปหาเรื่องลูกน้องของโครงกระดูกสีเทานะ?

มีใครบางคนบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของตน โครงกระดูกสีเทาโมโหมาก มันชักกระดูกมีดของตัวเองออกมา และออกคำสั้งให้ลูกน้องให้พุ่งเข้าใส่เป้าหมายในทันที

ความจริงแล้ว ม้าโครงกระดูกมีระดับแค่กระดูกขาว ต่ำกว่าโครงกระดูกสีเทาหนึ่งระดับ แต่ขนาดตัวกลับใหญ่กว่าหลายเท่า โดยหลักการแล้ว พละกำลังของม้าโครงกระดูกน่าจะไม่ด้อยกว่าโครงกระดูกสีเทา

แต่ม้าโครงกระดูกกลับไม่ยอมเผชิญหน้ากับโครงกระดูกสีเทา แต่กลับหลบไปข้างหลัง           ของอายส์เคอย่างหวาดกลัว

อายส์เคก้าวขาไปด้านหน้าด้วยมือเปล่า สองมือประกบเข้าหากันจนเป็นรูปกรงเล็บ แล้วใช้ฝ่ามือกระทุ้งออกไปใส่โครงกระดูกสองตัวที่อยู่ตรงหน้าสุด พลังอำนาจเหนือธรรมชาติบางอย่างเกิดขึ้นในทันทีระหว่างโครงกระดูกกับอายส์เค เปลวไฟแห่งวิญญาณของโครงกระดูกถูกดึงออกมาจากกะโหลกเป็นสายๆ แล้วไหลมารวมตัวกันที่ฝ่ามือของเขา

อังเกอร์มองดูอย่างใจหายวาบ นี่มันเวทมนตร์อะไรกัน?

เปลวไฟแห่งวิญญาณถูกกระชากออกมา กลายเป็นเปลวเพลิงวิญญาณสองก้อนในฝ่ามืออายส์เค ก่อนที่เขาจะรัวสวดคาถาด้วยเสียงเบาหวิว: จี้หลี่กู่หลู่... อังเกอร์ฟังไม่ถนัดนัก

อายส์เคปาเปลวเพลิงวิญญาณสองก้อนลงบนพื้น ปุ๊บปั๊บ! วิญญาณผีสองตนหวีดร้องและพุ่งออกมาจากเปลวเพลิงวิญญาณที่ระเบิด พร้อมโฉบเข้าใส่โครงกระดูกสีเทา

โครงกระดูกสีเทาฟาดมีดกระดูกเข้าใส่วิญญาณผี มีดกระดูกผ่าเข้าวิญญาณผีตรงกลางเป๊ะ แต่วิญญาณผีที่แยกเป็นสองซีกนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด พอข้ามคมมีดไปได้ก็กลับมารวมเป็นเนื้อเดียวกันใหม่ แล้วเกี่ยวพันไปกับร่างของโครงกระดูกสีเทา

โครงกระดูกสีเทายื่นมือออกไปคว้าวิญญาณผีไว้ทันที วิญญาณผีที่ไร้ซึ่งเนื้อหนังกลับถูกคว้าจับได้ และถูกกระชากออกมา

ท่ามกลางเสียงหวีดร้องแหลมเสียดหู วิญญาณผีชูกรงเล็บสองข้างอย่างบ้าคลั่งขูดข่วนเข้าใส่ดวงตาที่เป็นโพรงของโครงกระดูกสีเทา

โดยปกติเปลวไฟแห่งวิญญาณนั้นจะลุกโชนอยู่ในโพรงตา โครงกระดูกสีเทาอาจเกรงกลัวบ้าง จึงหันหน้าหลบเลี่ยงการขูดข่วนของวิญญาณผี ขณะเดียวกันก็กำแขนอีกข้างเป็นหมัด ทุบทุ่มใส่ร่างที่ร่องลอยของวิญญาณผีทีละหมัดๆ

วิญญาณผีไร้ร่างยังถูกทุบจนกรีดร้องอย่างน่าสังเวช สุดท้ายก็ถูกกระหน่ำทุบจนแตกละเอียด หลังสังหารวิญญาณผีไปหนึ่งตน โครงกระดูกสีเทาก็ยังคงต่อสู้กับวิญญาณผีอีกตนหนึ่งต่อ

แค่นี้ก็เพียงพอให้อายส์เคได้มีเวลาเหลือเฟือแล้ว เขากระทุ้งมือซ้ายออกอีกครั้ง สองโครงกระดูกด้านหน้า วิญญาณถูกดึงถอนออกมาแบบเดียวกันกับสองตัวก่อน แล้วรวมตัวเป็นหนึ่งก้อนเปลวเพลิงวิญญาณ

เขารัวสวดคาถาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปาก้อนเพลิงลงพื้น

เปลวเพลิงวิญญาณลุกโชนขึ้น ขยายตัวออกไปราวกับคลื่นน้ำ เมื่อสัมผัสกับสิ่งใด ก็จะกลายเป็นกรงเล็บสองข้าง กอดรัดสิ่งนั้นให้อยู่กับที่

กรงเล็บเหล่านั้นบางมาก อังเกอร์รู้สึกว่าตนเองน่าจะดิ้นหลุดได้ แต่โครงกระดูกพวกนั้นทำไม่ได้แน่ๆ พวกมันถูกกักขังให้ติดอยู่กับที่ กลายเป็นเป้านิ่งไปแล้ว

อายส์เคยิงศรเงาสลัวออกไปทีละดอกๆ พุ่งเข้าสู่ช่องโพรงตาของโครงกระดูก ระเบิดเปลวไฟแห่งวิญญาณในกะโหลกจนแตกกระจาย พอโครงกระดูกสีเทาทำลายวิญญาณผีได้ทั้งสองตน กลับพบว่าลูกน้องสิบกว่าคนของตนกลายเป็นซากกระดูระเกะระกะเต็มพื้นไปแล้ว

โครงกระดูกสีเทาเหลือตัวเดียวเพียงลำพังยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอายส์เค เมื่อเขาปาก้อนเปลวไฟสีดำใส่หัวของมัน กะโหลกศีรษะทั้งใบก็ลุกเป็นไฟ พอเปลวไฟมอดดับลง กะโหลกก็ยังคงสภาพสมบูรณ์ไร้ริ้วรอย แต่วิญญาณข้างในนั้นกลับสลายหายไปจนหมดสิ้น

วิญญาณของโครงกระดูกสีเทาชุดนี้ถูกอายส์เคกำจัดลงได้อย่างง่ายดาย แถมยังดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ออกแรงอะไรมาก แม้กระทั่งม้าโครงกระดูกที่น่าจะต่อกรเดี่ยวกับโครงกระดูกสีเทาได้ก็ยังไม่ได้ลงมือด้วยซ้ำ

อายส์เคไม่แสดงอาการตื่นเต้นอะไร ประหนึ่งแค่ทำเรื่องเล็กน้อยให้เสร็จไปหนึ่งเรื่อง เขาหันมามองอังเกอร์อีกครั้ง ก่อนจะจูงม้าโครงกระดูกตรงไปยังทิศของเสาหิน การมาถึงโพรงเก่าที่อังเกอร์เคยขุดไว้บ่งบอกว่าไม่ไกลจากเสาหินสองต้นที่เป็นช่องทางมิติแล้ว

เมื่อมาถึงหน้าเสาหิน อายส์เคปรุงแต่งเสาอย่างใส่ใจ เขาหยิบคริสตัลสีฟ้าจากย่ามข้างเอวออกมาสองสามเม็ด ฝังลงบนเสาหินในตำแหน่งต่างๆ จากนั้นเขาคุกเข่าลงอย่างสำรวมตรงหน้าเสาหิน ภายใต้การกราบไหว้ของเขา แสงสว่างก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากเสาหินทั้งสองต้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด