ตอนที่แล้วบทที่ 3 ซอมบี้ตัวน้อย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 5 หมอผี

บทที่ 4 นักเวทย์และม้ากระดูก


ภายใต้การปกป้องของอังเกอร์ ซอมบี้น้อยก็เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง ผ่านพ้นช่วงแรกเกิดอย่างปลอดภัย กลายเป็นซอมบี้หนังเหนียวที่แข็งแกร่งตัวหนึ่ง

นี่คือซอมบี้ระดับต่ำสุด อยู่ในระดับเดียวกับโครงกระดูกผุพัง แต่เนื่องจากมีชั้นหนังและเนื้ออยู่ จึงมีพลังป้องกันที่สูงกว่า และมีพลังต่อสู้แข็งแกร่งกว่าโครงกระดูกผุพังด้วย

จนกระทั่งวันหนึ่ง ซอมบี้น้อยลากโครงกระดูกผุพังมาที่หลุม ผลักมันมาไว้ตรงหน้าอังเกอร์

ให้ข้าเหรอ?อังเกอร์ เอียงศีรษะไปมา

ซอมบี้น้อยพยักหน้า ดันกะโหลกศีรษะของโครงกระดูกมาทางอังเกอร์

อังเกอร์ ส่ายศีรษะ วิญญาณของโครงกระดูกผุพังนั้นอ่อนแอเกินไป ถ้ากลืนกินเข้าไป กลัวว่ามันจะไม่เร็วเท่าการอาบลมแห่งชีวิตเพื่อเพิ่มกำลังให้กับตนเอง

ซอมบี้น้อยก้มศีรษะลงอย่างหมดหวัง ลากโครงกระดูกออกไป แต่หลังจากนั้น โครงกระดูกผุพังที่อยู่ใกล้เคียงก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย ไม่มีสักตัวที่รอดพ้นจากลูกมือของซอมบี้น้อย

หากเจอโครงกระดูกขาวที่ต่อสู้ไม่ได้ มันก็จะหนีกลับมายังอาณาเขตของอังเกอร์ ภายในรัศมี 30 เมตรโดยรอบนี้ แม้แต่โครงกระดูกขาวก็ไม่กล้าเข้ามา

แม้ว่าบริเวณใกล้เคียงจะมีซอมบี้น้อยผู้ขยันล่าเหยื่อเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรอบ พื้นที่ว่างที่ถูกสร้างขึ้นจะถูกเติมเต็มได้อย่างรวดเร็วด้วยโครงกระดูกจากที่อื่นที่เดินทางมา ซากกระดูกที่ซอมบี้น้อยทิ้งไว้เหล่านั้น หลังจากได้รับการปัดพัดจากสายลมแห่งชีวิตเป็นเวลาหนึ่งคืน วิญญาณใหม่ก็อาจจะเกิดขึ้นมาใหม่

นี่คือวัฏจักรที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ตาย สิ่งเดียวที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ก็คือพลังวิญญาณของอังเกอร์ และซอมบี้น้อย

หากไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอังเกอร์ อาจจะอยู่ในหลุมนี้ไปตลอด เช่นเดียวกับที่เขาปลูกผักในฟาร์มมาเป็นเวลากว่าพันปี แต่แล้วความวุ่นวายก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน วันนี้ ซอมบี้น้อยวิ่งกลับมาในหลุมด้วยความตื่นตระหนก ผลักอังเกอร์ แล้วชี้ไปที่ด้านนอกอย่างบ้าคลั่ง

บนใบหน้าของซอมบี้น้อยมีรอยแผลลึกจนเห็นกระดูกเพิ่มขึ้นมาหนึ่งรอย ไม่รู้ว่าถูกอะไรฟันมา

อังเกอร์ โผล่ศีรษะออกไปดู เห็นเพียงโครงกระดูกสีเทาหนึ่งโครง นำโครงกระดูกระดับต่ำอีกราวยี่สิบโครงบุกเข้ามาในอาณาเขตของอังเกอร์ อย่างคึกคะนอง

เช่นเดียวกับอังเกอร์ โครงกระดูกสีเทาก็ไม่มีความได้เปรียบในระดับชั้น ภายใต้การนำของมัน โครงกระดูกระดับต่ำเหล่านั้นจึงไม่สนใจการกดทับทางระดับ

ซอมบี้น้อยไปแหย่รังโครงกระดูกหรือเปล่านะ?

อังเกอร์ไม่พูดอะไร ลากซอมบี้น้อยออกจากหลุมทันที เขาคิดว่าตัวเองน่าจะสู้โครงกระดูกสีเทาระดับเดียวกัน และลูกน้องสักยี่สิบสามสิบคนของมันไม่ได้

อังเกอร์และซอมบี้น้อยวิ่งนำหน้าไป โครงกระดูกสีเทานำทีมวิ่งไล่ตามหลังไปได้สองสามกิโลเมตร โครงกระดูกสีเทาถึงได้ตัดใจหยุดล่า

"เจ้าทำอะไรลงไป?" เมื่อคิดว่าปลอดภัยแล้วอังเกอร์ ถามขึ้นด้วยการส่งกระแสจิตออกไป

ซอมบี้น้อยเบิกตากว้าง มองดูอังเกอร์ อย่างงุนงง สติปัญญาของมันไม่เพียงพอที่จะตอบคำถามของอังเกอร์

ช่างมันเถอะอังเกอร์ ถอดใจ เพื่อนร่วมส่ยพันธุ์ในฟาร์มก่อนหน้านี้ของเขาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น พอถามคำถามมัน มันก็จะจ้องมองเขาด้วยสายตางุนงงแบบนี้ ซอมบี้น้อยนี่ก็นับว่าดีแล้ว โดนไล่ตามแล้วยังรู้จักวิ่งกลับมาบอก…

ไม่สิ ถ้าซอมบี้น้อยไม่วิ่งกลับมา โครงกระดูกสีเทานั่นก็คงจะไล่ตามแต่มัน และเขาคงไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้?

เจ้าทำให้ข้าเกือบตาย...อังเกอร์ เคาะที่ศีรษะของมันหนึ่งที

เพราะซอมบี้น้อยก่อเรื่องเข้า อังเกอร์จึงถูกขับไล่ออกจากโพรงที่อยู่มาเป็นเวลาหลายเดือน ใกล้จะมืดแล้ว จำเป็นต้องหาที่หลบลมโดยเร็วที่สุด

จะเดินกลับไปตอนนี้ก็คงไม่ทัน อังเกอร์จึงตัดสินใจขุดหลุมเอาตรงนั้นเลย แล้วดึงซอมบี้น้อยเข้าไปหลบ เนื่องจากหลุมค่อนข้างตื้น จึงจำเป็นต้องกวาดดินโดยรอบมากองทับร่างของทั้งสองเอาไว้

เช้าวันรุ่งขึ้นทันทีที่ลมหยุดพัด อังเกอร์ก็คลานออกมา เขาขุดหลุมห่างออกไปสองสามเมตรแล้วโยนซอมบี้น้อยลงไป เขาตัดสินใจไม่ให้ซอมบี้น้อยมาหลบในหลุมของตัวเองอีก เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเดือดร้อนในภายหลังหากมันก่อเรื่อง

แต่ในคืนนั้นเพิ่งเริ่มมีลมพัด ก็มีศีรษะหนึ่งโผล่มาที่ปากหลุมของเขา เห็นว่าอังเกอร์ ไม่ได้ขับไล่ มันก็ถือโอกาสไหลตัวเข้ามา

วันรุ่งขึ้นเขาก็โยนมันออกไป พอตกกลางคืนมันก็วิ่งมาอีก เหมือนกับกำลังเล่นเกม

จนกระทั่งอังเกอร์ ขุดทางเชื่อมระหว่างสองหลุม เกมนี้ถึงจะสงบลง เพราะถ้ามันวิ่งมาอีก มันจะโดนอังเกอร์ เตะลงทางเชื่อม ปล่อยให้มันคลานกลับไปเอง

อังเกอร์ เป็นโครงกระดูกที่ใช้ชีวิตไปตามวัฏจักร  ถ้าไม่มีใครสั่ง เขาก็ยังสามารถปลูกพืชได้นานกว่าพันปี ตอนนี้ถูกไล่ออกจากโพรงที่ปลอดภัย เขาก็ไม่ได้สนใจ แค่ขุดโพรงใหม่ให้ใหญ่กว่าและปลอดภัยกว่าเดิม วันวันก็ซ่อนตัวอยู่ในโพรงเพื่อนำทางลมแห่งความตาย

ซอมบี้น้อยกระฉับกระเฉงกว่าเขามาก ทุกวันพอลมหยุดพัดมันก็รีบวิ่งออกไป โครงกระดูกระดับต่ำแถวนี้ก็ตกเป็นเหยื่อมันอีกครั้ง แต่วิญญาณของมันกลับเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการต่อสู้ไม่หยุดนี่แหละ

ตอนแรกคิดว่าวันนี้ก็จะเหมือนเดิม แต่เพิ่งเริ่มมีลมไม่นานอังเกอร์ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ไม่นานก็เห็นใครบางคนไถลตัวลงมาในหลุม

นี่คือมนุษย์คนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุม ดูอายุราวสี่ห้าสิบปี ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยจากความเหน็ดเหนื่อย มือถือไม้เท้าวิเศษอันประณีต ร่างกายเต็มไปด้วยพลังเวทย์อันทรงพลัง นี่คือนักเวทย์มนุษย์

นักเวทย์มนุษย์พบโครงกระดูกอย่างอังเกอร์ ในโพรง เขาอุทานด้วยความประหลาดใจว่า "หือ โครงกระดูก? ทำไมโครงกระดูกถึงปีนขึ้นมาบนเนินได้ล่ะ? เอ่อ ขอโทษนะครับที่รบกวน ขออนุญาตหลบลมในนี้ได้ไหม?"

นักเวทย์มนุษย์แค่ถามไปอย่างนั้นเอง ตามที่ทุกคนรู้กัน โครงกระดูกต้องมีระดับถึงขั้นทองคำถึงจะมีสติปัญญา โครงกระดูกทั่วไปจะทำตามสัญชาตญาณมากกว่า ถ้าพบสิ่งที่เป็นภัยคุกคามก็จะเข้าโจมตี บางทีโครงกระดูกตรงหน้านี้ อีกประเดี๋ยวอาจจะพุ่งเข้ามาหาเขาก็ได้

แต่ในเมื่อกล้าเดินทางในดินแดนแห่งความตาย นักเวทย์มนุษย์ก็ไม่ได้ใส่ใจโครงกระดูกสีเทาธรรมดาอยู่แล้ว มือของเขาถอดหมวกคลุมออก และโบกมือออกไปด้านนอก

กะโหลกศีรษะขนาดใหญ่ยื่นเข้ามาในหลุม ในพริบตาก็เต็มพื้นที่ว่างที่เหลือในหลุมไปหมด นี่คือม้ากระดูก จากโพรงตาที่ว่างเปล่ามีไฟวิญญาณสีฟ้าครามระยิบระยับ

หลุมไม่ใหญ่มาก แค่พอจุโครงกระดูกหนึ่งตัว มนุษย์หนึ่งคน กับศีรษะม้ากระดูกหนึ่งศีรษะ แม้แต่พื้นที่หมุนตัวก็ไม่มี อังเกอร์จึงหดตัวไปที่ปากทางเชื่อมระหว่างโพรงทั้งสอง ปิดทางออกไว้ เพื่อให้มีพื้นที่มากขึ้น

ทำไมตอนที่ลมแห่งความตายกำลังโหมกระหน่ำ ถึงมีนักเวทย์มนุษย์ปรากฏตัวที่นี่ได้? ลมแห่งความตายไม่ส่งผลต่อเขาหรือ? ถึงแม้จะไม่มีผลต่อตัวเขา แต่ม้ากระดูกของเขาจะทนได้อย่างไรล่ะ?

แต่แล้วอังเกอร์ก็ได้รู้ในไม่ช้า

นักเวทย์มนุษย์มองเขาด้วยความสงสัยเป็นอันดับแรก ยืนยันว่าโครงกระดูกตรงหน้าไม่มีความปรารถนาที่จะโจมตี จากนั้นจึงยื่นมือไปแตะที่ศีรษะม้ากระดูก เห็นควันสีดำลอยขึ้นมาจากฝ่ามือของเขา ไหลเข้าไปทางโพรงตา รูจมูก และช่องว่างต่าง ๆ ของม้ากระดูก

ที่ที่ควันดำผ่าน สีของกระดูกม้าก็ค่อย ๆ จางลง อังเกอร์เพิ่งสังเกตว่า กระดูกของม้ากระดูกถูกลมแห่งความตายกัดกร่อน มีร่องรอยของการผุพังบนพื้นผิว

ลมแห่งความตายมีกลไกที่แปลกมาก หากโครงกระดูกนี้มีวิญญาณ ลมแห่งความตายก็จะกัดกร่อนมัน แต่หากมันเป็นเพียงโครงกระดูกที่ไร้วิญญาณ ลมแห่งความตายกลับจะปกป้องมัน ชะลอการผุพัง และอาจแม้กระทั่งก่อให้เกิดไฟแห่งวิญญาณดวงใหม่ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นโครงกระดูก

ม้ากระดูกมีไฟแห่งวิญญาณ ดังนั้นโครงกระดูกจึงถูกกัดกร่อน แต่ร่องรอยของการกัดกร่อนนี้ ก็ค่อย ๆ หายไปภายใต้การปลอบประโลมของควันสีดำ

อังเกอร์เริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมม้ากระดูกนี่ถึงเดินทางภายใต้ลมแห่งความตายได้ ก็เพราะนักเวทย์มนุษย์คอยรักษามันอยู่ตลอดนั่นเอง

แต่นี่เป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองพลังเวทย์อย่างมาก หลังจากที่ควันดำห่อหุ้มศีรษะม้ากระดูก นักเวทย์มนุษย์ก็นึกอะไรบางอย่างได้ เขาตบหน้าผากตัวเอง พูดด้วยความเสียใจว่า "ข้านี่มันโง่จริง ๆ"

นักเวทย์มนุษย์ยื่นมือออกไป บิดศีรษะม้ากระดูกออก ไฟแห่งวิญญาณของโครงกระดูกอยู่ในกะโหลกศีรษะทั้งหมด หลังจากถอดศีรษะออก โครงกระดูกของม้ากระดูกที่เหลืออยู่นอกหลุมก็สูญเสียไฟแห่งวิญญาณไป ลมแห่งความตายจะไม่ทำร้ายมัน

กอดกะโหลกม้ากระดูกเอาไว้ นักเวทย์มนุษย์ยิ้มแห้งใส่อังเกอร์ "เดินทางจนลืมดูเวลา โชคดีที่มีหลุมของเจ้าอยู่ ไม่อย่างนั้นพวกเราต้องถูกลมชั่วร้ายพัดตายที่นี่แน่ ๆ นี่ เจ้ามาอยู่บนเนินนี่ได้ยังไงล่ะ? นี่ไม่ใช่ที่ของพวกโครงกระดูกสักหน่อย มีแต่หินแตก ขุดหลุมลำบากออก"

อังเกอร์ มองนักเวทย์ด้วยโพรงตาอันว่างเปล่า ไม่ได้พูดอะไร ที่นี่ไม่ใช่ที่ของโครงกระดูกงั้นหรือ?

พอคิดดูดี ๆ ก็เหมือนจะใช่จริง ๆ นั่นแหละ หลังจากที่ภูมิประเทศสูงขึ้น โครงกระดูกก็หายไป แม้แต่ซอมบี้น้อยก็ต้องเดินไปถึงที่ราบเชิงเขา ถึงจะหาโครงกระดูกอื่น ๆ มาจัดการได้

เห็นท่าทางเหม่อลอยของอังเกอร์ นักเวทย์ก็หัวเราะเบา ๆ "ไม่ต้องใส่ใจหรอก อยู่ในที่ไม่มีผู้คนเป็นเวลานาน ไม่มีใครให้คุยด้วย ความสามารถทางภาษาถึงกับเสื่อมถอยซะได้ เพราะงั้นไม่ว่าเจออะไร ข้าก็จะลองชวนมันคุยเล่นทุกครั้ง"

โดยไม่สนใจปฏิกิริยาของอังเกอร์ นักเวทย์ก็พูดขึ้นมาเอง เหมือนกับพูดพึมพำ

"เส้นทางนี่ยากจะเดินขึ้นทุกที เจ้ารู้ไหมว่าเส้นทางนี้เคยเรียกว่าอะไร? ถนนทองคำ เส้นทางเมล็ดธัญพืช เส้นทางผ้าไหม ที่ราบลุ่มเบื้องล่างนั้น เมื่อก่อนเคยเป็นศูนย์กลางการขนส่งของจักรวรรดิอมตะ แต่ตอนนี้กลับตกเป็นดินแดนของพวกโครงกระดูกเล็ก ๆ อย่างพวกเจ้าซะนี่"

"หลังจากที่จักรวรรดิอมตะหายสาบสูญไป การค้าบนเส้นทางนี่ก็ยิ่งยากขึ้น ดูจากบันทึกโบราณ ตอนนั้นแค่ตั้งร้านเล็ก ๆ ข้างทางก็ทำกำไรได้เต็มกระเป๋า ไม่เหมือนข้าตอนนี้หรอก ต้องเร่ร่อนไป ๆ มา ๆ ครั้งละครึ่งเดือน แล้วยังไม่แน่ว่าจะหาเลี้ยงชีพได้ถึงสองเดือนไหม ริษยาเจ้าจริง ๆ ไม่ต้องกินไม่ต้องดื่ม ก็มีแต่พวกสิ่งมีชีวิตอมตะอย่างพวกเจ้านั่นแหละ ถึงจะอยู่ที่นี่ไหว"

"ถ้าเปิดช่องทางส่งต่อได้ก็คงดีนะ อาหารของจักรวรรดิอมตะก็จะขายมาที่นี่ได้ ส่วนของที่นี่ก็จะส่งไปขายที่นั่น เส้นทางการค้าคล่องตัว ทุกคนก็จะรวยกันได้ ใช่สิ พวกสิ่งมีชีวิตอมตะอย่างพวกเจ้าไม่ต้องกินอาหาร แล้วทำไมถึงผลิตอาหารมากมายขนาดนี้ล่ะ?"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด