ตอนที่แล้วบทที่ 1 ความเงียบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 3 ซอมบี้ตัวน้อย

บทที่ 2 ชายผู้กำลังจะอดตาย


มาถึงช่วงที่ยุ่งที่สุดของปีอีกแล้ว พืชผลสุกงอม เป็นฤดูเก็บเกี่ยว

อังเกอร์ทำงานอย่างขยันขันแข็ง เคียวในมือเหวี่ยงไปมาอย่างคล่องแคล่ว พืชผลล้มลงเรียงรายกันไปทีละแถวอย่างเป็นระเบียบ เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกำลังจัดเรียงพวกมันอย่างพิถีพิถัน

นี่คือประสบการณ์ที่สะสมจากการทำงานมาตลอดกว่าพันปี เคียวในมือเขาราวกับมีชีวิต จะตัดตรงไหนก็ได้ตามใจ จะตัดลึกแค่ไหนก็เลือกได้ เพื่อให้เงื่อนไขที่ดีกว่าสำหรับการเก็บกู้ในภายหลัง

เขาทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน และค่ำคืนก็ผ่านไปอย่างเงียบ ๆ รุ่งสาง ท้องฟ้าสว่างจ้า เสียงร้องของนกจากรอบ ๆ ก็ค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ นกหลากหลายสายพันธุ์โผบินลงมาบนคันนา จิกกินพืชผลที่หล่นกระจัดกระจาย

หากพวกมันจิกกินแค่พืชที่หล่นเท่านั้น อังเกอร์ก็คงไม่สนใจ แต่เศษพืชที่กระจัดกระจายนั้นจะเทียบอะไรกับผลผลิตอวบอ้วนอุดมสมบูรณ์บนต้นได้ นกน้อยหน้าใหม่ที่ยังไม่เคยเจอบทเรียนจำนวนไม่น้อย จึงข้ามพรมแดนไปจิกกินผลผลิตที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว

อังเกอร์เอียงศีรษะไปมา หันหลังเดินไปที่ขอบนา หยิบหมวกฟางจากศีรษะของหุ่นไล่กาสวมใส่บนหัวของตัวเอง

เมื่อเขาปลดปล่อยพลัง อังเกอร์ก็กลายเป็นเหยี่ยวสวมหมวกฟาง บินโฉบเข้าไปในนาด้วยการกระพือปีก ฝูงนกน้อยที่เกาะอยู่บนผลผลิตต่างตกใจจนอึและฉี่ราด แตกฮือกระจายหนีไปทั่ว ไม่กล้าบินกลับมาอีกนานหลายวัน

หมวกฟางหุ่นไล่กา เป็นอุปกรณ์วิเศษที่สามารถปล่อยกลลวง เพียงปลดปล่อยพลังเวทออกมาเล็กน้อย ก็สามารถกักเก็บพลังเอาไว้ได้เป็นเวลานาน หากไม่มีพลังจิตที่เข้มแข็งกว่าอังเกอร์ ก็ยากที่จะทะลุทะลวงได้ และใช้ได้เพียงหลอกนกเล็ก ๆ ได้

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หุ่นไล่กาที่สวมหมวกเหล่านี้สามารถปล่อยกลลวงได้ด้วยตัวเอง ขู่ไล่ฝูงนกและสัตว์เล็ก ๆ ที่มาขโมยกิน แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกัน หุ่นไล่กาพวกนี้เริ่มไม่มีการเคลื่อนไหวอีกเลย

หลังจากนั้นเป็นต้นมาผลผลิตจำนวนมากลดลงเป็นเวลาหลายปี นกและสัตว์เล็ก ๆ มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ มากจนว่าเพิ่งหว่านเมล็ดพันธุ์ก็ถูกคุ้ยขึ้นมากินแล้ว อังเกอร์จึงเพิ่งรู้ตัวถึงประโยชน์ของหุ่นไล่กา แล้วเขาก็ค่อย ๆ ฝึกปลดปล่อยพลังกลลวงจากหมวกนั่น

ในตอนนี้ เขาได้เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนร่างได้หลากหลายรูปแบบแล้ว เช่น เหยี่ยว สัตว์ที่นกน้อยและสัตว์เล็ก ๆ กลัวที่สุด

เพียงแค่เห็นเหยี่ยวยักษ์กระพือปีกบินวนไปทั่วนา ในขณะที่ผลผลิตก็ถูกเก็บเกี่ยวอย่างต่อเนื่อง ฝูงนกน้อยตะกละพวกนั้นก็ไม่กล้าบินลงมา

ดวงอาทิตย์ขึ้นมาแล้ว แสงแดดส่องลงบนร่างของอังเกอร์ นำความร้อนระอุมาเล็กน้อย

สิ่งมีชีวิตที่ไม่ตายเกลียดแสงแดดที่สุด อังเกอร์ก็เช่นกัน เมื่อนานมาแล้ว หากเขาอยู่กลางแดดนานเกินสองสามนาที เขาก็รู้สึกเหมือนวิญญาณของตนจะระเบิดออก ตอนนั้น เขาจะรีบหาที่หลบแดดให้ได้อย่างเร็วที่สุด

แต่กว่าพันปีผ่านไปแล้ว ถึงแม้อังเกอร์จะยังไม่ชอบแสงแดดอยู่ดี แต่ก็ไม่มีความรู้สึกแย่ ๆ เหมือนเมื่อก่อน โดยเฉพาะตอนที่ยังเหลือผลผลิตให้ต้องเก็บเกี่ยวอีกเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตนยังอดทนอยู่กลางแดดต่อได้อีกสักพัก

ฝืนอยู่กลางแสงแดด เก็บเกี่ยวและมัดฟ่อนผลผลิตแถวสุดท้าย จากนั้นอังเกอร์ก็เข็นรถเข็นเล็ก ๆ ขนพวกมันไปยังโกดังเก็บผลผลิต

ระหว่างเข็นไป อังเกอร์ก็รู้สึกถึงบางอย่างผิดปกติ เขาเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกฟาร์ม ก็พบว่ามีประตูโค้งอยู่นอกรั้วกำลังส่องแสงสีขาวอ่อน ๆ

อังเกอร์จำไม่ได้แล้วว่าผ่านไปกี่ปีแล้วที่ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ผิดปกติแบบนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีเสียง ไม่มีแสงสว่าง มีเพียงความเงียบสงัดวังเวงเท่านั้น

ทำไมประตูโค้งถึงเปล่งแสง หรือว่าวิญญาณอมตะเหล่านั้นกลับมาแล้วหรือ?

อังเกอร์เลี้ยวรถเข็นทันที ไม่สนใจเก็บธัญพืชอีกต่อไป เข็นรถเข็นเล็ก ๆ ไปที่ประตูโค้งเรืองแสง แต่พอไปถึงประตู กลับไม่พบวิญญาณอมตะใด ๆ นอกจากประตูโค้งที่เปล่งแสงสีขาวออกมา สภาพโดยรอบก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากปกติเลย

อังเกอร์เดินวนรอบประตูโค้งด้วยความสงสัย หมุนไปรอบๆ เรื่อยๆ แบบไม่รู้ตัวจนเข้าไปอยู่ตรงกลาง จู่ๆ เขาก็หายตัวไปจากตรงกลางประตูโค้ง

เขารู้สึกเพียงว่าตาพร่าไปชั่วขณะ ทิวทัศน์รอบตัวก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ไม่ใช่ความเงียบเหงาอ้างว้างรอบ ๆ ฟาร์มอีกต่อไป แต่กลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี เสาหินสองต้นตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งอย่างโดดเด่น ส่องแสงสีขาวอ่อน ๆ ออกมาเล็กน้อย

อังเกอร์ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กลับถูกดึงด้วยแสงสีขาวของเสาหินทั้งสองข้าง เหมือนแผ่นฟิล์มที่เชื่อมระหว่างเขากับเสาหิน

ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว อังเกอร์รู้สึกถึงการถูกจำกัด แผ่นแสงผูกเขากับเสาเข้าด้วยกัน

นี่มันอะไรกัน? อังเกอร์ออกแรงดิ้นสุดกำลัง เขาฉีกแผ่นแสงออกได้อย่างง่ายดาย ทันใดนั้นเท้าก็เหยียบลงบนพื้นหญ้า

แผ่นแสงที่ถูกเขาฉีกขาดลอยไหวไปมาอย่างอ่อนแรงและหดตัวเข้าหากัน สุดท้ายมันก็หดเข้าไปในข้อมือของเขา กลายเป็นสร้อยข้อมือหนังสลักลวดลายเป็นอักขระรูน

นี่เป็นเครื่องประดับวิเศษงั้นหรือ? อังเกอร์เอียงคอ

ในขณะนั้น เสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวังก็ดังขึ้นจากด้านหลังเขา: "เห...เหยี่ยว? คน...คนเหยี่ยว? ข...ข้าอ้อนวอนต่อวิญญาณอมตะ ทำไมถึงได้ส่งคนที่มีรูปร่างเหมือนเหยี่ยวมาแทน?"

อังเกอร์หันหน้ากลับไปมอง เขาเห็นมนุษย์คนหนึ่งที่หมอบอยู่บนพื้น ผอมโซจนน่ากลัว ข้อมือที่ยื่นออกมาซูบผอมเห็นแต่กระดูก เหมือนมีเพียงชั้นผิวหนังหุ้มกระดูกอยู่ มือข้างหนึ่งชี้มาที่อังเกอร์ พูดประโยคสุดท้ายด้วยใบหน้าไม่สมปรารถนา แล้วศีรษะและแขนก็อ่อนปวกเปียกฟุบลง และเป็นลมหมดสติไป

คนเหยี่ยว? ข้าน่ะหรือ? อังเกอร์เอียงศีรษะ เขารู้สึกงุนงงเล็กน้อย ตัวเขาเองเป็นโครงกระดูกชัดๆ แล้วทำไมมนุษย์คนนี้ถึงได้ชี้มาที่เขาแล้วพูดว่า 'คนเหยี่ยว' ล่ะ? แล้วคนเหยี่ยวมันคืออะไรกัน?

พอคิดได้ดังนั้น อังเกอร์ก็ลูบศีรษะตัวเองทันที แล้วก็ถอดหมวกฟางจากศีรษะตัวเอง

อ๋อ เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เขาไม่ได้ถอดหมวกฟาง ตอนนี้ยังอยู่ในร่างเหยี่ยวในร่างจำแลง ก็เลยถูกมนุษย์คนนี้เข้าใจผิดน่ะสิ

เขาเอาหมวกมาคล้องคอแล้วเดินเข้าไปใกล้ ๆ มนุษย์คนนั้น ใช้นิ้วจิ้มไปที่ตัวเขาเบา ๆ ไม่มีปฏิกิริยา ดูเหมือนว่าจะหมดสติไปจริง ๆ

เมื่อสังเกตดูให้ดี ลมหายใจแห่งชีวิตของมนุษย์คนนี้กำลังอ่อนแรงลง มีโอกาสที่จะดับสิ้นได้ทุกเมื่อ กล่าวก็คือมนุษย์คนนี้กำลังจะตายแล้ว

ความรู้สึกสับสนและไม่มั่นใจบังเกิดขึ้นในใจอังเกอร์ เขาเป็นเพียงโครงกระดูกปลูกผักตัวเล็กๆ ไม่เคยประสบพบเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ตอนนี้ควรจะทำอย่างไรกันดีล่ะ?

คิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ อังเกอร์ก็นึกขึ้นได้ถึงรถเข็นของตัวเอง ผลผลิตที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมากองอยู่บนรถ เดิมทีเขาตั้งใจจะเอาไปไว้ที่โกดัง แต่ระหว่างทางก็ถูกแสงสีขาวดึงความสนใจ เลยเข็นรถมาทางนี้ ตอนนี้เขามีธัญพืชเต็มรถอยู่ในมือเป็นทุน

มนุษย์น่าจะต้องการอาหารนะ เขาผอมแห้งขนาดนี้ คงเพราะหิวโหยล่ะมั้ง พอคิดได้ดังนั้น อังเกอร์ก็รู้แล้วว่าตัวเองควรจะทำอะไรบางอย่าง อย่างไรซะ เขาช่วยอะไรได้ไม่มากอยู่แล้ว

เมื่อพลิกตัวมนุษย์จากข้างหลัง อังเกอร์ก็กำข้าวไว้เต็มกำมือแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา จากนั้นจึงนั่งยองๆ กอดเข่าสังเกตการณ์

ทำไมถึงไม่กินล่ะ? อังเกอร์รอครู่ใหญ่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาก็เกิดความรู้แจ้งขึ้นมา: คนที่สลบไสลไปแล้วก็ย่อมไม่สามารถรับประทานอาหารได้หรอก

ด้วยเหตุนี้ อังเกอร์จึงตัดสินใจที่จะช่วยเหลืออีกฝ่ายอีกครั้ง เขาคว้าข้าวแล้วพยายามยัดเยียดใส่เข้าไปในปากของมนุษย์ หลังจากที่ยัดไปได้สองสามกำ มนุษย์ผู้นั้นก็ตื่นขึ้นมาอย่างไม่น่าแปลกใจนักหลังจากที่โดนรบกวน

มนุษย์ผู้อ่อนแรงพยายามอย่างยากลำบากที่จะคายข้าวที่เกือบจะทำให้เขาสำลัก พร้อมกับบอกอย่างฝืดเคืองว่าต้องแกะเปลือกและต้มให้สุกเสียก่อนจึงจะกินได้ พร้อมกันนั้นก็บอกด้วยว่า เขากำลังจะตายเพราะความกระหายและต้องการน้ำอย่างเร่งด่วน

อังเกอร์รู้สึกลำบากใจกับคำขอนี้ จะไปหาน้ำที่ไหนได้ล่ะ?

เมื่อหาน้ำไม่ได้ ข้าวก็กินไม่ได้ ในที่สุด มนุษย์ผู้อ่อนแรงที่จ้องมองอาหารบนรถเข็นของเขาก็ค่อยๆ ขาดใจตายไปในที่สุดเพราะความหิวโหย…

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด