บทที่ 188 ประเมินบุคคลจากสำนักเสินเจี้ยนต่ำไป
จากมุมมองเขา หากไม่ใช่เพราะเฉิงหลง เขาจะได้รับบาดเจ็บกลับมาในสภาพสาหัสน่าอัปยศเช่นนี้หรือไม่ ไหนจะพิษร้ายของหยางเสี่ยวเทียนที่กำลังวิ่งพล่านในกายเขา ซึ่งหากไม่ระมัดระวังเผลอกินสิ่งใดเข้าไป กระตุ้นมันให้กัดกร่อนอวัยวะตนเร็วขึ้นจนยับยั้งไม่ทันจะทำอย่างไร
ตอนนี้ เขาก็ไม่ต่างจากอะไรกับวัวม้าที่ถูกใช้งาน เพราะหากไร้ประโยชน์ขึ้นมาก็ตายสิ้นอย่างขยะ
ครั้นนึกถึงสิ่งนี้ ความโกรธเขายิ่งโหมกระหน่ำดั่งเปลวไฟที่ได้รับเชื้อเพลิง เมื่อตนต้องหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสูงสุด มากถึงร้อยเม็ดในเวลาเพียงครึ่งปี
แท้จริงแล้ว เฉิงหลงเก็บซ่อนความเห็นแก่ตัวบางประการ เพียงแต่เจียงอวี๋มิอาจรับรู้ถึงมันก็เท่านั้น ประการแรกคือเขายืมมือผู้เป็นอาจารย์กำจัดเสี้ยนหนามอย่างหยางเสี่ยวเทียน และประการสำคัญกว่าคือ หากเจียงอวี๋ได้ทักษะวายุคลั่งมา อนาคตเฉิงหลงก็ต้องได้รับสืบทอดทักษะนี้เช่นกัน
เฉิงหลงเงยหน้ามองเจียงอวี๋ ซึ่งขณะจ้องเขม็งทางตนด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวประหนึ่งอยากบดขยี้เขาให้ตายคามือ เฉิงหลงรีบก้มหน้าลงโดยมิกล้ากล่าวสิ่งใดออกมาอีก
“ไสหัวไป!” เจียงอวี๋แผดเสียงสะท้านดัง ทำเฉิงหลงสะดุ้งสุดไหวด้วยหวาดกลัวอีกครั้ง
“ข้าต้องการพักผ่อน หากข้ามิได้เรียกหา อย่าได้บังอาจโผล่หัวมาให้ข้าเห็นโดยเด็ดขาด” เขาตะคอกไล่ ให้เฉิงหลงหนีไปให้พ้นหน้า
เฉิงหลงรีบยันกายลุกขึ้น โค้งคำนับถอยกลับและจากไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดินออกมา เฉิงหลงพลางยกมือขึ้นแตะแก้มตน ที่ปรากฏรอยฝ่ามือจากผู้เป็นอาจารย์จนแดงเด่นชัด ยามนี้ ใบหน้าเขาไม่เพียงเจ็บช้ำเท่านั้น แต่ยังเกลียดชังหยางเสี่ยวเทียนทวีขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เขายังรู้สึกคลุมเครือ คืออาจารย์เขาเจียงอวี๋บาดเจ็บได้อย่างไร มีปรมาจารย์คนไหนในสำนักเสินเจี้ยน ที่มีฝีมือสูงส่งกว่าผู้อาวุโสทั้งห้าของตำหนักกระบี่บ้าง
แม้เรื่องราวการบาดเจ็บของเจียงอวี๋จะถูกปิดเป็นความลับ แต่ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองเสินเจี้ยน ทั้งคนทั่วไปแลเหล่าวิญญาจารย์ผู้แข็งแกร่ง พานนึกถึงสิ่งเดียวกันว่าต้องเป็นเพราะทักษะวายุคลั่งของหยางเสี่ยวเทียนแน่
บรรดาคนจำนวนมากที่ได้ทราบถึงข่าวลือ ล้วนมีความคิดเห็นต่างๆ เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเจียงอวี๋
ผู้ที่สามารถทำร้ายเจียงอวี๋จนบาดเจ็บได้ อย่างน้อยต้องอยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธ์เช่นเดียวกับเขา
“ดูเหมือนเราหลายคน จะประเมินรากฐานของสำนักเสินเจี้ยนต่ำเกินไป” ณ จวนเจ้าเมือง เผิงจื้อกังพูดด้วยอารมณ์ “ข้าไม่คิดเลยว่านอกจากเฉาชุ่นแล้ว ยังมีผู้ที่อยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นอีก”
“อย่างไรก็ตาม แม้บุคคลนี้จะทำร้ายเจียงอวี๋ได้ แต่เขาไม่สามารถฆ่าเจียงอวี๋ได้ คาดว่าความแข็งแกร่งของบุคคลนี้คงอยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธ์ระดับหนึ่งหรือสองเท่านั้น” เผิงจื้อกังพยักหน้าขบคิด
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเหตุการณ์เจียงอวี๋ ก็มีนักปรุงโอสถมาเยี่ยมหยางเสี่ยวเทียนน้อยลงมาก
ส่วนหยางเสี่ยวเทียนนอกเหนือจากฝึกเพลงกระบี่ในระหว่างวันแล้ว เขาก็มักจะกลับไปยังตำหนักกระบี่ เพื่ออ่านคัมภีร์ลับด้านกระบี่และพลังเวทย์ของเฉาชุ่น
บางครั้งเขาก็ใช้เวลาครึ่งชั่วยามในการชี้แนะอูฉี และคนอื่นๆ ถึงทักษะการหลอมโอสถ
ครั้นตกกลางคืน หยางเสี่ยวเทียนก็นั่งบนเตียงหยกเย็น แล้วบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม
เพราะหลังจากเหตุการณ์ที่เจียงอวี๋เข้ามาสร้างปัญหา ทั้งยังใช้กำลังแลอิทธิพลข่มขู่เอาสิ่งที่ต้องการ หยางเสี่ยวเทียนจึงเริ่มตระหนักถึงข้อสำคัญของความแข็งแกร่งตนเองมากขึ้น
ดังนั้น เขาจึงใช้เวลาในการบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม เพิ่มขึ้นหนึ่งชั่วยามต่อวัน
ผ่านไปหนึ่งเดือน ทักษะร้อยเพลงกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียน ก็ได้รับการฝึกฝนจนบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ
ขณะนี้ เขาสามารถควบคุมกระบี่นับร้อยซึ่งเป็นอาวุธวิญญาณ ให้โจมตีพร้อมกันด้วยเพลงกระบี่จากศิลาได้แล้วยี่สิบเล่ม
ในเวลาเดียวกัน เขาก็ศึกษาคัมภีร์ลับด้านกระบี่และพลังเวทย์ของเฉาชุ่น ที่ทิ้งไว้ในตำหนักกระบี่จนจบสิ้น
พร้อมตัวเขายามนี้ ยังสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ระดับสิบได้สำเร็จเช่นกัน
แม้เลี่ยวคุนจะสามารถทะลวงไปถึงขั้นราชันยุทธ์ระดับสี่ได้แล้วก็ตาม
เพียงมือเดียว เขาก็สามารถเอาชนะเลี่ยวคุนและจางจิงหรงได้อย่างง่ายดาย ด้วยพลังเก้าส่วนจากขั้นเซียนสวรรค์เท่านั้น
“ขั้นราชันยุทธ์” ในเวลากลางคืน หยางเสี่ยวเทียนพึมพำกับตนเองอย่างเงียบๆ
ตอนนี้ ระดับพลังยุทธ์ของเขาอยู่ไม่ห่างจากขั้นราชันยุทธ์มากนัก
หากเขาทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์ได้เมื่อไร ก็จะสามารถฝึกฝนพลังเวทย์ได้เมื่อนั้น นั่นจะทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแน่นอน
สิ่งสำคัญที่สุดหลังจากทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์ได้สำเร็จ คือปราณแท้ขั้นเซียนสวรรค์จะหลอมรวมกลายเป็นแก่นแท้ในตันเถียน และการที่เขาจะสามารถหลอมโอสถขั้นมหาสมบัติได้ ก็จะยิ่งเข้าใกล้เข้ามาขึ้นเรื่อยๆ
เพราะสรรพคุณของโอสถขั้นมหาสมบัตินั้น บริสุทธิ์แลส่งผลกระทบน้อยกว่าโอสถขั้นเซียนเทียน เช่นโอสถวิญญาณสี่ประการหลายเท่ามาก
ด้วยโอสถขั้นมหาสมบัติ ความแข็งแกร่งของเหล่าผู้ใต้บัญชาเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากยิ่ง
ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเข้าสู่เมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ เพื่อไปแช่ธาราโอสถพันปี แล้วบ่มเพาะที่นั่น
ธาราโอสถพันปีเกิดขึ้นจากการสะสมพลังวิญญาณแห่งสวรรค์และโลก หากเขาเข้าไปที่นั่นแล้วบ่มเพาะเป็นเวลาสิบวัน มาตรว่าต้องทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์ได้เป็นแน่
วันรุ่งขึ้น หยางเสี่ยวเทียนจึงเริ่มออกเดินทางแต่เช้าตรู่ มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงในทันที
แต่ครานี้ เขาไม่ได้นำกลุ่มของเลี่ยวคุนไปด้วย ซึ่งผู้ติดตามที่เขาเลือกครั้งนี้มีเพียงอูฉีและหลัวชิงเท่านั้น
สำหรับเขา อูฉีและหลัวชิงก็นับว่าแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว แต่หากพาคนไปมากเกินไป อาจเป็นที่สะดุดตาต่อผู้อื่นเป็นได้
ทั้งสามเดินทางอย่างรวดเร็วตลอดทั้งวัน และเมื่อพวกเขาผ่านหมู่บ้านร้างบางแห่งในตอนกลางคืน พวกเขาก็หยุดพักผ่อน
ซึ่งเมืองเสินเจี้ยนอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงเสินไห่นัก ด้วยความเร็วของคนทั้งสาม ก็น่าจะไปถึงได้ในบ่ายวันพรุ่งนี้
เมื่อกองไฟถูกจุดขึ้น คนทั้งสามก็นั่งรอบกองไฟย่างเนื้อพร้อมดื่มสุราชั้นดี ขณะพูดคุยสนทนากันไปเรื่อยเปื่อย
ในเวลานี้เอง พวกเขาก็ได้เห็นคณะเดินทางกลุ่มหนึ่ง ที่มาตรว่าจะเป็นกลุ่มพ่อค้าเดินขบวนรถม้าขนสิ้นค้าผ่านมายังทั้งสามพอดี
ครั้นพิจารณาจากสัญลักษณ์ที่ติดยังรถม้าภายนอกแล้ว มันคือคาราวานของสมาคมการค้าเฟิงยวินที่คุ้นเคยนี้เอง