ตอนที่แล้วบทที่ 187 ข่าวดีจากผู้เป็นอาจารย์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 189 การรวมกลุ่มอันประหลาด

บทที่ 188 ประเมินบุคคลจากสำนักเสินเจี้ยนต่ำไป


จากมุมมองเขา หากไม่ใช่เพราะเฉิงหลง เขาจะได้รับบาดเจ็บกลับมาในสภาพสาหัสน่าอัปยศเช่นนี้หรือไม่ ไหนจะพิษร้ายของหยางเสี่ยวเทียนที่กำลังวิ่งพล่านในกายเขา ซึ่งหากไม่ระมัดระวังเผลอกินสิ่งใดเข้าไป กระตุ้นมันให้กัดกร่อนอวัยวะตนเร็วขึ้นจนยับยั้งไม่ทันจะทำอย่างไร

ตอนนี้ เขาก็ไม่ต่างจากอะไรกับวัวม้าที่ถูกใช้งาน เพราะหากไร้ประโยชน์ขึ้นมาก็ตายสิ้นอย่างขยะ

ครั้นนึกถึงสิ่งนี้ ความโกรธเขายิ่งโหมกระหน่ำดั่งเปลวไฟที่ได้รับเชื้อเพลิง เมื่อตนต้องหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสูงสุด มากถึงร้อยเม็ดในเวลาเพียงครึ่งปี

แท้จริงแล้ว เฉิงหลงเก็บซ่อนความเห็นแก่ตัวบางประการ เพียงแต่เจียงอวี๋มิอาจรับรู้ถึงมันก็เท่านั้น ประการแรกคือเขายืมมือผู้เป็นอาจารย์กำจัดเสี้ยนหนามอย่างหยางเสี่ยวเทียน และประการสำคัญกว่าคือ หากเจียงอวี๋ได้ทักษะวายุคลั่งมา อนาคตเฉิงหลงก็ต้องได้รับสืบทอดทักษะนี้เช่นกัน

เฉิงหลงเงยหน้ามองเจียงอวี๋ ซึ่งขณะจ้องเขม็งทางตนด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวประหนึ่งอยากบดขยี้เขาให้ตายคามือ เฉิงหลงรีบก้มหน้าลงโดยมิกล้ากล่าวสิ่งใดออกมาอีก

“ไสหัวไป!” เจียงอวี๋แผดเสียงสะท้านดัง ทำเฉิงหลงสะดุ้งสุดไหวด้วยหวาดกลัวอีกครั้ง

“ข้าต้องการพักผ่อน หากข้ามิได้เรียกหา อย่าได้บังอาจโผล่หัวมาให้ข้าเห็นโดยเด็ดขาด” เขาตะคอกไล่ ให้เฉิงหลงหนีไปให้พ้นหน้า

เฉิงหลงรีบยันกายลุกขึ้น โค้งคำนับถอยกลับและจากไปอย่างรวดเร็ว

ขณะเดินออกมา เฉิงหลงพลางยกมือขึ้นแตะแก้มตน ที่ปรากฏรอยฝ่ามือจากผู้เป็นอาจารย์จนแดงเด่นชัด ยามนี้ ใบหน้าเขาไม่เพียงเจ็บช้ำเท่านั้น แต่ยังเกลียดชังหยางเสี่ยวเทียนทวีขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เขายังรู้สึกคลุมเครือ คืออาจารย์เขาเจียงอวี๋บาดเจ็บได้อย่างไร มีปรมาจารย์คนไหนในสำนักเสินเจี้ยน ที่มีฝีมือสูงส่งกว่าผู้อาวุโสทั้งห้าของตำหนักกระบี่บ้าง

แม้เรื่องราวการบาดเจ็บของเจียงอวี๋จะถูกปิดเป็นความลับ แต่ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองเสินเจี้ยน ทั้งคนทั่วไปแลเหล่าวิญญาจารย์ผู้แข็งแกร่ง พานนึกถึงสิ่งเดียวกันว่าต้องเป็นเพราะทักษะวายุคลั่งของหยางเสี่ยวเทียนแน่

บรรดาคนจำนวนมากที่ได้ทราบถึงข่าวลือ ล้วนมีความคิดเห็นต่างๆ เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเจียงอวี๋

ผู้ที่สามารถทำร้ายเจียงอวี๋จนบาดเจ็บได้ อย่างน้อยต้องอยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธ์เช่นเดียวกับเขา

“ดูเหมือนเราหลายคน จะประเมินรากฐานของสำนักเสินเจี้ยนต่ำเกินไป” ณ จวนเจ้าเมือง เผิงจื้อกังพูดด้วยอารมณ์ “ข้าไม่คิดเลยว่านอกจากเฉาชุ่นแล้ว ยังมีผู้ที่อยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นอีก”

“อย่างไรก็ตาม แม้บุคคลนี้จะทำร้ายเจียงอวี๋ได้ แต่เขาไม่สามารถฆ่าเจียงอวี๋ได้ คาดว่าความแข็งแกร่งของบุคคลนี้คงอยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธ์ระดับหนึ่งหรือสองเท่านั้น” เผิงจื้อกังพยักหน้าขบคิด

หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากเหตุการณ์เจียงอวี๋ ก็มีนักปรุงโอสถมาเยี่ยมหยางเสี่ยวเทียนน้อยลงมาก

ส่วนหยางเสี่ยวเทียนนอกเหนือจากฝึกเพลงกระบี่ในระหว่างวันแล้ว เขาก็มักจะกลับไปยังตำหนักกระบี่ เพื่ออ่านคัมภีร์ลับด้านกระบี่และพลังเวทย์ของเฉาชุ่น

บางครั้งเขาก็ใช้เวลาครึ่งชั่วยามในการชี้แนะอูฉี และคนอื่นๆ ถึงทักษะการหลอมโอสถ

ครั้นตกกลางคืน หยางเสี่ยวเทียนก็นั่งบนเตียงหยกเย็น แล้วบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม

เพราะหลังจากเหตุการณ์ที่เจียงอวี๋เข้ามาสร้างปัญหา ทั้งยังใช้กำลังแลอิทธิพลข่มขู่เอาสิ่งที่ต้องการ หยางเสี่ยวเทียนจึงเริ่มตระหนักถึงข้อสำคัญของความแข็งแกร่งตนเองมากขึ้น

ดังนั้น เขาจึงใช้เวลาในการบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม เพิ่มขึ้นหนึ่งชั่วยามต่อวัน

ผ่านไปหนึ่งเดือน ทักษะร้อยเพลงกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียน ก็ได้รับการฝึกฝนจนบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ

ขณะนี้ เขาสามารถควบคุมกระบี่นับร้อยซึ่งเป็นอาวุธวิญญาณ ให้โจมตีพร้อมกันด้วยเพลงกระบี่จากศิลาได้แล้วยี่สิบเล่ม

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ศึกษาคัมภีร์ลับด้านกระบี่และพลังเวทย์ของเฉาชุ่น ที่ทิ้งไว้ในตำหนักกระบี่จนจบสิ้น

พร้อมตัวเขายามนี้ ยังสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ระดับสิบได้สำเร็จเช่นกัน

แม้เลี่ยวคุนจะสามารถทะลวงไปถึงขั้นราชันยุทธ์ระดับสี่ได้แล้วก็ตาม

เพียงมือเดียว เขาก็สามารถเอาชนะเลี่ยวคุนและจางจิงหรงได้อย่างง่ายดาย ด้วยพลังเก้าส่วนจากขั้นเซียนสวรรค์เท่านั้น

“ขั้นราชันยุทธ์” ในเวลากลางคืน หยางเสี่ยวเทียนพึมพำกับตนเองอย่างเงียบๆ

ตอนนี้ ระดับพลังยุทธ์ของเขาอยู่ไม่ห่างจากขั้นราชันยุทธ์มากนัก

หากเขาทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์ได้เมื่อไร ก็จะสามารถฝึกฝนพลังเวทย์ได้เมื่อนั้น นั่นจะทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแน่นอน

สิ่งสำคัญที่สุดหลังจากทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์ได้สำเร็จ คือปราณแท้ขั้นเซียนสวรรค์จะหลอมรวมกลายเป็นแก่นแท้ในตันเถียน และการที่เขาจะสามารถหลอมโอสถขั้นมหาสมบัติได้ ก็จะยิ่งเข้าใกล้เข้ามาขึ้นเรื่อยๆ

เพราะสรรพคุณของโอสถขั้นมหาสมบัตินั้น บริสุทธิ์แลส่งผลกระทบน้อยกว่าโอสถขั้นเซียนเทียน เช่นโอสถวิญญาณสี่ประการหลายเท่ามาก

ด้วยโอสถขั้นมหาสมบัติ ความแข็งแกร่งของเหล่าผู้ใต้บัญชาเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากยิ่ง

ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเข้าสู่เมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ เพื่อไปแช่ธาราโอสถพันปี แล้วบ่มเพาะที่นั่น

ธาราโอสถพันปีเกิดขึ้นจากการสะสมพลังวิญญาณแห่งสวรรค์และโลก หากเขาเข้าไปที่นั่นแล้วบ่มเพาะเป็นเวลาสิบวัน มาตรว่าต้องทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์ได้เป็นแน่

วันรุ่งขึ้น หยางเสี่ยวเทียนจึงเริ่มออกเดินทางแต่เช้าตรู่ มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงในทันที

แต่ครานี้ เขาไม่ได้นำกลุ่มของเลี่ยวคุนไปด้วย ซึ่งผู้ติดตามที่เขาเลือกครั้งนี้มีเพียงอูฉีและหลัวชิงเท่านั้น

สำหรับเขา อูฉีและหลัวชิงก็นับว่าแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว แต่หากพาคนไปมากเกินไป อาจเป็นที่สะดุดตาต่อผู้อื่นเป็นได้

ทั้งสามเดินทางอย่างรวดเร็วตลอดทั้งวัน และเมื่อพวกเขาผ่านหมู่บ้านร้างบางแห่งในตอนกลางคืน พวกเขาก็หยุดพักผ่อน

ซึ่งเมืองเสินเจี้ยนอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงเสินไห่นัก ด้วยความเร็วของคนทั้งสาม ก็น่าจะไปถึงได้ในบ่ายวันพรุ่งนี้

เมื่อกองไฟถูกจุดขึ้น คนทั้งสามก็นั่งรอบกองไฟย่างเนื้อพร้อมดื่มสุราชั้นดี ขณะพูดคุยสนทนากันไปเรื่อยเปื่อย

ในเวลานี้เอง พวกเขาก็ได้เห็นคณะเดินทางกลุ่มหนึ่ง ที่มาตรว่าจะเป็นกลุ่มพ่อค้าเดินขบวนรถม้าขนสิ้นค้าผ่านมายังทั้งสามพอดี

ครั้นพิจารณาจากสัญลักษณ์ที่ติดยังรถม้าภายนอกแล้ว มันคือคาราวานของสมาคมการค้าเฟิงยวินที่คุ้นเคยนี้เอง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด