บทที่ 187 ข่าวดีจากผู้เป็นอาจารย์
จากนั้น อูฉีก็เหลือบมองวงแหวนวิญญาณที่อยู่ด้านหลังเจียงอวี๋ พร้อมกล่าวน้ำคำเจ็บแสบแทบอยากหน้าแทรกแผ่นดินหนี
“หึ วงแหวนวิญญาณพันปีก็แค่ขยะ ไยเจ้ากล้าแสดงออกมาข่มขู่พวกเรา”
หากวิญญาณยุทธ์ของเหล่าวิญญาจารย์บุคคลใด ดูดซับวงแหวนวิญญาณจากสัตว์วิญญาณที่มีอายุขัยหรือพลังบำเพ็ญตบะต่างกัน พละกำลังที่นำมาเสริมความแกร่งให้แก่วิญญาณยุทธ์ก็แตกต่างเช่นกัน
ซึ่งสัตว์วิญญาณอายุขัยสิบปีที่ถูกวิญญาณยุทธ์ดูดกลืนพลังบำเพ็ญตบะ วงแหวนวิญญาณที่ได้รับก็จะมีสีขาวบริสุทธิ์
แต่ถ้าวงแหวนวิญญาณที่ปรากฏออกมาเป็นสีเหลือง แสดงว่าวิญญาจารย์ผู้นั้นดูดซับพลังบำเพ็ญตบะของสัตว์วิญญาณอายุขัยร่วมร้อยปีขึ้นไป
และสีวงแหวนวิญญาณเบื้องหลังเจียงอวี๋ ที่เป็นเพียงขยะตรงหน้าอูฉีพร้อมคนอื่นๆ นี้ คือวงแหวนวิญญาณพันปีสีม่วง
เพราะยิ่งวงแหวนวิญญาณ เป็นของสัตว์วิญญาณที่มีพลังบำเพ็ญตบะสูงเท่าไร ความสามารถของวิญญาณยุทธ์ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แม้นโดยทั่วไปแล้ว วงแหวนวิญญาณพันปีจะถือว่าดี แต่ในสายตาอูฉีมันยังไร้ค่า
สีหน้าเจียงอวี๋เปลี่ยนไปหมองคล้ำอย่างน่าเกลียด ครั้นได้ยินแลเห็นท่าทีส่ายศรีษะด้วยเอือมระอาจากอูฉี ขณะกล่าวถึงวงแหวนวิญญาณพันปีที่เขาภาคภูมิใจเป็นแค่ขยะ
ซึ่งไม่เพียงทำเจียงอวี๋รู้สึกอับอายจนชาไปทั้งใบหน้าเท่านั้น แต่มันยังทำให้เขาผงะเปิดปากค้าง มิกล้ากระทั่งส่งเสียงเอ่ยค้านสิ่งใดนอกจากนิ่งเงียบ
“นายน้อย เราควรจัดการกับเจียงอวี๋ผู้นี้อย่างไรดี” อูฉีหันหาหยางเสี่ยวเทียน ขณะเอ่ยถามความเห็น
หยางเสี่ยวเทียนขบคิดอยู่ครู่ ก่อนยื่นยาบางอย่างเม็ดหนึ่งให้แก่อูฉี ซึ่งพอเขาเห็นเม็ดยาอันคุ้นตา ชายชราก็รู้ได้ทันทีว่าต้องจัดการกับมันเช่นไร
อูฉีรับเม็ดยานั้น พร้อมสืบเท้าเข้าหาเจียงอวี๋ผู้ยังคงนั่งไร้เรี่ยวแรงราวคนใกล้ตายเสียเอง เพียงพละกำลังจะหยุดยั้งมือไม้เหี่ยวแห้งของชายชรา ขณะบีบเปิดปากตนให้อ้ากว้างระหว่างยัดเม็ดยาลงคอยังมิได้ ต่างจากอูฉี ผู้แทบมิต้องออกแรงแม้สักส่วน
หลังเจียงอวี๋กลืนยาเข้าไป ก็พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างเพิ่มเข้ามาในร่างกาย เขาเบิกตาตกใจกับสิ่งแปลกปลอมที่แล่นพล่านอยู่ภายใน ก่อนแสดงสีหน้าโกรธแค้นจ้องมองหยางเสี่ยวเทียน ผู้ให้ของสิ่งนี้กับอูฉี
“จะ เจ้าเอาอะไรข้ากิน!” เจียงอวี๋เปล่งเสียงแหบแห้ง
“พิษควบคุม” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวน้ำเสียงเยือกเย็นรับกับสีหน้าไม่แยแสนั้น กระทั่งเจียงอวี๋พลางสะดุ้งหลังได้ยินว่าของสิ่งในกายตนตอนนี้
“หากไม่มียาถอนพิษ ภายภาคหน้าเลือดในกายเจ้าจะไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด อวัยวะภายในจะค่อยๆ เน่าเปื่อย เจ็บปวดจนต้องร้องขอความตายอย่างช่วยมิได้”
“ซึ่งแน่นอนว่าความตายที่เจ้าร้องขอ ไม่นานเกินรอหลังมันทรมานเจ้าอย่างแสนสาหัส จนไม่รู้สึกสิ่งใดครั้นความตายพรากชีวิตเจ้าไปแล้ว” น้ำคำเย็นเฉียบเกาะกุมจิตใจของผู้ได้ฟังจนหนาวสั่น
“เจ้า!” การแสดงออกของเจียงอวี๋เพลานี้ เปลี่ยนไปหมองหม่นอย่างน่าเวทนานัก
“และอย่าได้คิดแม้แต่จะเตรียมหายาสลายพิษ เพราะข้าทำสิ่งนี้จากตำรับยาสูตรลับอันหายสาบสูญ ซึ่งมีเพียงข้า ที่รู้ตำรับยาขจัดมันออกผู้เดียว”
“หรือหากเจ้ากลืนยาถอนพิษไม่เลือกหน้า เท่ากับเจ้ากระตุ้นฤทธิ์ความเป็นพิษของมัน ให้ทำลายอวัยวะเน่าสลายเร็วขึ้น และแม้แต่ข้าก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้” หยางเสี่ยวเทียนกำชับ
“เอาละ เจ้ากลับไปได้แล้ว”
“ในอีกครึ่งปี เจ้าค่อยกลับมารับยาต้านพิษ โดยนำโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสูงสุดร้อยเม็ดแลกกับมัน”
โอสถวิญญาณสี่ประการระดับสูงสุดร้อยเม็ดเพื่อแลกกับต้านพิษเท่านั้น เจียงอวี๋หน้าซีดตัวแข็งทื่อ หลังทราบประโยคสุดท้ายที่เขากล่าว แต่เอ่ยสิ่งที่ติดยังลำคอมิได้
“อีกอย่าง หลังออกจากที่นี่ไปแล้ว เจ้าอย่าได้ปริปากเล่าถึงเหตุการณ์วันนี้เสียดีกว่า ไม่อย่างนั้น หากข้าได้ยินข่าวลือถึงเรื่องนี้ เจ้าอย่าหวังหรือคิดกลับมาร้องขอสิ่งใดจากข้าอีก”
ครั้นหยางเสี่ยวเทียนกล่าวจบ เขาก็หันหลังจากไปทันที ปล่อยให้เจียงอวี๋ผู้ตอนนี้ยังนิ่งแข็งกับคำพูดเขาทุกประโยค นั่งคลุกฝุ่นด้วยสีหน้าดำคล้ำขณะภายในใจคุกรุ่นความโกรธแค้น
เวลาในครึ่งปี หากเขายังอยากมีชีวิตรอด ให้นำโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสูงสุดร้อยเม็ดมาแลกกับต้านพิษ แค่ยาต้านพิษงั้นหรือ
เขาจะหาโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสูงสุดได้จากไหนกัน
แม้นเขาจะเป็นถึงปรมาจารย์นักปรุงโอสถในตำนานแห่งจักรวรรดิเทียนโต้ว และสามารถหลอมมันขึ้นมาได้ก็จริง แต่ให้หลอมตั้งร้อยเม็ดด้วยเวลาเพียงครึ่งปี มันจะไปทันท่วงทีได้อย่างไร
เว้นเสียเขาจะทุ่มเวลาทั้งหมดหลอมมันทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งอาจมีความเป็นไปได้ที่จะหลอมให้ครบถึงร้อยเม็ด แต่นั่นจะไม่เทียบเท่ากับเฝ้ารอความตาย ด้วยสังขารที่ถูกผลาญจากหน้าที่อันหนักหน่วงกระนั้นหรือ
หยางเสี่ยวเทียนปฏิบัติต่อเขาดุจเดียวกับสัตว์ ที่มีชีวิตเพื่อหลอมโอสถให้เขาเท่านั้น ความโหดร้ายของหยางเสี่ยวเทียนในตอนนี้ มิแตกต่างอันใดจากปีศาจเลยแม้แต่น้อย
อีกด้านหนึ่ง ระหว่างที่เฉิงหลงกำลังนั่งจิบชาอยู่ภายในจวน ยามนี้จิตใจเขาเบิกบานสำราญยิ่ง โดยคิดว่าเสี้ยนหนามถูกกำจัดสิ้นแล้ว
ขณะเฝ้ารอฟังข่าวดีจากผู้เป็นอาจารย์ตน ทันใดนั้น องครักษ์ประจำตัวเขาที่ออกไปพร้อมกับเจียงอวี๋ก่อนหน้า กลับวิ่งปรี่เข้ามาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก ครั้นองครักษ์ตนกำลังเปิดปากรายงาน อาจารย์ตนก็เดินเข้ามาในเวลาอันประจวบเหมาะ
ทว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เดิมสะอาดบริสุทธิ์ของเจียงอวี๋ ตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและฝุ่นดินเล็กน้อย ผมเผ้าเรียบร้อยพลางยุ่งเหยิง ขณะดวงตาหลังประสบเจอเขา พลันก้มหลบสายตาด้วยอับอาย ไม่เหมือนคนทะนงองอาจที่เขาคุ้นเคย
เฉิงหลงสะดุ้งประหลาดใจ ยันตัวลุกจากที่นั่งพร้อมปรี่เข้าหาผู้เป็นอาจารย์แล้วถามไถ่อย่างห่วงใย แต่ในใจ ใคร่รู้ชะตากรรมหยางเสี่ยวเทียนยิ่งกว่า
“ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้น”
เจียงอวี๋ปัดมือเขาที่กำลังยื่นเข้าพยุงร่างออก ก่อนผู้เป็นอาจารย์จะเดินกระแทกไหล่เฉิงหลงผ่านไป ด้วยไม่สนใจแลไม่หยุดฟังสิ่งใดจากเขาแม้แต่น้อย
“อาจารย์ แล้วทักษะวายุคลั่งล่ะ ท่านได้มาหรือไม่” เฉิงหลงลังเลก่อนเอ่ยถามด้วยใคร่รู้ กระทั่งเจียงอวี๋ชะงักฝีเท้านิ่ง
เมื่อเจียงอวี๋ได้ยินเฉิงหลงกล่าวถึงทักษะวายุคลั่ง ความโกรธแค้นและหงุดหงิดก็พลันปะทุขึ้นราวกับภูเขาไฟระเบิด เขาหันกลับมาพร้อมง้างฝ่ามือสะบัดตบหน้าเฉิงหลงไปหนึ่งฉาด ส่งร่างผู้เป็นศิษย์ลอยละลิ่วก่อนร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง
“หุบปาก!” เจียงอวี๋ตวาดเสียงแข็ง ขณะดวงตาอันเบิกกว้างแดงก่ำด้วยบันดาลโทสะ
“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าจะมีสารรูปเฉกเช่นตอนนี้ได้อย่างไร!”
เจียงอวี๋ชี้ไปยังเฉิงหลงพลางเปล่งเสียงตะคอกด้วยความโกรธที่อัดแน่นอยู่ในทรวงอก