บทที่ 186 วงแหวนวิญญาณ!
ครั้นเห็นรอยยิ้มอภิรมย์ปรากฏบนใบหน้าหยางเสี่ยวเทียน เด็กน้อยไร้เดียงสาผู้ราวถูกเลี้ยงดูอยู่ภายในไข่ จึงมิล่วงรู้ถึงหายนะร้าย
เจียงอวี๋ยับยั้งอารมณ์เดือดดาลที่กำลังปะทุในทรวงอก ขณะสืบเท้าเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนพร้อมฝืนยิ้มอย่างเย็นชาคงความนิ่งขรึม
“ถูกต้อง หยางเสี่ยวเทียน หากวันนี้เจ้ายอมคำนับข้าในฐานะอาจารย์ แล้วบอกเกี่ยวกับทักษะวายุคลั่ง ข้าคงจะไม่ถือสากิริยาอวดดีของเจ้าเมื่อครู่”
“แต่ในเมื่อเจ้าปฏิเสธ เจ้าคอยบอกหลังถูกข้าทรมานก็ได้”
หยางเสี่ยวเทียนเหลือบมองใบหน้าอันเปี่ยมไปด้วยเจตฆ่าของเจียงอวี๋ แล้วเผยยิ้มอย่างใจเย็นส่งให้คนตรงหน้ารับรู้ว่าตนหาได้เกรงกลัวไม่
“ดูเหมือนวันนี้ ข้าคงไม่สามารถบอกท่านเกี่ยวกับทักษะวายุคลั่ง ที่ท่านต้องการได้” น้ำเสียงแลท่าทีเขายังคงความเรียบเฉย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า หยางเสี่ยวเทียน เจ้าคิดว่าเนื่องจากตนเป็นเจ้าตำหนักกระบี่ของสำนักเสินเจี้ยน แล้วข้าจะมิกล้าทำร้ายเจ้างั้นหรือ” เจียงอวี๋ระเบิดเสียงหัวเราะเยาะ หลังท่าทีหยางเสี่ยวเทียนยังคงถือดีได้ทนทานประหนึ่งไร้ความรู้สึก ไม่เหมือนเด็กอ่อนประสาง่ายจะกำราบอย่างที่คิด
“ข้าจะช่วยสงเคราะห์อะไรให้เจ้ารู้ ในสายตาข้า สำนักเสินเจี้ยนไม่มีสิ่งใดที่ข้าต้องเกรงกลัวสักอย่าง สำหรับเฉินฉางชิงและอีกสี่คนนั่น พวกเขามันก็เพียงไก่แลสุนัขเท่านั้น”
“ด้วยกระบี่เพียงกระบวนท่าเดียว ข้าก็สังหารเจ้าได้อย่างมิมีใครกล้าเอาผิด”
“ชีวิตและความตายของเจ้า ขึ้นอยู่กับความคิดข้าเพียงเท่านั้น”
จบประโยค เจียงอวี๋พลันระเบิดแสงสว่างรอบกายขึ้น ปราณแท้จำนวนมหาศาลพลางคำรามออกจากร่างเขาดังก้อง ขณะเบื้องหลังปรากฏวงแหวนของแสงขนาดใหญ่ ขอบเขตความสว่างจากมันขยายเป็นวงกว้างระหว่างส่งแรงกดดันครอบคลุมทั้งลาน
ภายใต้อิทธิพลความกดดันจากวงแหวนนั้น การไหลเวียนของอากาศทั่วทั้งลานถึงกับหยุดนิ่ง
หลัวชิง เลี่ยวคุน อัตและอาลี่พร้อมทั้งคนอื่นๆ ที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ไม่ห่าง ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป หลังได้เห็นแลรับรู้ถึงแรงกดดันนั้น
“วงแหวนวิญญาณ!”
“จักรพรรดิยุทธ์!”
เมื่อเหล่าวิญญาจารย์ทะลวงเข้าสู่ขั้นจักรพรรดิยุทธ์สำเร็จ วิญญาจารย์ผู้นั้นจะสามารถดูดซับพลังบำเพ็ญตบะของสัตว์วิญญาณได้เป็นวงแหวน ที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่วิญญาณยุทธ์มหาศาล
ดังนั้น การครอบครองวงแหวนวิญญาณ จึงเป็นลักษณะของวิญญาจารย์ผู้แข็งแกร่งในขั้นจักรพรรดิยุทธ์
ตรงหน้าพวกเขา วงแหวนที่กำลังเปล่งแสงสว่างขนาดใหญ่ด้านหลังเจียงอวี๋นั้น คือวงแหวนวิญญาณจริงๆ
แม้หลัวชิงพร้อมทั้งคนอื่นๆ ไม่ได้หวังว่าเจียงอวี๋จะเป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นจักรพรรดิยุทธ์ แต่คงด้วยเหตุนี้กระมัง จอมเผด็จการเช่นเขาถึงกล้าวางตัวยโสโอหังมิเกรงกลัวใคร กระทั่งทำตัวไร้ยางอายหมายตาใคร่สิ่งใดก็จะใช้อำนาจเข้าข่มเหง
คนเช่นนี้ ควรได้กลับออกไปหรือ
“มิผิด จักรพรรดิยุทธ์!” เจียงอวี๋จ้องหยางเสี่ยวเทียนและคนอื่นๆ ด้วยสายตาเหยียดหยาม
“ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเก่งแค่ไหน ในสายตาข้า ตอนนี้เจ้าก็แค่มดปลวก” เจียงอวี๋แผดเสียงคำราม
ก่อนปลดปล่อยภาพเงาดำคล้ายมือขนาดใหญ่เคลื่อนเข้าหาหยางเสี่ยวเทียน พร้อมกางฝ่ามือหมายเอาตัวเด็กน้อยผู้ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใดนอกจากนิ่งเฉย ทำเขาผู้วางท่าเคร่งขรึมถึงกับเดือดพล่านด้วยบันดาลโทสะอยู่ร่ำไป
“มานี่แล้วคุกเข่าลงเสีย!”
พลังอำนาจแห่งการกลืนกินอันน่าพรั่นพรึง กำลังพุ่งเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนห่อหุ้มเอาเขาไปทั้งร่าง
หลัวชิงและคนอื่นๆ พร้อมเคลื่อนตัวพุ่งเข้าหาเจียงอวี๋จากทั้งสี่ทิศ หมายใช้ดาบตัดแขนที่ปล่อยเงาทะมึนออกมา ป้องกันหยางเสี่ยวเทียนขณะใกล้ถึงตัวเขาอีกเพียงไม่กี่ก้าว
ระหว่างหยางเสี่ยวเทียนกำลังถูกเงาของเจียงอวี๋จับถึงตัว ทันใดนั้น พลังอันทรงอำนาจน่าหวั่นเกรงยิ่งกว่า พลันก้องคำรามออกมาจากเบื้องหลังเด็กน้อยผู้ยังคงมิไหวติง
ครั้นเผชิญกับความแข็งแกร่งจนน่าประหลาดนี้ พลังการกลืนกินจากเจียงอวี๋ก็พลางชะงัก พร้อมหดกลับเหมือนกับไก่หรือสุนัขที่ถูกทำลายลงทีละนิ้ว
เมื่อสัมผัสถึงความแข็งแกร่งที่มาตรว่าทรงพลังกว่าตนหลายเท่า สีหน้าท่าทางของเจียงอวี๋พานแสดงออกเป็นหวาดกลัวเปลี่ยนไปหันชักกระบี่ ฟาดฟันมันออกป้องกันตนเอง
ทันใดนั้น ปราณกระบี่ก็พลันส่องสว่างไปทั่วนภากาศ โถมปะทะเข้ากับสิ่งนั้นก่อนทันถึงตนเองด้วยความรวดเร็วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการป้องกันจากปราณกระบี่เขาจะทรงพลังแค่ไหน มันก็ถูกสิ่งนั้นทลายลงพร้อมทะลวงผ่านพุ่งกระแทกเข้าหน้าอกเขาด้วยความแม่นยำ
เสียงแตกหักดังสนั่นหูประหนึ่งลำไผ่ถูกฉีกขาด ทั้งสีหน้าแสดงออกถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสขณะร่างลอยอยู่เหนือนภากาศ
ตูม!
เจียงอวี๋พร้อมกระบี่ในมือปลิวกระเด็นไปคนละทิศละทาง ร่างเขาล่อยเคว้งราวกับใบไม้แห้งก่อนตกสู่พื้นลานหน้าเรือนหลัก กลิ้งอยู่หลายตลบจวนเกือบถึงประตู หากไม่กระแทกเข้ากับศิลาประดับตกแต่งเสียก่อน
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันต่อหน้าต่อตาพวกเขา ทำให้หลัวชิง เลี่ยวคุน และคนอื่นๆ ที่กำลังถึงตัวเจียงอวี๋ต้องชะงักค้างกันอยู่ในท่าพร้อมลงมือ ตกตะลึงกับบุคคลผู้หายไปจากวงปิดล้อม
ทุกคนเพลานี้ ต่างหันมองไปยังอูฉีด้านหลังหยางเสี่ยวเทียนเป็นตาเดียว การลงมือของเขา แทบไม่ต้องขยับเขยื้อนตัวไปไหนเลยด้วยซ้ำ
เจียงอวี๋กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเหี่ยวย่นของอูฉี ผู้กำลังเดินใช้ไม้เท้าพยุงร่างอันโรยราราวคนใกล้สิ้นสังขารด้วยความไม่อยากเชื่อ
อูฉีพร้อมหยางเสี่ยวเทียนและคนอื่นๆ ที่ขณะนี้ออกมาเหลือบมองร่างเจียงอวี๋ผู้กำลังนั่งพิงศิลาหน้าเรือนหลัก สภาพผู้ทรงเกียรติยับเยินแทบไม่หลงเหลือให้เห็นถึงความทะนงตนก่อนหน้า
“ผะ ผู้อาวุโส เจ้าเป็นใคร” เจียงอวี๋เอ่ยถาม ดวงตาไม่สามารถซ่อนความกลัวของตนได้
“เจ้าหนุ่ม อาจารย์เจ้านามว่านอี้ใช่หรือไม่ ข้าจำได้ว่าอาจารย์เจ้า พาเจ้าไปที่ตำหนักจอมเวทย์ของข้าเพื่อแสวงหาโอสถ” อูฉีกล่าว
ตำหนักจอมเวทย์ แสวงหาโอสถ!
ร่างกายเจียงอวี๋สั่นสะท้าน สีหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว ครั้นนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายสิบปีก่อน
“จะ เจ้าคือผู้อาวุโสอู เช่นนั้นหรือ!” ดวงตาเจียงอวี๋เบิกกว้างหลังนึกขึ้นได้
อูฉียกยิ้มมุมปากขณะจ้องมองไปยังเจียงอวี๋ด้วยดวงตาขุ่นเคือง “ในเมื่อจำข้าได้ ก็ดีแล้ว”
จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเหยียดหยาม “ในเมื่อเจ้าได้ประสบกับสภาพตนเช่นนี้แล้ว เจ้ายังใคร่ต้องการรับนายน้อยข้าเป็นศิษย์อีกหรือไม่”