ตอนที่แล้วบทที่ 183: เม่งจื๊อสอนอะไรเจ้า ถึงทำให้เจ้าเห็นคุณค่าของเงินตรามากกว่าผู้คน?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 185: หลินเป่ยฟานหนึ่งต่อห้า ศึกระหว่างราชวงศ์หยานและราชวงศ์อู๋?

บทที่ 184: สายลับราชวงศ์หยานของเรา แท้จริงแล้วคือหลินเป่ยฟานงั้นหรือ?


[แฟนเพจBamแปลNiyay:ลงแบบราคาถูกโคตรในmy-novel(ลงช้ากว่าThai-novel100ตอน)กับthai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นนอกจากสองเว็บนี้คือไม่ใช่ผมนะ ถ้าเจอคนอ่านก็อปดันเยอะกว่าก็ท้อเป็นนะครับ]

[ถ้าอ่านฟรีแบบเถื่อนไม่ว่าจะได้มายังไงนั้น ผมไม่ว่าเลยครับ และต่อให้ไม่มีคนอ่าน ผมก็ยังจะแปลต่อจนจบด้วย แต่ถ้าจะจ่ายเงินให้เว็บหรือคนที่copyไปขายอีกที คุณโคตรแย่เลยครับ]

[หลังแปลจบจะมีการแก้คำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น ดังนั้นถ้าคุณอ่านแบบเถื่อน ก็เชิญเลยครับ เพราะมันไม่มีอัพเดทให้หรอก]

บทที่ 184: สายลับราชวงศ์หยานของเรา แท้จริงแล้วคือหลินเป่ยฟานงั้นหรือ?

“ฝ่าบาท นี่คือพระกระโดดกำแพงที่ท่านหญิงนำมามอบให้! ว่ากันว่ามันถูกทำขึ้นมาโดยข้าหลวงระดับสูง โดยใช้ส่วนผสมชั้นเลิศเช่น หอยเป๋าฮื้อ ปากปลาฉลาม แตงกวาทะเลและตุ๋นเป็นเวลา 24 ชั่วโมง!”

จักรพรรดินีเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ “ผู้อำนวยการใหญ่หลินทำอาหารได้ด้วยงั้นเหรอ?”

“พ่ะย่ะค่ะ หลังจากที่ข้ารับใช้เฒ่าผู้นี้ได้ยินข่าวนี้ ตัวกระหม่อก็ค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน!” ขันทีเฒ่าหัวเราะ “แต่ข้าหลวงระดับสูงผู้นั้นมีความสามารถหลากหลายและโดดเด่นอยู่แล้ว คงไม่น่าแปลกใจหากมีฝีมือเช่นนี้อยู่!”

"ที่กล่าวมาก็ถูก!" จักรพรรดินีพยักหน้าและยิ้ม

ตอนแรก นางคิดว่าหลินเป่ยฟานเป็นเพียงข้าหลวงที่มีความเป็นเลิศในด้านการศึกษา

จากนั้น นางก็พบว่าเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิชายุทธ์อันเลิศล้ำเช่นกัน

ต่อมา เธอได้ตระหนักว่าความสามารถในการบริหารและการปกครองของเขานั้นยอดเยี่ยมเพียงใด สามารถจัดการกับขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารได้โดยไม่ถูกกดดัน ช่วยนางแก้ปัญหามากมายจนทำให้นางรู้สึกโปรดปราน

หลังจากนั้น นางก็พบว่าเขายังเป็นนักประดิษฐ์ที่สร้างสมบัติแห่งชาติอันยิ่งใหญ่สองอย่าง นั่นคือบัลลูนลมร้อนและเรือสะเทินน้ำสะเทินบก

จากนั้น นางก็พบว่าเขาเป็นกุนซือที่มีความเชี่ยวชาญในทักษะทางทหารที่หลากหลาย ช่วยให้ท่านหญิงผู้ลี้ภัยแห่งราชวงศ์เซียนเยว่สามารถสร้างรากฐานที่ยิ่งใหญ่ได้

หลังจากนั้น นางก็พบว่าเขารู้ทักษะการรักษาและแก้ไขความเข้าใจผิดในวิธีการรักษาของคนจำนวนมาก

ตอนนี้ เขายังมีทักษะการทำอาหารอีก

เขาเป็นเหมือนดั่งกล่องลึกลับ ที่ให้ความสดใหม่และความประหลาดใจทุกครั้งที่เปิดออก

ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าต่อจากนี้เขาจะมีอะไรมาอีก

ในยามนั้นเอง กลิ่นหอมของพระกระโดดข้ามกำแพงลอยข้ามออกมา

จักรพรรดินีรู้สึกใจชื่นยิ่ง “มันหอมมาก ข้าไม่เคยได้กลิ่นหอมแบบนี้มาก่อน รีบนำมันมาให้ข้าชิมเร็ว!”

พระกระโดดกำแพงถูกวางไว้ตรงหน้าจักรพรรดินี พอเปิดฝา กลิ่นหอมที่รุนแรงได้กระจายออกไปตามความร้อน เติมเต็มห้องอักษรด้วยกลิ่นหอมที่เข้มข้นของจาน

“มันยังร้อนอยู่เลย ดูเหมือนว่ามันเพิ่งถูกนำออกมาจากหม้อและนำมาให้ พวกเขาช่างรอบคอบนัก!” จักรพรรดินีอุทานด้วยความสุขใจ

แม้ว่านางจะปกครองอาณาจักรเพียงผู้เดียว แต่นางก็ยังปรารถนาที่จะได้รับการดูแลจากผู้อื่น

โดยเฉพาะจากหลินเป่ยฟาน ผู้เป็นคนสนิทที่นางไว้วางใจและชื่นชอบมากที่สุด รวมถึงท่านหญิงน้อยผู้เป็นสหายสนิทที่นางหวงแหวนด้วย มิตรภาพที่พวกเขาใส่ใจอย่างละเอียดอ่อนเช่นนี้ ทำให้หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นยิ่ง

นางหยิบช้อนขึ้นมาและกำลังจะกิน

“ฝ่าบาท ให้ข้ารับใช้ชราผู้นี้ลิ้มรสก่อนดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?” ขันทีเฒ่าที่อยู่ข้าง ๆ นางเสนอ

จักรพรรดินีโบกมือ “ไม่ต้องห่วง พวกเขาจะไม่ทำร้ายข้าหรอก!”

นางจิบซุปและชิมอย่างถี่ถ้วน ใบหน้าอันงดงามของนางคล้ายกำลังหลงใหลอยู่ทุกขณะ

"สดชื่น! หอมกรุ่น! เลิศรส! รสชาติของซุปนี้ไม่เหมือนใครเลย! ข้าได้ลิ้มรสน้ำซุปมานับไม่ถ้วน แต่น้ำซุปนี้มีรสชาติที่เข้มข้นที่สุด!”

นางจิบอีกสองครั้ง ก่อนที่จะกัดหอยเป๋าฮื้อ

“หอยเป๋าฮื้อชิ้นนี้ตุ๋นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่นุ่มจนละเอียด แต่นุ่มกำลังดีไม่ติดฟัน!”

“ส่วนปากฉลามนี้ ดูดซึมน้ำซุปมาอย่างเต็มที่ ทำให้เคี้ยวสนุกเป็ฯอย่างยิ่ง!”

“และเห็ดพวกนี้ก็อร่อยมาก!”

จักรพรรดินีกินไป ออกความคิดเห็นไปพลาง

ในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป นางก็กินทั้งชามของพระกระโดดกำแพงจนหมด

ท้องแบนราบของนางยื่นนูนออกมาเล็กน้อย

จักรพรรดินีรู้สึกพึงพอใจมากและกล่าวออกมาอย่างเกียจคร้านว่า “ท่านหลินช่างรู้วิธีนัก! วัตถุดิบอันโอชะที่ข้ามอบเป็นรางวัลแก่เขา เขาก็รู้วิธีใช้งานมันดีเหลือเกิน! พระกระโดดกำแพงนี้คงกลายเป็นอาหารรสเลิศอันดับหนึ่งของโลกเป็นแน่แท้!”

“ฝ่าบาท ในเมื่อท่านสนุกกับการกินพระกระโดดกำแพง ทำไมไม่ให้ท่านข้าหลวงผู้นั้นเผยแพร่สูตรอาหารและส่งมอบให้กับห้องครัวของวัง เพื่อที่ฝ่าบาทจะได้รับประทานมันบ่อย ๆ ล่ะพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีเฒ่าเสนอแนะ

“เป็นความคิดที่ดี แต่ช่างเถิด!” จักรพรรดินียิ้ม “แม้นจะทำในห้องครัวของวัง แต่มันก็คงแตกต่างจากอาหารที่ท่านหลินทำมาให้! สำหรับห้องครัวของวัง พวกเขาคิดว่ามันเป็นแค่งาน! แต่สำหรับท่านหลิน มันคือความจริงใจ! เงินสามารถประเมินค่าได้ แต่ความจริงใจนั้นประเมินค่าไม่ได้! บอกท่านหลินด้วยว่าข้าชอบพระกระโดดกำแพงที่เขาทำมาก!”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” ขันทีเฒ่าเข้าใจความหมายโดยนัยของนางทันที

ที่จริงแล้ว มันเหมือนเป็นการบอกใบ้กับหลินเป่ยฟานว่า ในอนาคตเมื่อใดก็ตามที่เขาทำพระกระโดดกำแพงหรืออาหารอร่อยอื่น ๆ เขาควรส่งส่วนหนึ่งมาด้วย เพราะจักรพรรดินีชอบสิ่งที่เขาทำมากจริง ๆ

นี่ก็เป็นวิธีแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และร่วมสุขร่วมทุกข์กันระหว่างผู้ปกครองกับขุนนาง

“จะว่าไปแล้ว สองเดือนผ่านพ้นไปไวเหลือเกิน! อาการตาบอดกลางคืนและโรคเหน็บชาของทหารดีขึ้นหรือยัง?” จักรพรรดินีเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

นางกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก ทหารส่วนใหญ่ประสบปัญหาโรคตาบอดกลางคืนและโรคเหน็บชา แม้ว่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อด้านการทหาร

โรคตาบอดกลางคืนนำไปสู่ความพ่ายแพ้อย่างง่ายดายในการต่อสู้ช่วงเวลากลางคืน

ส่วนโรคเห็นบชา ทำให้เกิดความยากลำบากระหว่างการเดินขบวนและการต่อสู้

หากทั้งสองเรื่องนี้ดีขึ้น ความแข็งแกร่งของกองทัพของนางจะเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

“ขออภัยด้วยฝ่าบาท ข้ารับใช้ชราผู้นี้ไม่ทราบ แต่กระหม่อมขอแนะนำให้เรียกนายพลจ้าวมาสอบถาม เพราะเขาต้องรับผิดชอบเรื่องนี้!”

“เรียกนายพลจ้าวมาที่วัง!”

ไม่นานหลังจากนั้น นายพลจ้าวเข้ามาในวังด้วยท่าทางอันองอาจ

“กราบถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงมีพระชนมายุยืนนานนับหมื่นปี!”

“นายพลจ้าว ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองนัก!” จักรพรรดินีถามด้วยความกังวลว่า “ก่อนหน้านี้ข้าขอให้ท่านทำการทดลองตาม ‘สูตรยาหลี่’ สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง? อาการตาบอดกลางคืนและโรคเหน็บชาของทหารดีขึ้นหรือไม่?”

“ฝ่าบาทตามคำสั่งของท่าน ข้าได้คัดเลือกทหาร 100 นายที่ทุกข์ทรมานจากสภาพโรคเหล่านี้ จัดหาอาหารที่สอดคล้องกันตามที่กล่าวไว้ในหนังสือตำราหมอยอ่างไม่ขาดตกบกพร่อง!”

นายพลจ้าวกล่าวเสียงดัง “หลังจากการทดลองสองเดือน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเกิดขึ้น อาการตาบอดกลางคืนและโรคเหน็บชาของทหารได้เปลี่ยนไป! ในหมู่พวกเขา 32 คนที่มีอาการตาบอดกลางคืนได้หายเป็นปลิดทิ้ง และ 34 คนที่มีโรคเหน็บชาก็หายเป็นปกติเช่นกัน! แม้ว่าคนอื่น ๆ อาจจะยังไม่หายสนิท แต่อาการของพวกเขาดีขึ้นอย่างมากและความรุนแรงของอาการก็ลดลง!”

"สิ่งนี้หากเป็นแต่ก่อนคงป็นไปไม่ได้ แต่ด้วยวิธีการที่บันทึกไว้ในตำราหมอนั้น มันกลับได้ผลชะงักงัน!"

นายพลจ้าวไม่อาจอดกลั้นความปีติยินดีของเขาได้เลย "ฝ่าบาท เนื่องจากระยะเวลาการทดลองสั้น ๆ จํานวนบุคคลที่ฟื้นตัวเต็มที่จึงค่อนข้างน้อย! ให้เวลากระหม่อมอีกสองเดือน กระหม่อมมั่นใจว่าทหารมากกว่าครึ่งจะฟื้นตัวได้แน่!"

"เช่นนั้นก็ดี!" จักรพรรดินีปรบมืออย่างยินดีพร้อมกล่าวว่า “ในเมื่อวิธีนี้มีประสิทธิภาพ จงนำไปใช้ทั่วทั้งกองทัพ !”

“ฝ่าบาท พระองค์ทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก!” นายพลจ้าวตะโกนเสียงดังก่อนจะจากไป

กิจของทหารไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ข่าวเรื่องนี้ได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วจนทำให้ราษฎรต้องประหลาดใจ

"จริงหรือที่วิธีการรักษาโรคตาบอดกลางคืนและโรคเหน็บชาที่บันทึกไว้ใน 'ตำราหมอหลี่' ได้ผลจริง?"

“มันจะเป็นเรื่องโกหกได้เช่นไร? ราชสำนักได้ทำการทดลองอย่างลับ ๆ เป็นเวลากว่าสองเดือนและได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก นั่นแหละคือเหตุผลที่มันถูกนำไปใช้ทั่วทั้งกองทัพ!”

“ดูเหมือนว่าผู้อำนวยการใหญ่จะมีฝีมือด้านการรักษาอยู่จริง ๆ วิธีการของเขามีประสิทธิภาพนัก!”

“เช่นนั้นวิธีการรักษาอื่น ๆ ที่บันทึกไว้ในตำราหมอก็อาจเป็นจริงเหมือนกันสิ!”

มีการพูดคุยกันมากมายในหมู่ราษฎร และเป็นอีกครั้งที่ตำราหมอหลี่” กลายเป็นที่นิยม

ในเวลานี้เอง ชนชั้นสูงหนุ่มผู้แต่งกายหรูหราเดินไปตามถนนและฟังการสนทนาของผู้คนด้วยความประหลาดใจอย่างมาก

"ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะมีวิธีการรักษาโรคเหน็บชาและตาบอดกลางคืนอย่างมีประสิทธิภาพอยู่ด้วย! หากการรักษานี้ได้ถูกนำไปใช้ในกองทัพอู๋ กำลังพลของพวกเขาคงแข็งแกร่งขึ้นเป็นแน่! นี่อาจไม่ใช่ข่าวดีสำหรับราชวงศ์ของเรา!”

“เช่นนั้น ฝ่าบาท ลองคิดดูในอีกมุมหนึ่งสิพ่ะย่ะค่ะ ถ้าหากเรานำวิธีการรักษานี้กลับมาใช้กับเราเองได้ มันจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์เป็นแน่!” ชายสูงอายุที่อยู่ข้างหลังเขากระซิบ

“ท่านพูดถูก มันย่อมเป็นผลดีแก่เรา! จะปล่อยให้มันสูญเปล่าไม่ได้!” ชนชั้นสูงหนุ่มหัวเราะ “แต่สิ่งที่ข้าสนใจมากกว่านั้นคือ ผู้ที่เสนอสูตรยานี้คือหลินเป่ยฟานต่างหาก! ว่ากันว่าเขาเป็นบัณฑิตคนแรกที่ผ่านการสอบจอหงวนสามครั้งตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักรอู๋อันแสนยิ่งใหญ่ขึ้นมา ทั้งที่อายุยังน้อย เขากลับเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากจากจักรพรรดินี ดังนั้นเขาจึงได้รับการเลื่อนยศอย่างต่อเนื่องและได้ก้าวกระโดดจนเป็นผู้อำนวยการใหญ่!”

“บัลลูนลมร้อนและเรือสะเทินน้ำสะเทินบก ล้วนถูกคิดค้นโดยเขาและมันเพิ่มความแข็งแกร่งให้อาณาจักรอู๋อันแสนยิ่งใหญ่อย่างมาก! ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะเป็นหมอด้วย ฮ่าฮ่า! ช่างน่าสนใจจริง ๆ !”

“ชายหนุ่มผู้นั้นมีความสามารถมากจริง ๆ !” ชายสูงอายุที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็รู้สึกชื่นชมและกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าเขาอายุน้อยกว่า 20 ปี แต่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในราชสำนักแล้ว! พรสวรรค์ของเขาน่าทึ่งยิ่ง โดยเฉพาะในด้านบทกวีและการเขียนอักษร เขาได้แต่งบทกวีดั้งเดิมมากมายที่แพร่กระจายไปทั่วอาณาจักร! เขาอาจเป็นผู้ที่สามารถต่อกรกับราชวงศ์หยานของเรา!”

"เราควรจริงจังกับเรื่องของเขาเสียที แต่ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงไหน ตัวเขาผู้นั้นก็ยังคงมีอยู่เพียงคนเดียว!" ชนชั้นสูงหนุ่มหัวเราะ “กลุ่มบัณฑิตที่เราส่งไปครั้งนี้โดดเด่นที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์หยานของเราขึ้นมา! พวกเขาจะต้องชนะการประชันประพันธ์ครั้งนี้แน่! และถ้าพวกเขาทำไม่ได้ ข้าผู้นี้ก็จะทำเอง!”

ขณะที่เขาพูดสิ่งนี้ เขายืนอย่างภาคภูมิใจด้วยสีหน้าที่เปล่งประกาย

"พระองค์ตรัสถูกต้องทุกประการพ่ะย่ะค่ะ!" ชายชราประจบประแจง "เพราะฝ่าพระบาทยังทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาญาณของบัณฑิตชั้นสูง! ถ้าไม่ใช่เพราะมีฐานะเป็นราชวงศ์ พระองค์คงได้รับการเสนอชื่อให้เป็นสุดยอดบัณฑิตแล้ว!”

ชนชั้นสูงหนุ่มหัวเราะออกมา

“ฝ่าบาท การแข่งขันระหว่างราชวงศ์หยานและอู๋เป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ไม่อาจปล่อยให้ผิดพลาดได้! เราควรติดต่อสายของอาณาจักรอู๋ล่วงหน้าก่อน เพื่อให้เรามีโอกาสได้รับข้อมูลเกี่ยวกับคู่ต่อสู้ของเรามากขึ้น จะดีไหมพ่ะย่ะค่ะ? โอกาสในการชนะของเราจะได้มีมากขึ้นด้วย!”

สีหน้าของชนชั้นสูงหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง “สายวงในที่ว่าผู้นี้เป็นใครกัน?”

“อันที่จริง…เป็นหลินเป่ยฟาน ผู้อำนวยการใหญ่ของสำนักศึกษาหลวงแห่งอาณาจักรอู๋พ่ะย่ะค่ะ!”

"เป็นเขาจริงเหรอ?" ชนชั้นสูงหนุ่มค่อนข้างตกใจเป็นอย่างยิ่ง

ชายหนุ่มที่เขาเพิ่งยกย่อง กลับกลายเป็นสายให้พวกเขาเสียอย่างนั้น นี้มันสถานการณ์อะไรกัน?!

“ท่านหวัง ท่านเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า?”เป็นเขาไปได้ยังไงกัน?“ชายหนุ่มขมวดคิ้ว”ตามสิ่งที่ข้ารู้มา หลินเป่ยฟานเป็นที่ชื่นชอบขององค์จักรพรรดินีอย่างมาก ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทําไมเขาจึงได้รับการเลื่อนตําแหน่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาได้เพลิดเพลินกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งไม่รู้จบ! มันย่อมไม่สมเหตุสมผลเลยที่คนที่มีอนาคตสดใสเช่นนี้จะทรยศอาณาจักรอู๋ เขาจะเป็นสายของเราได้ยังไง?”

ชายชราถอนหายใจอย่างขมขื่น “ฝ่าบาท เป็นเขาจริง ๆ ! แม้ว่าเขาจะเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากและมีอนาคตที่สดใส แต่เขาก็มีอุปนิสัยอย่างหนึ่งที่ร้ายแรง นั่นคือความโลภ! เป็นเพราะเหตุนี้ เราจึงสามารถซื้อตัวเขาได้!”

"ความโลภ? เขาจะโลภได้ขนาดไหนกันเชียว?” ชนชั้นสูงหนุ่มเอ่ยถาม

"ฝ่าบาท เช่นนั้นกระหม่อมขอเล่าให้พระองค์ทราบ เขาคือผู้ที่เปิดเผยวิธีการผลิตบัลลูนลมร้อนและเรือสะเทินน้ำสะเทินบกให้เรา! เพื่อให้ได้มาซึ่งวิธีการผลิตอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองอย่างนี้ เราจ่ายเงินทั้งหมด 8 ล้านตำลึง เขาไม่ยอมรับราคาที่ต่ำกว่านี้แล้ว!” ชายสูงวัยได้แต่คร่ำครวญ

"8 ล้านตำลึง! ช่างโลภมากจริง ๆ !” แม้ว่าเขาในฐานะคุณชายจะรวมทรัพย์สมบัติของเขาเข้าด้วยกัน แต่มันก็ไม่ได้เท่ากับหนึ่งในสามของสิ่งที่อีกฝ่ายได้รับเลย

“และว่ากันว่า ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง เขายักยอกเงินไปหลายสิบล้านตำลึง เอาแม้แต่เงินของเสนาบดีคนอื่นมาเป็นของตัวเอง! เขาไม่รู้จักพอจริง ๆ !” ชนชั้นสูงหนุ่มอ้าปากค้างไปแล้ว

“เขายักยอกตะแลงไปนับสิบล้านตำลึง! ด้วยความโลภเช่นนี้ เขาไม่กลัวที่จะถูกบั้นเศียรเลยหรือ?”

“กล่าวอย่างสัตย์จริง ตัวกระหม่อมก็ไม่ทราบว่าทำไมเขาถึงกล้าหาญนัก บางทีเขาอาจจะพึ่งพาความโปรดปรานของจักรพรรดินีก็เป็นได้! ราชสำนักอู๋ที่ยิ่งใหญ่เน่าเสียจากบนลงล่าง เสียหายไปถึงแกนกลาง! ฝ่าบาท ถ้าเราไปหาเขาและขอความช่วยเหลือจากเขา เราอาจต้องเตรียมเงินเพิ่ม!” ชายสูงอายุกล่าวอีกครั้ง

มุมปากของชนชั้นสูงหนุ่มถึงกับกระตุก “ท่านหวัง ข้าคิดว่าไม่ควรทำเช่นนั้น! ข้าไม่ได้มีทรัพย์สมบัติมากมายขนาดนั้นที่จะตอบสนองความโลภของเขาได้! นอกจากนี้ เรายังไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขาในการแข่งขันระหว่างราชวงศ์หยานและอู๋ด้วย!”

"พระองค์ตรัสถูกต้องทุกประการพ่ะย่ะค่ะ!"

ทั้งสองหัวเราะและหายตัวไปในท้องถนน

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay , ลงแบบราคาถูกแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับ หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิก กระซิก ;-;

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด