บทที่ 16 คุณหนูลั่วเหยา
เมื่อหลัวเฉิงติดตามหญิงรับใช้จนมาถึงห้องส่วนตัวของผู้ดูแล ภายในห้องนั้น มีหญิงสาวผู้เลอโฉมคนหนึ่งนั่งอยู่ที่นั่น ใบหน้าของนางมาตรว่างดงามกว่าผู้ใดในเมืองฉีซานแห่งนี้
นางสวมอาภรณ์ขณะมีขนจิ้งจอกสีขาวพาดไหล่นวล แสงจากนอกหน้าต่าง ส่องต้องผิวกายที่ขาวราวกับหยก เผยให้เห็นความเรียบเนียนราวแพรพรรณเนื้อดีมีราคา ช่วงขาของนางเรียวยาวไขว้เกี่ยวกันขณะนั่งอยู่ ชูเรือนร่างอันสง่างามให้โดดเด่น เพียงเห็นก็สัมผัสได้ถึงความสมบูรณ์แบบประหนึ่งเทพธิดา
จากนั้น หญิงรับใช้อาภรณ์น้ำเงิน จึงยกหีบที่บรรจุชิ้นส่วนของสัตว์อสูร ไปวางเบื้องหน้านางทันใด
ขณะลั่วเหยาเปิดหีบชิ้นส่วนสัตว์อสูรออก นางช้อนตามองหลัวเฉิงด้วยดวงตาอันงดงามที่เปล่งประกายใสดุจน้ำค้าง จากนั้นจึงเริ่มนับทีละชิ้น
“มีชิ้นส่วนสัตว์อสูรทั้งหมดสามสิบสี่ชิ้น มีมูลค่ารวมเก้าพันแปดร้อยสี่สิบตำลึง คุณชายเห็นเป็นเช่นไร” หลังจากนับชิ้นส่วนสัตว์อสูรแล้ว นางก็เผยอปากเอื้อนเอ่ยราคา
จากนั้น ลั่วเหยาค่อยๆ ขยับเรือนร่างลุกขึ้นยืน ขณะที่นางไม่ทันระวังตัว ขนจิ้งจอกก็ลื่นไหลหลุดจากไหล่อันเรียบเนียน เผยให้เห็นทรวงอกขนาดใหญ่ขาวราวหิมะ ที่ครึ่งหนึ่งถูกปิดส่วนอีกครึ่งถูกเปิดออก แม้นจะอยู่ใต้ผืนแพรอาภรณ์ ก็ยังคงรับรู้ถึงความอวบอิ่มและแน่นกลม
หลัวเฉิงไม่เคยประสบพบฉากอันหอมหวนรัญจวนใจเช่นนี้มาก่อน พานให้ชายหนุ่มรู้สึกแน่นหน้าอกสูดลมเข้าไม่คลายปอดนัก เขาหลบสายตาออกไปในขณะที่หูสองข้างกำลังแดง ก่อนที่เขาจะเปิดปากกล่าววาจาติดขัดเล็กน้อย “ขะ…ข้าต้องการซื้อโอสถหลอมกายา”
“โอสถหลอมกายาเป็นโอสถระดับหนึ่งดาว มีมูลค่าหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง” ลั่วเหยาโค้งมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงของนางอ่อนหวานนุ่มนวล ประหนึ่งมีมนต์สะกดให้หลงใหล
“หนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงเช่นนั้นหรือ?” หลัวเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาไม่คิดเลยว่า โอสถหลอมกายาธรรมดาทั่วไป จะมีราคาที่สูงถึงปานนี้
ทั้งเนื้อตัวเขามีเพียงไม่กี่ร้อยตำลึงเท่านั้น แม้นส่วนหนึ่งจะได้มาจากหลินหงและคนอื่นๆ กระนั้นแล้ว ก็ยังไม่พอจะซื้อโอสถหลอมกายาธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ
ดวงตาลั่วเหยาแสดงรอยยิ้มเล็กน้อย ขณะมองไปยังหลัวเฉิงที่มีสีหน้าวิตกกังวล ก่อนจะขับขานวาจาด้วยลมหายใจอันหอมหวานของนาง
“เนื่องจากคุณชายหลัวมีความเชื่อมั่นต่อศาลาหลิงอวิ๋นของเรา ข้าจึงสามารถให้ส่วนลดแก่ท่านสามส่วน ในระหว่างการซื้อขายครั้งนี้”
หลัวเฉิงผู้กำลังวิตกกังวลอยู่เมื่อครู่ เปลี่ยนสีหน้าเป็นตกตะลึงในทันที เขาไม่คิดเลยว่านางจะใจกว้างถึงเพียงนี้
“ขอบคุณแม่นาง ท่านช่างมีน้ำใจนัก” หลัวเฉิงรีบแสดงความขอบคุณอย่างสุภาพ
เขามิได้ปฏิเสธน้ำใจของนางแต่อย่างใด เนื่องจากตอนนี้เขาต้องการโอสถหลอมกายาจริงๆ
หลังหลัวเฉิงขายชิ้นส่วนสัตว์อสูร และซื้อโอสถหลอมกายาจนเสร็จสิ้น เขาก็ขอบคุณนางอีกครั้ง แล้วขอตัวลาจากไปในทันที
“คุณหนู ด้วยส่วนลดมากถึงสามส่วน เราแทบไม่มีกำไรเลยนะเจ้าคะ ยิ่งไปกว่านั้น หลัวเฉิงผู้นี้เพิ่งปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะที่ยังไม่ถือกำเนิด…” หญิงรับใช้อาภรณ์น้ำเงินรีบเอ่ยขึ้นด้วยความฉงนสงสัย เพราะเมื่อก่อนผู้ดูแลศาลามิได้ใจกว้างถึงขนาดนี้
“เจ้าอยากรู้เช่นนั้นหรือ?” ลั่วเหยาหัวร่อคิกคัก ก่อนจะใช้นิ้วอันเรียวยาวราวแท่งเทียนของนาง ลูบไล้ชิ้นส่วนสัตว์อสูรที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างอ่อนโยน
นางหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วเอื้อนเอ่ยว่า “ชิ้นส่วนของสัตว์อสูรทั้งหมด เพิ่งถูกล่าเมื่อเร็วๆ นี้ อีกทั้งยังมีชิ้นส่วนของสัตว์อสูรระดับสูงหนึ่งดาวมากมายปะปนอยู่ในนั้น”
“คุณหนู ท่านกำลังจะบอกว่า หลัวเฉิงล่าสัตว์อสูรระดับสูงหนึ่งดาวงั้นหรือ? นั่นเท่ากับว่า เขาทะลวงเข้าสู่ช่วงปลายของขั้นหลอมกายาแล้วมิใช่หรือ? แต่นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร”
หญิงรับใช้อาภรณ์น้ำเงิน ขบเม้มริมฝีปากสีแดงสดของนาง ด้วยความรู้สึกประหลาดใจยิ่ง
ทุกคนรู้ดีว่า หลัวเฉิงปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา และกลายเป็นคนไร้ค่าอันดับหนึ่งของเมืองฉีซาน!
ด้วยการดูดซับปราณแห่งสวรรค์และโลกของวิญญาณยุทธ์ขยะ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทะลวงเข้าสู่ช่วงปลายของขั้นหลอมกายาในเวลาอันสั้นเช่นนี้!
ลั่วเหยาหัวร่อเสียงหยาดเยิ้มกล่าวว่า “ผู้ใดจะล่วงรู้ แต่ข้าคิดว่างานชุมนุมล่าสัตว์ในครานี้ ต้องน่าสนใจมากเป็นแน่…”
หลังกล่าวเช่นนั้น นางก็เยื้องย่างไปยังริมหน้าต่าง ก่อนโน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อวางศอก แล้วยกมือขวาอันนวลผ่องขึ้นสัมผัสแก้ม พร้อมแสดงรอยยิ้มอย่างมีเสน่ห์ ขณะสายตาของนางทอดยาวไปยังบุรุษหนุ่ม ที่กำลังเดินออกจากศาลาด้วยใบหน้าอันมุ่งมั่น
เมื่อหลัวเฉิงออกจากศาลาหลิงอวิ๋น เขาก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะกลับไปยังตระกูลหลัว
เนื่องจากหลายวันมานี้ เขาเอาแต่ฝึกฝนอยู่ในหุบเขาเมฆาทมิฬ และแทบมิได้ลิ้มรสอาหารดีๆ นัก จึงต้องการกินอะไรบางอย่างเสียก่อน แล้วค่อยกลับไปยังตระกูลหลัว
ไม่นานนัก เขาก็สืบเท้ามาจนถึงโรงเตี๊ยมชื่อจุ้ยอวิ๋นเชวี่ย แต่ขณะที่หลัวเฉิงกำลังจะเข้าไป
ปัง!
จู่ๆ ก็ปรากฏร่างหนึ่ง พุ่งชนประตูลอยลิ่วออกมา กระแทกเข้าที่พื้นเบื้องหน้าเขาอย่างแรง
“หลัวอวิ๋น!” หลัวเฉิงอุทานพลางขมวดคิ้ว
เขาจำได้ในทันที ว่าผู้ที่ล้มอยู่นี้เป็นคนของตระกูลหลัว ซึ่งหลัวอวิ๋นได้ปลุกวิญญาณยุทธ์พร้อมกับเขาเมื่อราวครึ่งเดือนก่อน
ปากของหลัวอวิ๋นบวมช้ำ และมีรอยฝ่ามือสีแดงสด ปรากฏชัดเจนที่ด้านขวาของใบหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาถูกทุบตีอย่างทารุณ
หลัวเฉิงรีบปรี่ไปพยุงร่างของเขาให้ลุกขึ้น แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ครั้นเห็นว่าเป็นหลัวเฉิง ความผิดหวังก็แวบขึ้นมาในดวงตาของหลัวอวิ๋น แต่เขาก็เร่งกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ข้าได้พบกับตระกูลหลินและตระกูลฉี พวกเขากล่าววาจาหยาบคายต่อผู้นำตระกูลเรา ข้าทนไม่ได้จึงตวาดใส่ แล้วจากนั้น... หลัวเฉิงเรารีบหนีไปจากที่นี่กันเถอะ! พวกนั้นมีหลายคน..”
ขณะที่เขากล่าวนั้น หลัวอวิ๋นก็เอื้อมมือออกไป หมายจะดึงแขนหลัวเฉิงเพื่อพาหนี
“ตระกูลหลินและตระกูลฉี อีกแล้ว!” หลัวเฉิงตะคอกพร้อมกำหมัดกระชับแน่น ในแววตาทอประกายแสงอันเย็นยะเยือก
เขาไม่ได้หนีแต่อย่างใด หลังจากยืนนิ่งอยู่ครู่ก็เหยียดยิ้มอย่างเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ตามข้าเข้าไป”
“เข้าไปงั้นหรือ?” หลัวอวิ๋นแสดงความตกใจผ่านทางสีหน้าทันที
ระหว่างนั้น สายตาเขาก็พลันเห็นหลัวเฉิงกำลังเดินไปในโรงเตี๊ยม เขาจึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดหลัวเฉิงเอาไว้มิให้คิดสั้น
“หลัวเฉิง พวกมันมีกันมีสี่หรือห้าคน! ซึ่งหนึ่งในนั้นคือฉีตง ปีศาจน้อยของตระกูลฉี! เราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา รีบกลับไปหาคนมาช่วยจะดีกว่า!”
หลัวเฉิงไม่ได้ฟังที่เขากล่าวแต่อย่างใด กลับยังเดินตรงเข้าไปในโรงเตี๊ยม พร้อมแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น
“หลัวเฉิง! เจ้า...เจ้าอยากตายกระนั้นหรือ!”
เมื่อการปรามของตนไม่เป็นผล หลัวอวิ๋นจึงทำได้เพียงกัดฟันแล้วเดินตามเข้าไป