บทที่ 15 ศาลาหลิงอวิ๋น
หลังจากสังหารคนของตระกูลหลินอีกสองคนแล้ว หลัวเฉิงก็สูดหายใจเข้าลึกๆ
บางที อาจเป็นเพราะว่าเขาต่อสู้กับสัตว์อสูรมากมายในช่วงนี้ หลังสังหารหลินหงและคนอื่นๆ จึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก
ครั้นเก็บของมีค่าจากทั้งสามคนแล้ว หลัวเฉิงจึงลุกขึ้นหันหลัง แต่ขณะกำลังจะจากไปเขาก็นึกถึงบางสิ่งก่อนจะหยุดก้าวขาอย่างกะทันหัน
“เนื่องจากวิญญาณยุทธ์ของข้า สามารถกลืนวิญญาณสัตว์อสูรได้ ไม่แน่ว่ามันอาจกลืนวิญญาณยุทธ์ของผู้อื่นได้เช่นกัน…” หลัวเฉิงพึมพำกับตนเอง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลัวเฉิงก็เหยียดมือซ้ายไปทางร่างของหลินหง เพื่อคลายความสงสัยในใจตนให้มันกระจ่างชัด
ทันใดนั้น สัญลักษณ์เก้าสีก็ปล่อยแรงดูดที่มองไม่เห็นออกมาอีกครั้ง ก่อนที่วิญญาณยุทธ์เสือจะปรากฏขึ้นเหนือศพของหลินหง
มันคือวิญญาณยุทธ์ของหลินหง ซึ่งเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับสี่ดาว เสือหินลายจุด!
คราที่วิญญาณยุทธ์นี้ปรากฏ สัญลักษณ์เก้าสีบนฝ่ามือของหลัวเฉิงก็ดูดกลืนมันเข้าไปในทันที
หลังจากดูดกลืนวิญญาณยุทธ์แล้ว หลัวเฉิงก็รู้สึกว่า ดาวที่อยู่ภายในวิญญาณยุทธ์ของตนนั้น สว่างขึ้นมาถึงสี่ดวง
ทันทีที่รับรู้ว่าสัญลักษณ์บนฝ่ามือตนสามารถดูดกลืนวิญญาณยุทธ์ได้ เขาก็รีบรุดออกไปหาอีกสองศพที่เหลืออย่างรวดเร็ว
วิญญาณยุทธ์ของสองคนนั้น คือวิญญาณยุทธ์ระดับสองดาว และวิญญาณยุทธ์ระดับสามดาว จากนั้นไม่นานนัก หลัวเฉิงก็ดูดกลืนวิญญาณยุทธ์ทั้งสองจนหมดสิ้น
“เป็นดั่งที่ข้าคิดไว้มิมีผิด ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณสัตว์อสูรหรือวิญญาณยุทธ์ ข้าก็สามารถดูดกลืนมันได้ทั้งหมด” เขายกฝ่ามือที่มีสัญลักษณ์ขึ้นมาดู พร้อมกับในแววตาเป็นประกาย
เนื่องจากวิญญาณยุทธ์ที่เขาดูดกลืนมา มันเพิ่มระดับดวงดาวให้กับวิญญาณยุทธ์เขามากถึงเก้าดวง ทำให้วิญญาณยุทธ์ของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้มากเท่าไร หลัวเฉิงก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น
ในระหว่างที่ใบหน้าเขายังเต็มเปี่ยมไปด้วยความปิติยินดี จู่ๆ ความรู้สึกอ่อนเพลียก็เข้ามาครอบงำเขาอย่างฉับพลัน
หลัวเฉิงรับรู้ได้ในทันทีว่า การดูดกลืนวิญญาณยุทธ์นั้นต้องสูญเสียปราณแท้ไปมากทีเดียว จึงรีบกรายตัวออกจากเนินเขา ไม่นานนัก เขาก็พบถ้ำซึ่งน่าจะเป็นสถานที่พักฟื้นได้ จึงตัดสินใจพำนักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งคืน
เช้าวันต่อมา
ในถ้ำ หลัวเฉิงลืมตาตื่นขึ้น ก่อนจะรู้สึกว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังอันเอ่อล้น พร้อมกับกลิ่นอายปราณลอยคละคลุ้งในอากาศบางๆ
“หรือว่านี่จะเป็น!”
เขารีบผงาดลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ผนังถ้ำ จากนั้นก็ปล่อยหมัดชกผนังถ้ำอย่างรุนแรง
ผนังถ้ำซึ่งเป็นหินหนา กลับปรากฏรอยแตกขนาดใหญ่ขึ้น!
“ขั้นหลอมกายาระดับแปด!” หลัวเฉิงอุทานด้วยความประหลาดใจ
ดวงตาของเขาประกายด้วยความดีใจเป็นที่สุด เขาไม่คิดว่าตนนั้น จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับแปดได้รวดเร็วถึงปานนี้
หลังจากกลืนกินวิญญาณยุทธ์ของหลินหงและคนอื่นๆ ทำให้เขาทะลวงระดับพลังยุทธ์ได้ถึงหนึ่งระดับในคืนเดียว ขณะนี้ พลังหมัดของเขาเทียบเท่ากับแผ่นศิลาหนักแปดร้อยจิน!
“ดูท่าว่า การดูดกลืนวิญญาณยุทธ์ จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการดูดกลืนวิญญาณสัตว์อสูร หากข้าดูดกลืนวิญญาณยุทธ์เพิ่มมากขึ้น ข้าก็จะก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วกว่านี้”
จู่ๆ ก็พลันเกิดความคิดอันชั่วร้าย ผุดขึ้นมาในหัวของหลัวเฉิง ก่อนที่แววตาเขาจะทอประกายแสงเย็นวาบ
ไม่ช้า เขาก็ส่ายศีรษะเพื่อลบล้างความคิดชั่วร้ายในหัว
มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง หากเขาจะสังหารคนแบบสุ่มเลือกเพื่อดูดกลืนวิญญาณยุทธ์
นอกจากนี้ แม้ความสามารถในการดูดกลืนวิญญาณยุทธ์จะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ! แต่หากผู้ใดรู้เรื่องนี้เข้า มันจะกลายเป็นหายนะอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงมิควรเอามาใช้บ่อยมากนัก
หลังจากจัดของเรียบร้อย เขาก็ออกจากถ้ำเดินทางกลับไปยังเมืองฉีซาน
หลัวเฉิงกลับมาถึงเมืองในยามบ่าย จากนั้นจึงตรงไปยังหอการค้าที่มีสามชั้น ซึ่งภายนอกและภายในถูกตกแต่งได้อย่างประณีตงดงาม
ศาลาหลิงอวิ๋น เป็นสมาคมการค้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองฉีซาน ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ โอสถ ฯลฯ หรือสิ่งต่างๆ ล้วนมีขายทั้งสิ้น
ว่ากันว่าศาลาหลิงอวิ๋นมีภูมิหลังที่ใหญ่โต และมีสำนักชั้นยอดอยู่เบื้องหลัง! แม้แต่สามตระกูลใหญ่ก็ไม่กล้าไปมีปัญหาด้วย
“พวกเจ้าดู นั่นหลัวเฉิงแห่งตระกูลหลัวมิใช่หรือ!” หนึ่งในคนจำนวนมากกล่าวขึ้นทันทีที่เห็นหลัวเฉิง
“เป็นเขาจริงๆ เขาไม่ได้ปรากฏตัวเลยตั้งแต่ปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะ ตอนนี้เขามาที่ศาลาหลิงอวิ๋น คงเป็นเพราะต้องการซื้อโอสถสำหรับฝึกฝน เพื่อจะได้มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานชุมนุมล่าสัตว์ในครั้งนี้”
“วิญญาณยุทธ์ขยะเช่นเขา คงยังไม่อาจทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับห้าได้กระมัง ด้วยระดับพลังยุทธ์เช่นนี้ ไหนเลยจะร่วมงานชุมนุมล่าสัตว์ได้”
“ตอนนี้ผู้นำตระกูลหลัวได้รับบาดเจ็บสาหัสและยังคงหมดสติอยู่ ทั้งยังสูญเสียการสนับสนุนจากตระกูลจีอีก เกรงว่าหลังงานชุมนุมล่าสัตว์ครานี้ ตระกูลหลัวคงล่มสลายเป็นแน่”
ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในศาลาหลิงอวิ๋น ต่างมีสถานะบางอย่างในเมืองฉีซาน ครั้นพวกเขาเห็นหลัวเฉิงมาที่นี่ ก็เริ่มซุบซิบนินทากันไปต่างๆ นานา
หลัวเฉิงไม่ได้ใส่ใจกับวาจาของผู้อื่น เขายังคงเดินตรงเข้าไปหาคนของศาลาหลิงอวิ๋น ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะด้านหน้าของศาลาทันที
“คุณชาย มิทราบว่าท่านต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”
ด้านหลังโต๊ะมีหญิงรับใช้ผู้งดงามสวมอาภรณ์น้ำเงิน นั่งอยู่ตรงนั้นถามเขาด้วยรอยยิ้ม
“ข้าต้องการขายชิ้นส่วนของสัตว์อสูร” หลัวเฉิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ขายชิ้นส่วนของสัตว์อสูรงั้นหรือเจ้าคะ?” หลังได้ทราบความต้องการของหลัวเฉิง นางก็ขยับร่างลุกออกจากเก้าอี้
นางช้อนตามองไปยังหีบที่อยู่ด้านหลังหลัวเฉิง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ชิ้นส่วนของสัตว์อสูร ต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้ดูแลศาลา คุณชายโปรดตามข้าไปยังชั้นสองด้วยเจ้าค่ะ”
“ได้!” หลัวเฉิงพยักหน้า
จากนั้น เขาก็เดินตามหญิงรับใช้อาภรณ์น้ำเงิน ขึ้นไปยังห้องส่วนตัวของผู้ดูแลบนชั้นสอง