ตอนที่แล้วบทที่ 9 การแลกเปลี่ยน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11 ผู้คุมวิญญาณ

บทที่ 10 มังกรทองสำริด


พอขยับความคิด ก๊อง! อังเกอร์ชนเข้ากับบางสิ่ง ทำให้จิตวิญญาณกระเด็นออกไปอย่างแรง

พอได้สติกลับมามอง ก็พบว่าตนเองถูกกีดกันอยู่ด้านนอกของพื้นที่แกนกลางที่สุดของวิหารสงบจิต ด้านในนั้นคือสถานที่บรรทมขององค์ราชันย์

เห็นได้ชัดว่ามีอะไรบางอย่างขวางกั้นไม่ให้ความคิดของอังเกอร์เข้าไปในบริเวณนี้ได้ แต่อังเกอร์ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก ทั้งไม่แปลกใจและไม่ผิดหวัง เขาหันหลังลอยไปทางหอคอยที่สูงที่สุดทางทิศตะวันออก

วิหารสงบจิตกว้างใหญ่มาก ประกอบด้วยห้ากลุ่มอาคาร ตรงกลางย่อมเป็นพื้นที่หัวใจของวิหาร ส่วนอีกสี่กลุ่มอาคารตั้งอยู่ทั้งสี่มุม จัดเรียงอย่างสมมาตร โดยหอคอยทางตะวันออกนี้สูงที่สุด

แวบเดียวจิตใจของอังเกอร์ก็เข้ามาอยู่ในนี้ โดยไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ

มองจากภายนอกคล้ายหอคอยสูง แต่พอเข้ามาดูใกล้ๆ กลับเหมือนปล่องควันมากกว่า โครงสร้างภายในไม่มีการแบ่งชั้นหรือห้องเลย มีแค่พื้นที่ทรงกระบอกที่พุ่งขึ้นไปจนถึงยอดหอคอย

ภายในว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย มีเพียงตรงกลางพื้น วางแท่นเล็กๆ อันหนึ่ง บนนั้นมีหนังสือวางอยู่เล่มหนึ่ง

ใช่แล้ว แท่นเล็กๆ กับหนังสือหนึ่งเล่ม นี่คือของเพียงสองอย่างในหอคอยสูงทั้งหลังนี้

ความคิดของอังเกอร์ลอยไปสัมผัสหนังสือเล่มนั้น พบอย่างน่าตกใจว่าที่แท้มันเป็นหนังสือทำจากทองเหลือง แข็งและหนักมาก

ทันทีที่มันสัมผัสถึงพลังอังเกอร์ หนังสือทองเหลืองก็เปิดออกอย่างฉับพลัน ภาพลวงตาขนาดมหึมาพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า เติมเต็มพื้นที่ภายในทั้งหมดของหอคอยภายในพริบตา นั่นคือภาพลวงตาของหนังสือเล่มนี้

อังเกอร์พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมหอคอยนี้ถึงได้สร้างสูงขนาดนี้ หากไม่สูงขนาดนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรจุภาพลวงตาของหนังสือเล่มนี้ไว้

ภาพลวงตาของหนังสือเปิดตั้งขึ้น แสดงให้เห็นหน้าด้านใน เดิมทีไม่มีตัวอักษร แต่เมื่อเปิดออกมา ตัวอักษรทองขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนหน้ากระดาษ

อังเกอร์เอียงคอ เหม่อมองอย่างงุนงง นิ่งเงียบอยู่นานโดยไม่ขยับเขยื้อน

จากหน้ากระดาษ ภาพลวงตาของมังกรทองสำริดตัวมหึมาโผล่ออกมา พูดด้วยสีหน้าสงสัยว่า "ทำไมเป็นโครงกระดูกเล็กๆ ล่ะ? เอ่อม อืม เจ้าอ่านหนังสือไม่ออกใช่ไหม?"

อังเกอร์พยักหน้า

"อ่านไม่ออกแล้วมาห้องสมุดทำไม ยุ่งจริงๆ" มังกรทองสำริดบ่นพึมพำ  "เอาเถอะ แม้ข้าจะบอกเล่าด้วยวาจาได้ แต่แบบนั้นมันไร้รสนิยมเกินไป ข้าจะให้สิทธิพิเศษเจ้าหน่อยก็แล้วกัน"

ข้อมูลต่างๆหลั่งไหลเข้าสู่จิตวิญญาณของอังเกอร์ ประทับลงไปโดยตรง

"หือ? พลังวิญญาณของเจ้าแกร่งกล้าดีนะ ทำไมถึงได้อยู่แค่ขั้นกระดูกเทาล่ะ?" มังกรทองสำริดพึมพำอย่างฉงน

อังเกอร์งุนงง เขาไม่เข้าใจความหมาย แต่กลับอ่านข้อความบนหน้าหนังสือออก สารที่มังกรทองสำริดฝังลงในวิญญาณของเขา ที่แท้คือองค์ความรู้ด้านตัวอักษร

ตัวอักษรบนหน้ากระดาษคือ: ตำราแห่งทองสำริด รู้ไม่มีสิ้นสุด ตอบได้เพียงหนึ่งคำถามในแต่ละครั้ง

ตอบคำถามได้เหรอ? รู้ไม่มีสิ้นสุด? อังเกอร์เอียงคอ ใช้วิญญาณถามว่า "เจ้าเป็นใครกัน?"

"ฮ่าๆๆ ในที่สุดก็มีคนถามคำถามนี้ ในที่สุดก็มีคนถามคำถามนี้แล้ว โอ้วววว เจ้าช่างฉลาดหลักแหลมเหลือเกิน เจ้าคิดถามคำถามนี้ได้ได้อย่างไร?" มังกรทองสำริดตื่นเต้นแทบจะกระโดดออกมาจากหน้ากระดาษเลยทีเดียว

ใครก็ตามที่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องสมุด ไม่มีใครไม่รู้จักมังกรทองสำริด ยิ่งกฎที่นี่คือให้ถามได้เพียงหนึ่งคำถาม ไม่มีใครอยากเสียโอกาสล้ำค่าไปถามว่ามังกรทองสำริดคือใคร ในเมื่อมังกรทองสำริดก็คือมังกรทองสำริด จะเป็นใครไปได้อีก?

"เด็กน้อย เจ้าถามถูกคำถามแล้ว ฟังให้ดีๆ ล่ะ ข้าคือตำราทองสำริด เทพแห่งความรู้ ผู้รอบรู้ทุกสรรพสิ่ง เนเกริส!" เสียงของเนเกริสดังกังวานดุจระฆัง ก้องสะเทือนอยู่ในจิตวิญญาณของอังเกอร์

อังเกอร์เอียงคอมองมัน เนเกริสเชิดคอมองอังเกอร์กลับ จ้องตากันอยู่ครู่ใหญ่ เนเกริสก็ทนไม่ไหว ถามออกมา "เจ้าไม่เคยได้ยินชื่อของข้าหรือ?"

อังเกอร์พยักหน้า

เนเกริสหมดแรง "ก็รู้อยู่แล้ว โครงกระดูกจิ๋วแค่นี้จะรู้อะไรได้บ้าง งั้นเจ้าไม่มีคำถามอื่นจะถามแล้วหรือ?"

อังเกอร์เอียงคอ ใช้วิญญาณส่งคำถามด้วยความฉงน "หนึ่งคำถาม"

"ไม่นับ นั่นไม่นับเป็นหนึ่งคำถามหรอก เมื่อกี้นั่นคือรางวัลต่างหาก ผู้ที่รู้จักชื่อศักดิ์สิทธิ์ของข้า เพียงแค่เรียกชื่อก็จะสามารถถามข้าได้วันละหนึ่งคำถามแล้ว" เนเกริสรีบบอก

แท้จริงแล้วนั่นคือกับดักที่เนเกริสวางไว้ด้วยความชอบใจ หากมีใครมาถามว่ามันคือใคร หลังตอบไปมันจะบอกว่านั่นถือเป็นหนึ่งคำถาม จากนั้นขณะที่อีกฝ่ายกำลังเสียใจสุดขีด มันจะแจ้งให้ทราบว่าพวกเขาสามารถเรียกชื่อศักดิ์สิทธิ์ของมันมาถามคำถามได้ วันละหนึ่งคำถาม

ต่อสู้อย่างยากลำบากเพื่อเข้ามาในห้องสมุด แต่ถามได้แค่หนึ่งคำถาม แล้วกลายเป็นถามได้ทุกวันๆ ละหนึ่งคำถาม นี่ย่อมถือเป็นรางวัลแน่นอน จากนั้นก็จะได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนจากเศร้าสร้อยเป็นดีใจสุดขีด ขึ้นๆ ลงๆ ในความผันผวนทางอารมณ์ขั้วสุดโต่งนี้ ตัวเองก็จะได้สาแก่ใจไปด้วย

ทว่าตั้งแต่มันถูกผนึกอยู่ที่นี่เป็นพันๆ ปี ไม่เคยมีใครเหยียบกับดักนี้เลย ต่อสู้จนได้โอกาสเข้ามาสักที ก็ไม่มีใครคิดที่จะไม่สืบประวัติของเนเกริสก่อนจะเข้ามา

ส่วนชื่อศักดิ์สิทธิ์ของมันคืออะไร ไม่มีใครใส่ใจหรอก ต่อให้เป็นเทพที่เก่งแค่ไหน ก็ยังโดนผนึกอยู่ที่นี่อยู่ดี จะเก่งเท่าราชันย์อสูรได้หรือไร?

หลายพันปีผ่านไป พอได้เจอคนเหยียบกับดักสักที แต่กลับมาเจออังเกอร์ที่เป็นพวกทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน ถามเสร็จว่ามันคือใคร ก็ไม่ยอมถามอะไรอีกแล้ว แทบจะทำให้เนเกริสแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว

"ถามมาสิ ถามอีกสักคำถาม ข้าเป็นเทพแห่งความรู้ผู้รู้ไม่มีสิ้นสุด ไม่มีสิ่งใดที่ข้าไม่รู้" ท่าทีไม่แยแสของอังเกอร์ ทำให้เนเกริสรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง อดรนทนไม่ไหวจึงเริ่มกระตุ้นเร่งเร้า มันตั้งใจว่าจะตอบคำถามของอังเกอร์ให้ดีเลิศ ทำให้เขาได้รับรู้ถึงแสนยานุภาพของเทพแห่งความรู้

"อ้อ" อังเกอร์คิดสักพัก ก่อนจะถามว่า "ราชา หายไปไหน?"

ภาพลวงตาของหนังสือทองสำริดปิดปัง มังกรทองสำริดถูกปิดเข้าไปด้านในด้วย จากนั้นมันก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว กลับไปยังหนังสือทองสำริดบนแท่นหนังสือเล่มจริง แล้วก็ปิดลงอย่างฉับพลัน ฝาหนังสือทองสำริดเล่มจริงก็ปิดลงเช่นกัน

เสียงของเนเกริส มังกรทองสำริด ดังสะท้อนอยู่ในอากาศอย่างหงุดหงิดว่า "ไม่รู้"

มีคำถามตั้งมากมาย แต่ดันมาถามแบบนี้ เนเกริสเองก็อยากรู้นักว่าท่านราชันย์อสูรไปไหน ถึงจะเป็นแค่โครงกระดูกเล็กๆ แต่มีนิสัยประหลาดขนาดนี้ คำถามก็เจ็บแสบขนาดนี้ ไม่ยอมให้ความร่วมมือเอาซะเลย ไม่เล่นแล้วโว้ย หยุดยาก!

มองดูพื้นที่ที่กลับสู่สภาพเดิม อังเกอร์เอียงคอ ถอนจิตใจออกมา อารมณ์ที่ฉุนเฉียวของมังกรทองเหลืองไม่มีผลกระทบต่อเขาเลยแม้แต่น้อย อังเกอร์ก็เป็นเพียงโครงกระดูกจิ๋ว ไม่มีคำถามเยอะแยะที่ต้องหาคำตอบ

ขณะที่ใจนึกอยากจะลอยไปอีกกลุ่มตึก อังเกอร์กลับรู้สึกเหมือนมีคนผลักเขา เป็นร่างกายจริงๆของเขาที่ถูกผลักต่างหาก

จิตใจของอังเกอร์ถอยกลับเข้าร่าง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีคนกำลังสั่นร่างของเขาอย่างสุดแรง หันไปมองก็พบว่าเป็นซอมบี้ตัวน้อยนั่นเอง

เมื่อมันพบว่าอังเกอร์มีปฏิกิริยา ซอมบี้ตัวน้อยที่ร้องโวยวายอยู่ก็ยังคงส่งเสียงต่อไป พลางชี้ไปทางหนึ่งอย่างสุดชีวิต อังเกอร์มองตามทิศทางที่ซอมบี้น้อยชี้ ก็พบเข้ากับร่างของซอมบี้หนังเหนียวกำลังคืบคลานมาจากที่ไกลๆ ดวงตาเหลือกขาว ยื่นแขนยาวออกมา พุ่งเข้ามาหาอังเกอร์อย่างเต็มกำลังเขารับรู้ได้ถึงแรงอาฆาต

นี่จะถือว่า 'จู่โจมก่อน' รึเปล่านะ? คำถามผุดขึ้นมาในวิญญาณของอังเกอร์ มือล้วงไปหยิบเคียวที่เอว แล้วฟาดออกไปอย่างคล่องแคล่ว

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด