ตอนที่ 8 ไร้บุรุษได้ลิ้มรสปากแดงเรื่อ
ตอนที่ 8 ไร้บุรุษได้ลิ้มรสปากแดงเรื่อ
กระทั่งมีบทกวีที่แพร่สะพัดในหน่วยวิหคดำว่า ‘ไร้บุรุษได้ลิ้มรสปากแดงเรื่อ หนึ่งหมัดเงื้อคร่าชีวีในพริบตา’
โชคดีที่ถูเซิ่งหนานเป็นคนใจกว้างจึงไม่ถือสาคำนินทาเหล่านี้ เพราะสิ่งที่นางสนใจมีเพียงการปรับแต่งร่างกาย
……
เวลาผ่านไปว่องไวนัก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจวนอู่ซ่วนโหวกลายเป็นอดีต และปัจจุบันประเด็นที่ถูกเอ่ยถึงอย่างถึงพริกถึงขิงในเมืองหลวงคืองานประมูลเฉียนคุนที่จัดขึ้นทุกๆ สิบปี
งานประมูลเฉียนคุนจัดโดยหอเฉียนคุน ลือกันว่าเบื้องหลังของหอเฉียนคุนคือราชวงศ์และยังเป็นสถานที่ประมูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงด้วย
กว่าสิบปีแล้วที่ฝ่าบาทไม่ได้พระราชทานของเพื่อประมูล
“ไม่รู้ว่าครั้งนี้เยี่ยเสวียนจะกล้าโผล่หัวมาหรือเปล่า”
เพราะงานประมูลมักดึงดูดตัวเอกได้มากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นคืองานประมูลครั้งนี้มีสิ่งที่เยี่ยเสวียนต้องการแย่งชิง รวมถึงมี...ตัวเอกหญิง
เวลานี้ซูอันจงใจแพร่ข่าวเกี่ยวกับสมบัติในงานประมูลชิ้นนั้นออกไป
ซูอันเดินเข้ามาในหอเฉียนคุนพลางเหลือบมองผู้คนที่เดินผ่านไปมา ในที่สุดสายตาของเขาหยุดที่ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาซึ่งยืนอยู่หน้าประตู
“โดนพิษไปขนาดนั้นแล้วยังมีชีวิตรอด อีกทั้งพิษทำให้อาการบาดเจ็บรุนแรง แต่เขายังฟื้นตัวได้เร็วนัก”
มีความมืดมิดแวบขึ้นในดวงตาของซูอัน
ซูอันไม่ได้มีทักษะในการมองทะลุจิตวิญญาณ แต่เขาสามารถมองผ่านการปลอมตัวและคาดเดาว่าชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดนั้นต้องเป็นเยี่ยเสวียน
แต่ปัญหาคือทุกคนที่เข้าร่วมงานประมูลเฉียนคุนจะต้องได้รับเทียบเชิญ
ชายหนุ่มคนนี้จึงถูกยามเฝ้าประตูหยุดไว้
เส้นเรื่องนี้...
“ตาสุนัขมองคนต่ำ กล้าดีอย่างไรไม่ให้ข้าเข้าไป” ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นและตวาดด้วยความโกรธ
“งานประมูลนี้มีกฎเกณฑ์ หากไม่มีเทียบเชิญก็เข้าร่วมไม่ได้” ยามเฝ้าประตูพูดแบบช่วยไม่ได้
พูดตามตรงคือหลังจากเฝ้าประตูมาหลายปี วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเจอเหตุการณ์แบบนี้
เจ้าไม่มีเทียบเชิญแล้วจะเข้าร่วมงานประมูลได้อย่างไร!
“แล้วพวกนั้นเข้าไปได้อย่างไร?” ชายคนนั้นชี้มาข้างหน้าด้วยความไม่พอใจ แน่นอนว่าปลายนิ้วพุ่งมาทางซูอัน
เขาเห็นเองกับตาว่าซูอันพาคนสองคนติดตามมาด้วย แต่ยามเฝ้าประตูไม่แม้แต่จะขอดูเทียบเชิญด้วยซ้ำ
ซูอันกะพริบตาปริบๆ เยี่ยเสวียนผู้นี้ช่างกล้า!
เจ้ามั่นใจในการปลอมตัวมากขนาดไหนเชียว?
เจ้ารู้หรือไม่ว่ารัศมีแห่งการเหน็บแนมได้เปิดโปงเจ้าแล้ว!
ยามเฝ้าประตูไม่แม้แต่จะหันกลับมามองและพูดเย้ยหยันว่า “ล้วนเป็นผู้สูงศักดิ์แล้วจะเทียบกันได้อย่างไร”
คนเหล่านั้นล้วนเป็นทายาทรุ่นที่สองของผู้สูงศักดิ์และขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง การมาร่วมงานประมูลก็เพื่ออวดหน้าตาเท่านั้น
ยามเฝ้าประตูเหลือบมองคนที่ตนขวางอยู่ซึ่งแต่งตัวด้วยชุดผ้าป่านเหมือนสามัญชน พลังวิญญาณอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดแต่ไม่ดีเท่าเขาด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่มีแม้แต่เทียบเชิญแล้วไปเอาความกล้าเทียบกับคนอื่นมาจากที่ใด
“ออกไปจากที่นี่ซะ มิฉะนั้น...” หากท่านผู้สูงศักดิ์รู้สึกขุ่นเคืองกับความวุ่นวายนี้ เขาต้องซวยแน่ๆ
“เจ้า...” ชายคนนั้นมองยามเฝ้าประตูด้วยความโกรธ “ข้าเป็นสหายของคุณหนูหลี่จื่อซวงแห่งตระกูลหลี่”
ยามเฝ้าประตูตกใจมาก เพราะคุณหนูหลี่จื่อซวงเป็นบุตรสาวคนเดียวของใต้เท้าหลี่เสนาบดีกรมพิธีการ แล้วไอ้ตัวประหลาดนี้จะรู้จักคนระดับนางได้อย่างไร?
“แล้วเจ้ามีหลักฐานยืนยันหรือไม่?” เขามองชายตรงหน้าด้วยสายตาสงสัย
“ไม่มี” ชายคนนั้นกางมือออกแล้วพูดว่า “แต่ข้าเป็นสหายของคุณหนูหลี่จริงๆ”
ยามเฝ้าประตูจึงแค่นเสียงเย้ยหยันออกมาอีกครั้ง
เมื่อยามเฝ้าประตูกำลังจะลงไม้ลงมือก็เสียงสตรีที่กังวานใสราวนกน้อยดังขึ้น เป็นหลี่จื่อซวงผู้ถูกกล่าวถึงนั้นเอง “เขาเป็นสหายของข้าจริงๆ”
ดวงตาของซูอันหรี่ลง ถ้าก่อนหน้านี้มั่นใจแค่ห้าส่วน ตอนนี้เขามั่นใจแปดส่วนแล้ว
แม้จะเหลืออีกสองส่วน กระนั้นเขาจะไม่ไว้ชีวิตอีกฝ่ายเด็ดขาด
ตามนิยายเรื่องนี้ หลี่จื่อซวงเป็นคู่รักในวัยเยาว์ของเยี่ยเสวียน สตรีผู้มีความสามารถและมีชื่อเสียงแห่งเมืองหลวง นางเป็นภรรยาผู้มีคุณธรรมของตัวเอกชาย
นางมีร่างกายพิเศษที่เข้ากับเยี่ยเสวียนได้สมบูรณ์แบบ...กายวิญญาณเทียนหาน และในนิยายคือเยี่ยเสวียนก้าวเข้าสู่ระดับหยวนเสินผ่านการควบรวมอินหยางกับหลี่จื่อซวง
หลี่เต๋อเฉวียนบิดาของหลี่จื่อซวงมีตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ ต่อมาได้กลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเยี่ยเสวียน และไม่รู้ว่าเขาลอบส่งข้อมูลให้เยี่ยเสวียนมากแค่ไหนก่อนจะเริ่มก่อกบฏ
ซูอันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เซิ่งหนาน จงไปแจ้งหน่วยวิหคดำและคนของเมืองหลวงให้เตรียมจับกุมกบฏ”
“บอกให้ทางหอเฉียนคุนพร้อมดำเนินการด้วย”
ซูอันโยนป้ายที่จักรพรรดินีมอบให้เขาไว้ในมือของเซิ่งหนาน เดิมทีหอเฉียนคุนแห่งนี้สร้างขึ้นโดยอดีตจักรพรรดิ ตอนนี้จึงกลายเป็นขององค์จักรพรรดินี
ครั้งนั้นเยี่ยเสวียนถูกเขาตลบหลังจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าตอนนี้ยังกล้ากลับมาที่เมืองหลวง หมายความว่าคงมีวิธีเอาตัวรอด และครั้งนี้เขาอาจรักษาชีวิตตัวเองไว้ไม่ได้แทน
แต่ถ้าใช้หลี่จื่อซวงเป็นเครื่องมือก็ไม่แน่
“คารวะท่านโหวซูเจ้าค่ะ”
โดยไม่คาดคิดว่าจะมีหญิงงามคนหนึ่งมาหยุดตรงหน้าซูอันและเริ่มทักทายก่อน
“เจ้าคือ?” ซูอันขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
สตรีนางนี้สวมอาภรณ์สีขาวและมีท่าทางสงบ รูปร่างหน้าตาของนางไม่ด้อยไปกว่าตัวเอกหญิงหลี่จื่อซวงมากนัก แต่ซูอันไม่มีอารมณ์มาสนใจหญิงงามในตอนนี้
“ข้าน้อยซูเสวี่ยจู๋จากจวนหย่งเวยปั๋ว” ซูเสวี่ยจู๋โค้งคำนับเล็กน้อยพลางเอ่ย
“โอ้ ที่แท้ก็เป็นคุณหนูใหญ่จวนหย่งเวยปั๋วนี่เอง” ซูอันพยักหน้าเป็นการทักทายตอบ
จวนหย่งเวยปั๋วถือเป็นกองกำลังขนาดกลางในเมืองหลวง แม้ว่าใช้แซ่ซูเหมือนกัน แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ซู
อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้จวนหย่งเวยปั๋วกำลังตกต่ำและขาดแคลน
ซูเสวี่ยจู๋คนนี้ไม่ใช่ตัวเอก ดังนั้นทัศนคติของซูอันจึงค่อนข้างเสแสร้งแกล้งทำ แม้ว่าปากของเขาคุยกับนางตลอดเวลา แต่ไม่ได้สนใจนางเลย
……
“คุณหนูหลี่ เชิญทางนี้ขอรับ” ผู้รับผิดชอบงานประมูลยิ้มและเข้ามาต้อนรับหลี่จื่อซวงเป็นการส่วนตัว
“รบกวนอาจารย์เฝิงแล้ว”
หลี่จื่อซวงรู้สึกประหลาดใจ เพราะแม้ว่าฐานะของนางจะที่ยอมรับ แต่ยังไม่มากถึงขั้นทำให้ผู้รับผิดชอบหอเฉียนคุนถ่อมตัวขนาดนี้
ทันใดนั้นเยี่ยเสวียนรู้สึกหัวใจกระตุก
“พี่เยี่ยเสวียนเป็นอะไร?” หลี่จื่อซวงเห็นสีหน้าของเยี่ยเสวียนแล้วรีบถามด้วยความเป็นห่วง
ตระกูลหลี่และตระกูลเยี่ยเป็นสหายรักต่อกัน นางกับเยี่ยเสวียนก็เป็นสหายรักในวัยเด็ก แม้ไม่ได้เจอกันนานหลายปี แต่ยังคงไว้ซึ่งมิตรภาพไม่แปรเปลี่ยน
นางรู้สึกเสียใจต่อการที่ตระกูลเยี่ยถูกกวาดล้างจริงๆ
แต่ผู้ใดใช้ให้สมองของบิดาเยี่ยเสวียนเลอะเลือนกะทันหัน เขาไม่รู้ว่าอำนาจล้ำฟ้าคือสิ่งใด เขากล้าวิพากษ์วิจารณ์จักรพรรดินีอย่างเปิดเผยในราชสำนัก ถึงขั้นกล่าวหาว่าจักรพรรดินีเป็นสตรีและไม่สามารถแบกรับความรับผิดชอบใหญ่หลวงได้ อีกทั้งองค์ชายใหญ่คือโอรสสวรรค์โดยชอบธรรม ซึ่งทำให้จักรพรรดินีทรงพิโรธ แต่บิดาของเขายังไม่วิงวอนขอความเมตตาด้วยซ้ำ
บิดาของเยี่ยเสวียนจึงถูกผนึกพลังวิญญาณและถูกโบยด้วยไม้จนสิ้นใจ
คราวนี้เยี่ยเสวียนขอให้หลี่จื่อซวงพาเข้าหอเฉียนคุน นางจึงตอบตกลงโดยไม่เสียเวลาคิด
เพราะนางไม่รู้ว่าเยี่ยเสวียนคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจวนอู่ซ่วนโหวในครานั้น
“ข้าไม่ได้เป็นอันใด” เยี่ยเสวียนส่ายหัว ทว่าตอนนี้เขารู้สึกไม่สบายใจคล้ายกำลังตกเป็นเป้าหมายของสัตว์ร้ายบางตัวอยู่
เขายกมือขวาลูบหน้าอกเพื่อให้ตัวเองผ่อนคลายลง
สิ่งนั้นในการประมูล เขาจะต้องชนะและเอามาครองให้ได้
ทั้งสองเดินไปที่ห้องส่วนตัวด้วยกัน
“จื่อซวง ข้าไม่ได้พบเจ้าหลายปีแล้ว เจ้างดงามขึ้นมาก”
ระหว่างทาง เยี่ยเสวียนหันไปมองหลี่จื่อซวงที่อยู่ข้างๆ ด้วยดวงตาวาววับ เขาไม่คิดเลยว่าสาวน้อยขี้อายเมื่อในอดีตจะเติบโตเป็นสตรีงามล่มเมืองเช่นนี้
เขาอดกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอไม่ได้