ตอนที่ 10 ข้าอยากฝึกควบรวมอินหยางกับท่านอีก
ตอนที่ 10 ข้าอยากฝึกควบรวมอินหยางกับท่านอีก
ซูอันพูดด้วยท่าทางดุร้ายน้ำเสียงแข็งกร้าว เมื่อรวมกับแสงสลัวในห้องลับยิ่งเป็นภาพที่น่าขนลุก
หลี่จื่อซวงรู้สึกโกรธ อับอายแต่ก็หวาดกลัว
แก้มซ้ายของนางร้อนผ่าวราวกับถูกไฟไหม้ และนางไม่คาดคิดว่าซูอันจะลงมือทำร้ายนาง
ในฐานะบุตรสาวผู้เป็นที่รักเพียงคนเดียวของเสนาบดีกรมพิธีการ และนางยังเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้มีชื่อเสียงและมีความสามารถในเมืองหลวง มีบุรุษนับไม่ถ้วนหมายปอง คนเหล่านั้นต่างระมัดระวังและกลัวที่จะทำให้นางโกรธ นางจึงไม่เคยได้รับการปฏิบัติที่หยาบคายเช่นนี้มาก่อน
และการที่ซูอันกล่าวหาว่านางสมรู้ร่วมคิดกับกบฏ ทำให้นางรู้สึกเสียใจมากขึ้น
“ข้า...ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้เรื่อง...” นางรีบแก้ตัวด้วยเสียงสั่นเครือ
นางไม่รู้จริงๆ ว่าเยี่ยเสวียนต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับจวนอู่ซ่วนโหว เพราะคนในจวนโหวทั้งหมดปิดปากเงียบ และเยี่ยเสวียนไม่เคยเล่าให้นางฟังเช่นกัน
การสมคบคิดที่จะสังหารท่านโหวผู้ยิ่งใหญ่ถือเป็นความผิดร้ายแรง
แม้จะมีสถานะเช่นนางก็ไม่สามารถแบกรับไหว บิดาของนางเองก็หนีไม่พ้นเช่นกัน
“เยี่ยเสวียนทำลายจวนของข้าและเกือบสังหารข้าสำเร็จ เจ้าจะเอาตัวรอดโดยบอกว่าไม่รู้เรื่องอีกหรือ!”
ซูอันพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
ในความเป็นจริงย่อมเห็นได้ชัดว่าเขาวางกับดักและทำร้ายเยี่ยเสวียนเจียนตาย ทว่าตอนนี้เขาพูดเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อ
แน่นอนว่าหลี่จื่อซวงไม่รู้ความจริง
“ข้า คือข้า...” นางหาคำอธิบายไม่ได้เลย
นางจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับเยี่ยเสวียนหรือ?
แต่นางคือคนที่พาเยี่ยเสวียนเข้างานประมูล
เมื่อเห็นท่าทางพูดไม่ออกของหลี่จื่อซวงแล้ว ซูอันจึงเงื้อมือขึ้นอีกรอบ
หลี่จื่อซวงเห็นภาพนี้แล้วรีบหลับตาลงทันที แต่กลับไม่มีเสียงตบหน้าอีก
กลายเป็นมือของซูอันลูบไล้บนแก้มที่บวมแดงของนางแทน
“เจ็บหรือเปล่า?”
“...” หลี่จื่อซวงเกิดความสับสนว่าซูอันจะมาไม้ไหนกันแน่?
แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด ความโกรธและความกลัวที่จะถูกทุบตีในตอนแรกได้หายไปบ้างแล้ว
“จงบอกข้าเกี่ยวกับเยี่ยเสวียนทั้งหมดและห้ามปิดบัง” ซูอันพูดเบาๆ คล้ายกำลังคุยกับหญิงคนรักก็มิปาน “มิฉะนั้น…ข้าคงสงสัยว่าเสนาบดีกรมพิธีการมีความสัมพันธ์ไม่บริสุทธ์กับกบฏของจักรพรรดินี”
“เจ้าคงไม่อยากให้บิดาสูญเสียตำแหน่งขุนนางไปหรอกกระมัง!”
ซูอันพูดกระแทกเสียงตอนท้าย ราวกับกลัวว่าหลี่จื่อซวงจะได้ยินไม่ชัดเจน
อันที่จริงการปั้นน้ำเป็นตัวเช่นนี้ หากไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดย่อมไม่สามารถประหารเสนาบดีกรมพิธีการได้
แต่มันจะส่งผลต่อหน้าที่การงานของหลี่เต๋อเฉวียนแน่นอน
ต้องทราบก่อนว่าตระกูลหลี่ไม่ใช่หนึ่งในตระกูลขุนนางที่มีรากฐานลึกซึ้ง แม้จะมีความสัมพันธ์กับตระกูลเสิ่นซึ่งเป็นตระกูลขุนนางขั้นสูงก็ตาม แต่ไม่ได้มีสายเลือดตระกูลเสิ่นและการที่หลี่เต๋อเฉวียนกลายเป็นเสนาบดีกรมพิธีการได้นั้นมาจากความโปรดปรานของอดีตจักรพรรดิล้วนๆ
“...ข้าพูดแล้ว!”
ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเยี่ยเสวียนไม่ได้ลึกซึ้งมากนัก เป็นแค่มิตรภาพในวัยเยาว์ต่อกันเท่านั้น
เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกชายและตัวเอกหญิงมักจะทำลายไม่ได้ แม้ว่าประสบปัญหาครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่เมื่อมีซูอันคอยขวางจึงเห็นได้ชัดว่าตัวเอกชายและตัวเอกหญิงไม่มีทางสื่อสารความรู้สึกต่อกันได้เลย
หลี่จื่อซวงคิดว่าการปิดบังเรื่องเยี่ยเสวียนอาจคุกคามบิดาของตนได้ นางจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้เมื่อได้ไตร่ตรองให้ดีก็เป็นเยี่ยเสวียนที่มีความลับต่อนางก่อน
เมื่อเห็นคะแนนตัวร้ายที่เพิ่มขึ้นในแผงควบคุมโปร่งใส ซูอันจึงแสดงรอยยิ้มที่จริงใจออกมา “ดูเหมือนว่าคุณหนูหลี่จะมีเหตุผลและไม่มีวันสมรู้ร่วมคิดกับกบฏจริงๆ”
สำหรับข่าวของเยี่ยเสวียนน่ะหรือ?
เขาไม่สนใจมันหรอก เพราะหลี่จื่อซวงคงไม่รู้เรื่องของเยี่ยเสวียนมากไปกว่าเขา
แต่การหลอกให้หลี่จื่อซวงเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเยี่ยเสวียนให้เขาซึ่งเป็นศัตรูของเยี่ยเสวียน จะเท่ากับเป็นการทรยศจริงๆ
เดิมทีเป็นเพียงความเข้าใจผิดฝ่ายเดียวของเยี่ยเสวียน แต่หลังจากนี้มันจะแตกต่างออกไป
การทรยศของตัวเอกหญิงหมายถึงการแตกหักระหว่างตัวเอกชายและตัวเอกหญิง
ยิ่งเป็นตัวเอกหญิงคนสำคัญเช่นนี้
“ท่านปล่อยข้าไปได้หรือยัง?” หลังจากบอกทุกเรื่องของเยี่ยเสวียนแล้ว หลี่จื่อซวงก็อดถามไม่ได้
นางไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมและบอกทุกสิ่งที่ตนรู้จริงๆ
“แน่นอน” ซูอันช่วยคลายผนึกให้หลี่จื่อซวง
หลี่จื่อซวงวิ่งออกไปราวกับวิ่งหนีผี เพราะนางไม่อยากอยู่ในสถานที่อัปมงคลนี้อีกต่อไป
นางไม่หยุดฝีเท้าจนกระทั่งเห็นดวงอาทิตย์ข้างนอก และหญิงชราผู้ติดตามกำลังยืนรออยู่นอกจวนโหวด้วยใจจดจ่อ เมื่อเห็นหลี่จื่อซวงออกมา หญิงชราจึงก้าวไปข้างหน้าด้วยความกังวล
“คุณหนูปลอดภัยหรือไม่เจ้าคะ?”
“อืม ข้าไม่เป็นไร”
หลี่จื่อซวงยกมือแตะแก้มโดยไม่รู้ตัว หลังจากผนึกถูกคลายออกแล้วรอยแดงและอาการบวมก็หายไปทันทีที่พลังวิญญาณเริ่มไหลเวียนในกาย
แต่ดูเหมือนจะเป็นผลกระทบทางจิตใจที่ทำให้นางยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดแสบร้อนนั้น
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกตบหน้า
แต่น่าแปลกใจเหลือเกินที่นางไม่ได้รู้สึกแค้นซูอันมากนัก
ในขณะที่ความรู้สึกของนางต่อเยี่ยเสวียนเปลี่ยนไป เพราะนอกจากความรู้สึกผิดยังมีความขุ่นเคืองมากด้วย
เยี่ยเสวียนมาหานางหลังจากโจมตีจวนโหว แต่เขาไม่ได้บอกนางเลย
นี่ไม่ได้ผลักนางเข้าไปในกองเพลิงหรือ?
ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเสวียนแล้วซูอันคงไม่ปฏิบัติต่อนางเช่นนี้
……
ในห้องลับ เยี่ยหลีเอ๋อร์เดินออกจากห้องเล็กด้านใน
นางโผเข้าหาซูอันแล้วซุกศีรษะไว้บนไหล่ของเขาพลางสูดกลิ่นกายของเขาด้วยความคิดถึง
“พี่ชายจะปล่อยนางไปแบบนี้หรือ?”
หลังจากถูกล้างความทรงจำออกไปแล้ว คนแรกที่นางเห็นคือซูอันและโดยธรรมชาติแล้วนางถือว่าซูอันเป็นคนใกล้ชิดที่สุด
กอปรกับวิธีการของซูอันจึงทำให้เยี่ยหลีเอ๋อร์ได้รับการฝึกฝนให้เชื่อฟังภายในเวลาอันสั้น
หากเยี่ยเสวียนได้มาเห็นเยี่ยหลีเอ๋อร์เช่นนี้ เกรงว่าจิตวิญญาณเต๋าจะเสียหายและพลังวิญญาณสูญเสียหนักมาก
แต่อาจเป็นเพราะห้องลับนี้คือฉากแรกที่นางได้เห็นหลังถูกล้างความทรงจำ จึงดูเหมือนว่าเยี่ยหลีเอ๋อร์จะปลุก XP แปลกๆ ขึ้นมา
“ยังไม่รีบร้อน เพราะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา แค่ปล่อยให้ลูกศรบินต่อไปอีกหน่อยเถอะ”
ซูอันยกมือลูบศีรษะของเยี่ยหลีเอ๋อร์ หากเขาบังคับกักขังบุตรสาวของเสนาบดีกรมพิธีการ เขาไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ต่อจักรพรรดินีได้จริงๆ
แต่ถ้าหลี่เต๋อเฉวียนไม่ได้เป็นเสนาบดีกรมพิธีการอีกต่อไป...
“อืม~”
เยี่ยหลีเอ๋อร์เอียงศีรษะของนางเพื่อรับสัมผัสของซูอันเหมือนลูกแมวน้อย
นางรู้สึกสบายมากๆ เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของพี่ชาย
“พี่ชาย ข้าอยากฝึกควบรวมอินหยางกับท่านอีก”
ดวงตากลมโตกระจ่างใสของนางจ้องมองซูอัน ร่างกายที่อ่อนนุ่มบดเบียดอยู่กับร่างกายของซูอัน
ในมวลอากาศเหมือนจะมีรูปหัวใจปรากฏขึ้นด้วย
“ได้!”
จากนั้นในห้องลับก็บังเกิดเสียงฝึกตนแสนหวานขึ้นมา
……
อีกด้านหนึ่ง เสนาบดีกรมพิธีการหลี่เต๋อเฉวียนรู้สึกโล่งใจที่เห็นบุตรสาวกลับมาด้วยสภาพสมบูรณ์
หากเป็นไปได้ เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับซูอันจริงๆ
เพราะทุกคนรู้ดีว่าสุนัขรับใช้สารเลวของจักรพรรดินีคนนี้ได้รับความไว้วางพระทัยอย่างลึกซึ้ง
ถ้าไม่ใช่เพราะความด้อยอาวุโสและไม่มีการหนุนหลังจากครอบครัวอีก เกรงว่าซูอันจะไปได้ไกลกว่านี้มาก
ในอีกแง่หนึ่ง การไม่มีตระกูลขุนนางขั้นสูงหนุนหลังซูอันจึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จักรพรรดินีไว้วางพระทัยในตัวเขามาก
เดิมทีหลี่เต๋อเฉวียนต้องการปลอบใจบุตรสาว แต่กลายเป็นว่านางตอบคำถามลวกๆ แค่สองสามคำแล้วเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
บิดาเฒ่าจึงทำได้เพียงจากไปด้วยความหดหู่
“ช่างเถอะ ไปดูที่หอเซียวเซียงดีกว่า ได้ยินว่าหอเซียวเซียงรับแม่นางคนใหม่เข้ามา นางเก่งทั้งร้องทั้งรำเชียวล่ะ”
หอเซียวเซียงเป็นหอนางโลมที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง และเฉินต้าเจียคือหญิงงามอันดับหนึ่งของหอเซียวเซียง ไม่รู้ว่ามีคุณชายและผู้มั่งคั่งใช้เงินไปมากมายเพียงใดเพื่อให้หญิงงามแย้มยิ้ม
บางคนถึงกับพูดว่า ‘นั่งเล่นหอเซียวเซียง ตามองเห็นความงามล่มเมือง’
แม้จะพูดเกินจริง แต่แสดงให้เห็นว่าหอเซียวเซียงได้รับความนิยมเพียงใดในเมืองหลวง
ราชวงศ์ต้าซางไม่ได้ห้ามขุนนางเที่ยวหอนางโลม แต่ทำได้แค่ร้องเพลงเต้นรำดื่มสุราเท่านั้น ห้ามใช้บริการหมอนส่วนตัวเด็ดขาด
พูดง่ายๆ คือสามารถฟังเพลงได้ แต่ไม่อนุญาตให้มีการค้าประเวณี
ณ ห้องโถงของหอเซียวเซียง มีหนุ่มเจ้าสำราญคนหนึ่งกำลังมองไปทางซ้ายทีทางขวาที
บางครั้งเขาก็มองไปที่ประตู
จนกระทั่งเขาเห็นชายวัยกลางคนในชุดลำลองเดินเข้ามา เขาจึงแสร้งหันไปมองทางอื่น
“ไอโหยว ข้าน้อยก็นึกสงสัยว่าเหตุใดจึงได้ยินเสียงนกกางเขนร้องตามกิ่งก้านในตอนเช้า ปรากฎจะได้ต้อนรับใต้เท้าหลี่นี่เอง”
“เหมือนเดิม เรียกพวกซีซุนมาเหมือนเดิม” หลี่เต๋อเฉวียนโบกมือพลางเอ่ย
“เจ้าค่ะ เชิญทางนี้ ข้าน้อยจะจัดเตรียมให้ทันที” แม่เล้าให้การต้อนรับหลี่เต๋อเฉวียนและเชิญเขาเข้าไปในห้องส่วนตัว
บัดนี้หลี่เต๋อเฉวียนกำลังนั่งดื่มสุราฟังดนตรีในห้องส่วนตัวด้วยความผ่อนคลาย
แม่นางส่วนใหญ่ในหอเซียวเซียงมีทักษะด้านดนตรียอดเยี่ยม โดยเฉพาะแม่นางที่ขายแต่ทักษะไม่ขายเรือนร่าง โดยพื้นฐานแล้วทุกคนล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะแห่งดนตรี
สามารถรังสรรค์ท่วงทำนองแปลกใหม่ได้มากมาย
ทั้งทำนองที่ฟังแล้วรู้สึกสบายใจ หรือทำนองที่ทำให้แทบกระอักเลือด
ทันใดนั้น
เกิดเสียงดัง ‘ปัง’ ขึ้นมา!
เป็นเสียงจากการที่ประตูห้องส่วนตัวถูกเตะเปิดโดยแรง
เสียงเพลงก็หยุดโดยกะทันหันเช่นกัน