ตอนที่ 1 เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นใคร
ตอนที่ 1 เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นใคร
คานแกะสลักฝังหยกเมื่อรวมเข้ากับตัวอาคารหยกวิจิตรช่างเป็นประติมากรรมที่สมบูรณ์แบบ
ศาลา แท่น อาคารและหอล้วนโอ่อ่าตระการตา ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์ ทว่าที่แห่งนี้คือพระราชวังต้าซาง
ราชวงศ์ต้าซางได้ก่อตั้งราชธานีใหม่ ณ ดินแดนแห่งสวรรค์ (เป็นคำที่เรียกประเทศจีนในภาษากวี) นานกว่า 128,000 ปีแล้ว ดังนั้นการจะเปรียบเปรยว่าพระราชวังต้าซางคือถิ่นพำนักของเซียนก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง
ทว่าซูอันไม่มีอารมณ์มาชื่นชมทิวทัศน์ที่งดงามเหล่านี้
เขาเดินไปตามทางพร้อมรูปร่างผอมสูงดูสั่นคลอนเหมือนคนป่วย ใบหน้าหล่อเหลาแต่บัดนี้ซีดเซียว
เมื่อคิ้วของซูอันขมวดแน่น ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าในสมองที่มีแต่ความสับสนค่อยๆ กระจ่างชัด
เขาหยุดฝีเท้าพลางส่ายหัวแรงๆ
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านอยู่ตรงหน้าผากทำให้เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
“ให้ตายเถอะ ข้าเป็นนักเดินทางข้ามกาลเวลาจริงหรือ?!”
กระนั้น แม้ว่าหัวใจของเขาจะเต็มไปด้วยความสับสน แต่ซูอันไม่ได้รู้สึกตกตะลึงกับคำเหล่านี้จริงๆ นัก
เพราะตั้งแต่เกิด เขามีสติปัญญามากกว่าคนธรรมดา เขาสามารถพูดได้ภายในสามวันและเดินได้ภายในห้าวันเท่านั้น เพียงแต่เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองลืมสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอและเขาไม่เคยจำมันได้เลย
จนถึงวันนี้เขาเกิดจำได้เสียดื้อๆ ระหว่างที่เดิน...
แท้จริงเขาเป็นนักเดินทางข้ามกาลเวลา
กล่าวอีกนัยคือการกลับชาติมาเกิดในโลกนี้
แต่อาจเพราะตอนอยู่ในครรภ์มารดาทำให้เขาลืมความทรงจำเกี่ยวกับชาติก่อนแล้วใช้ชีวิตแบบคนท้องถิ่นตามปกติ ทว่าเมื่อครู่นี้เขาเพิ่งจำได้
‘หลังเดินทางสู่โลกนี้แล้ว ในช่วงแรกๆ เขายังเป็นตัวร้ายที่ถวายตัวรับใช้เบื้องบน...และเป็นผู้เปิดประตูนรก!’
ซูอันยกมือนวดศีรษะแรงๆ ก่อนจะพบว่าเขาเดินมาถึงหอไตรในวังหลวงโดยไม่รู้ตัว
เรียกว่าหอไตรอาจฟังเกินจริงไปหน่อย ทว่าส่วนใหญ่ที่นี่ก็เก็บคัมภีร์คติธรรมคลาสสิกของชาวพุทธและลัทธิเต๋าจริงๆ ทั้งยังมีตำราทักษะเบ็ดเตล็ดทางการแพทย์อยู่บ้าง หอไตรแห่งนี้มีขันทีธรรมดาเพียงไม่กี่คนปฏิบัติหน้าที่และมีคนมาเยือนน้อยมาก
สำหรับคัมภีร์ฝึกตนที่รวบรวมโดยราชวงศ์ถูกเก็บอยู่ในหอเซียนหยวนอีกแห่งหนึ่งและถูกคุ้มกันจากราชวงศ์ด้วยความเข้มงวด
เขาหันมองไปรอบกายและถอนหายใจออกมา จากนั้นทรุดกายลงนั่งที่ขั้นบันไดหินพลางยกมือลูบหน้าลูบตา
เขาคุ้นเคยกับโลกนี้จริงๆ เพราะมันเป็นโลกแห่งนิยายนองเลือดที่เขาได้อ่านในชีวิตก่อน เพียงแต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะกลายเป็นหนึ่งในตัวละครของนิยายเล่มนี้
ตัวเอกชายเยี่ยเสวียนได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของผู้เร้นกายท่านหนึ่งตั้งแต่เยาว์วัยและฝึกฝนด้วยความขันแข็งในป่าภูเขา
หลังจากสำเร็จวิชาแล้วลงจากภูเขา เยี่ยเสวียนจึงได้พบว่าบ้านของตนถูกบุกยึด บิดาถูกโบยด้วยไม้จนตาย มารดาฆ่าตัวตายตามสามี พี่ชายคนโตถูกจำคุก น้องสาวกำลังจะกลายเป็นเตาหม้อ [1] ของผู้มีอำนาจ ครอบครัวพังทลายไม่เหลือชิ้นดี
เยี่ยเสวียนระเบิดความโกรธแค้นจนก่อเหตุจลาจลในเมืองหลวง เขาสังหารผู้มีอำนาจแล้วช่วยเหลือน้องสาวออกมาได้ รวมถึงกวาดล้างสายตระกูลที่เกี่ยวข้องกับศัตรูทั้งหมด
หลังจากนั้นองค์จักรพรรดินีมีพระบัญชาให้ปิดล้อมเมืองหลวง รวมถึงมีพระราชเสาวนีย์ให้ตามล่าเยี่ยเสวียน เมื่อเยี่ยเสวียนถูกบีบบังคับให้หลบหนี นับจากนั้นเขาจึงก้าวเข้าสู่เส้นทางของกบฏเต็มตัว
ตลอดเส้นทางนั้นเขาต่อสู้เพื่ออำนาจที่เหนือกว่า รวบรวมฮาเร็ม กลืนน้ำลายตนเองและในท้ายที่สุดเขาได้ล้มล้างราชวงศ์ต้าซางสำเร็จ สร้างเส้นทางการเดินทางนองเลือดเพื่อช่วยเหลือพี่ชายที่ถูกตัวร้ายคุมขังไว้นานหลายปีสำเร็จและสถาปนาราชวงศ์ใหม่
เรียกได้ว่าเป็นราชามังกรที่โผทะยานออกจากภูเขาได้เลย ทว่าย่อหน้าหลังๆ เป็นเพียงการคาดเดาของซูอันล้วนๆ เพราะนิยายหยุดลงที่เยี่ยเสวียนก่อกบฏ
และซูอันคือผู้มีอำนาจที่ถูกสังหารตั้งแต่แรกคนนั้น
เขายังเป็นบริวารที่องค์จักรพรรดินีโปรดปรานมากที่สุดในนิยายเรื่องนี้ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นคือ...เขาเพิ่งพาคนไปบุกยึดบ้านของเยี่ยเสวียนเมื่อวานนี้เอง
ในระหว่างบุกรื้อค้น พวกเขาได้พบกับเยี่ยหลีเอ๋อร์น้องสาวของเยี่ยเสวียนซึ่งนางมีร่างกายที่ยอดเยี่ยม...กายอินบริสุทธิ์
ในเวลานั้นเขามีความคิดไม่ดีจึงลักพาตัวเยี่ยหลีเอ๋อร์กลับจวนและตอนนี้เยี่ยหลีเอ๋อร์ยังถูกขังอยู่ในห้องลับที่จวน
น่าเสียดายที่ตามบทประพันธ์เดิมได้กำหนดให้ร่างกายประเภทนี้ควบรวมกันด้วยความสมัครใจเพื่อที่จะได้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งการบังคับนางจะไม่ได้สิ่งใดเลยนอกจากอุปสรรคอีกขั้น ประเด็นสำคัญคือน้องสาวของตัวเอกจะถูกตัวร้ายข่มเหงสำเร็จได้อย่างไร
เป็นผลให้เขาต้องเลี้ยงเยี่ยหลีเอ๋อร์ไว้ก่อน และตามบทประพันธ์เดิมเขาไม่เคยแตะต้องเยี่ยหลีเอ๋อร์เลยจนกระทั่งเขาถูกสังหาร
และจุดประสงค์ที่เขาเดินทางเข้าวังครั้งนี้คือทูลรายงานต่อจักรพรรดินีว่าได้จับตัวเยี่ยหลีเอ๋อร์เอาไว้ เพราะตามหลักแล้วเยี่ยหลีเอ๋อร์ควรถูกส่งไปยังคุกหลวงเพื่อรอรับโทษ
กลับกลายเป็นว่าก่อนจะได้เข้าเฝ้าจักรพรรดินี เขาได้ฟื้นความทรงจำในชีวิตก่อนขึ้นมาและเพิ่งตระหนักว่าตนถือเผือกร้อนเอาไว้
นี่มันน่าเศร้ามาก~
ถ้าตามเส้นเรื่องเดิม
หากไม่มีเหตุการณ์พลิกผัน พรุ่งนี้ราชามังกรเยี่ยเสวียนจะลงจากภูเขาและคืนสู่เมืองหลวง
และเขานี่เองจะต้องสละชีพคนแรก กลายเป็นหินรองเท้าให้ตัวเอกปลุกปั่นพายุ
เวลานี้มันไม่สำคัญว่าเยี่ยหลีเอ๋อร์จะปลอดภัยอยู่หรือไม่ เพราะบ้านของเยี่ยเสวียนถูกรื้อค้นโดยคนของเขาเป็นเรื่องจริง ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วเยี่ยเสวียนไม่มีทางปล่อยเขาไป
เขากำลังเริ่มนับถอยหลังสู่ความตายหรือเนี่ย?
ความกดดันมหาศาลเข้าโอบล้อมซูอันเอาไว้ หากเขาฟื้นความทรงจำได้ก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะเพียงหนึ่งวันก่อนหน้า เขาคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เด็ดขาด
ทว่าตอนนี้การได้เผชิญหน้ากับตัวเอกเป็นสิ่งที่แน่นอนแล้ว
พรุ่งนี้อาจมีตัวเอกกระโดดมายืนเบื้องหน้าของเขาและตวาดใส่หน้าเขาว่า “เอาชีวิตเจ้ามา” จากนั้นซัดฝ่ามือเดียวใส่จนเขาแหลกเป็นชิ้น
เมื่อจินตนาการถึงภาพอันไม่พึงประสงค์นั้นแล้ว ซูอันตื่นตระหนกยิ่งนัก
ไม่ได้ ข้าต้องเอาตัวรอด!
ซูอันกำหมัดแน่นพลางลุกพรวดขึ้นยืน ประกายความโหดเหี้ยมฉายขึ้นในดวงตาของเขา
เขาไม่อยากเป็นหินรองเท้าให้ตัวเอก!
หากทำให้ใครขุ่นเคืองจะต้องนอนรอความตายเช่นนั้นหรือ
แล้วตัวเอกพวกนั้นอยากจะฆ่าใครก็ฆ่าได้หมดเลยหรือ
แต่นี่คือความจริงไม่ใช่นิยาย หากเขารวบรวมคนมาซุ่มโจมตีไว้ก่อน เขาไม่เชื่อว่าตัวเอกจะยังเป็นอมตะ
แต่ถ้าไม่ได้ผลจริงๆ สิ่งที่แย่ที่สุดคือเขาจะยอมแพ้แล้วหนีมาหลบในวังหลวงแบบหน้าด้านๆ เพื่อให้จักรพรรดินีคุ้มครอง ดูสิว่าเยี่ยเสวียนยังสามารถบุกเข้าวังหลวงได้หรือไม่?
ฝ่าบาทโปรดปรานเขาที่สุด หากเขาทำตัวหน้าด้านเข้าไว้ ฝ่าบาทจะไม่ละเลยเขาเด็ดขาด
ตัวเอกเอ๋ยตัวเอก เจ้าจะเป็นอมตะได้สักกี่น้ำ
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็ปรากฏเสียงฝีเท้าดังขึ้นในหอไตร
“เฮ้อ วันใหม่มาเยือนอีกครา ข้าอยู่ในวังหลวงนานขึ้นอีกวัน กระนั้นข้ายังไม่เคยเห็นพระพักตร์ของจักรพรรดินีเลย ได้ยินเสียงเล่าลือว่าพระนางมีความงามไร้ใครเปรียบ หากข้าได้จุมพิตสาวงาม จึ๊จึ๊ ช่างน่าเสียดาย เหตุใดถึงให้ข้ามาทำงานไร้ประโยชน์ที่นี่ บัดซบสิ้นดี!”
เสียงฝีเท้ามาพร้อมกับเสียงแหลมสูงซึ่งทำให้ซูอันผงะ
ยังมีคนในวังกล้าวิพากษ์วิจารณ์หรือแม้แต่พูดจาล่วงเกินจักรพรรดินีด้วย?
ฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายแล้วเหมือนว่าจะเป็นขันที
ในฐานะบริวารผู้ภักดีของจักรพรรดินี เมื่อซูอันได้ยินคำพูดเหล่านั้นจึงทำให้ไอสังหารที่ซ่อนอยู่ของเขาเผยออกมาทันที
เมื่อเขามีอารมณ์ฉุนเฉียวจะต้องสังหารขันทีคนนี้เพื่อสงบอารมณ์ เขาจึงหันไปมองจ้องที่ประตู
เขาเห็นประตูหอไตรค่อยๆ เปิดออก จากนั้นขันทีหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเดินออกมาและต้องสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นซูอันยืนอยู่ที่ประตู
ใบหน้าของขันทีหนุ่มซีดเผือดพลางแอบคิดว่ามันผิดปกติ หรือว่าซูอันจะได้ยินสิ่งที่เขาเพิ่งพูด?
แต่เสียงของเขาเบามาก อีกฝ่ายคงไม่ได้ยิน
ขันทีหนุ่มคิดปลอบใจตัวเอง
ในวังหลวงแห่งนี้การวิพากษ์วิจารณ์จักรพรรดินีถือเป็นความผิดร้ายแรง
“เป็นข้ารับใช้ที่ใจกล้านักนะ กล้าดีอย่างไรพูดดูหมิ่นฝ่าบาท เจ้าสมควรตาย!”
ซูอันมีใบหน้าเย็นชาและไม่ให้โอกาสขันทีได้ปกป้องตัวเอง เขาเคลื่อนย้ายพลังเวทจากฝ่ามือแล้วซัดใส่ขันทีหนุ่มทันที
แม้เขาจะเป็นเพียงตัวร้ายที่ไร้ประโยชน์ในนิยายและไม่สามารถมีชีวิตรอดเกินสามตอนได้ แต่เขาก็อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว
ขันทีหนุ่มรู้จักแค่การใช้หมัดมวยธรรมดาแล้วจะปิดกั้นฝ่ามือของซูอันได้อย่างไร
ภายใต้ความตื่นตระหนก ขันทีหนุ่มจึงทำท่าทางไท่จี๋ (ไทเก๊ก) มาตรฐาน พยายามสกัดกั้นการโจมตี
กระนั้นก็ไม่มีผลเลย
ร่างของขันทีหนุ่มกระเด็นออกไปไกลและถูกอัดเข้ากับผนังราวกับก้อนดิน
จากนั้นร่างของเขาร่วงสู่พื้นโดยหลงเหลือคราบเลือดไว้บนผนัง
“เมื่อครู่...ใช่ไท่จี๋หรือไม่?”
ซูอันขมวดคิ้วพลางนึกถึงท่าทางที่ขันทีหนุ่มใช้เมื่อครู่นี้
ท่ากางแขนกางขาออกที่เหมือนนกกระยางนั่น...
เชิงอรรถ
[1] เตาหม้อ (鼎炉) เปรียบเปรยถึง การบ่มเพาะร่างกายและจิตวิญญาณร่วมกัน หรือการร่วมเพศนั่นเอง