MDB ตอนที่ 449 เหอเฉี่ยนเปรมปรีดิ์
จ้าวจิงหยานไม่ได้ออกไปทันที เนื่องจากเธอยังมีคำถามมากมายที่จะถามหลินจินเกี่ยวกับฟีนิกซ์ของเธอหลังจากที่บรรลุนิพพาน
เมื่อมาถึงจุดนี้ เธอแน่ใจว่าเธอไม่จำเป็นต้องตามหาภัณฑารักษ์อีกต่อไป เพราะผู้ประเมินหลินเองก็สามารถแก้ไขปัญหาของเธอได้ ผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับภัณฑารักษ์ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือชั้นยอด ดูเหมือนไม่มีอะไรจะทำให้พวกเขาต้องเกรงกลัวเลย
จ้าวจิงหยานตระหนักถึงแผนการของหลินจินที่จะมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรเกลียวสวรรค์
“ผู้ประเมินหลิน ท่านตั้งใจจะที่นั่นแทนภัณฑารักษ์อย่างงั้นเหรอ?”
จ้าวจิงหยานถาม
หลินจินพยักหน้า
สมมติฐานของเธอถูกต้อง และหลินจินก็ไม่คิดว่าเขาจำเป็นจะต้องปิดบังอีกฝ่ายเช่นกัน
จ้าวจิงหยานมีท่าทีแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากตอนแรก ก่อนหน้านี้เธอเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง แต่ตอนนี้เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจ ราวกับว่าเธอเองก็ได้เกิดใหม่เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงของเธอ
ต่อจากนั้น จ้าวจิงหยานเริ่มขอคำแนะนำจากเขา และหลินจินก็ตอบคำถามของเธออย่างถูกต้อง การแลกเปลี่ยนของพวกเขาดำเนินต่อไปจนถึงเที่ยงคืนก่อนที่จ้าวจิงหยานจะตัดสินใจพอแค่นี้ แม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตาม
“ผู้ประเมินหลินจิน ข้า จินหยาน ได้รับพระคุณจากท่านมากมาย หากท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้าในอนาคต ขอเพียงแค่ท่านเอ่ยขึ้นมา ข้าก็พร้มอทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยเหลือท่าน”
จ้าวจิงหยานให้สัญญา
หลินจินรู้ว่าเธอกำลังจะออกเดินทาง
หลังจากการตายของสัตว์เลี้ยงของเธอ เธอต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก ตอนนี้ฟีนิกซ์ของเธอได้เกิดใหม่แล้ว จ้าวจิงหยานก็มีสิ่งที่เธอต้องไปทวงคืนที่ตำหนักฟีนิกซ์อย่างแน่นอน
หากพูดถึงเรื่องนี้ หากเธอสามารถยึดตำหนักฟีนิกซ์กลับคืนมาได้ นั่นก็จะเป็นประโยชน์ต่อหลินจินเช่นกัน
จ้าวจิงหยานเดินทางไปในตอนกลางคืน เธอเป็นคนเด็ดเดี่ยวที่จะทำตามความคิดและความต้องการของเธอเอง ช่างเป็นบุคลิกที่แตกต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกอย่างแท้จริง
หลินจินเองก็ต้องเร่งเตรียมการที่จำเป็นเช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่จะเป็นการเดินทางที่ยาวนาน และอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่เขาจะกลับมา
...
วันรุ่งขึ้น ผู้ประเมินระดับสองที่เดินทางออกจากเมืองหลวงมาถึงเมืองเมเปิ้ล เขามาที่นี่เพื่อเข้ารับตำแหน่งแทนหลินจิน
แม้ว่าเขาจะแก่กว่าและมีประสบการณ์มากกว่าหลินจิน แต่ชายคนนั้นก็ยังคงให้ความเคารพเขาเยี่ยงบรรพบุรุษของเขา
“ข้าขอฝากความรับผิดชอบของข้าไว้ในมือของท่าน!”
หลังจากมอบความรับผิดชอบทั้งหมดในฐานะหัวหน้าสมาคมแล้ว หลินจินก็มองไปที่สมาคมประเมินสัตว์วิเศษแห่งเมืองเมเปิ้ล ในระหว่างที่เขาไม่อยู่ ลูกศิษย์ของเขาจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่ในห้องโถงประเมินของเขา ด้วยทักษะของพวกเขา หลินจินจึงไม่มีอะไรต้องกังวล
“ถึงเวลาต้องไปแล้ว”
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ชางเอ๋อร์ขอร้องให้หลินจินครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้เธอร่วมการเดินทางกับเขา แต่เธอกลับถูกหลินจินปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
จุดประสงค์ของเขาที่อาณาจักรเกลียวสวรรค์ก็เพื่อเลื่อนระดับผู้ประเมินของเขาไปสู่ระดับสี่ และขอดูอักษรภาพของเต้าจวิน ภารกิจเหล่านี้หลินจินสามารถบรรลุได้ด้วยตัวเอง
สิ่งที่เขาต้องการคือยอดฝีมือที่เก่งกาจอย่างชางเอ๋อร์มาคอยอยู่ดูแล และปกป้องเมืองเมเปิ้ลในขณะที่เขาไม่อยู่
การเผชิญหน้าของเขากับเต๋าแมลงเป็นสัญญาณเตือนแก่หลินจิน
บางทีอาจมีคนข้างนอกนั่นเริ่มวางแผนต่อต้านเขาแล้ว อย่างคำกล่าวที่ว่า ยิ่งต้นไม้สูง ลมก็ยิ่งแรง เมื่อพิจารณาจากชื่อเสียงของหลินจิน และความจริงที่ว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับภัณฑารักษ์ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเก็บตัวเงียบได้อีกต่อไป
เมืองเมเปิ้ลเป็นบ้านของเขา หากใครก็ตามที่มีเจตนาไม่ดี ก็จำเป็นต้องมีคนมาปกป้อง
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ประเมินมารก็ยังคงเป็นภัยคุกคามที่สามารถสร้างภัยอันตรายต่อเมืองเมเปิ้ลตอนไหนก็ได้
ถึงเย่หยู่โจวอาจจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็ยังขาดอยู่เล็กน้อย
มีเพียงชางเอ๋อร์เท่านั้นที่ทำให้หลินจินวางใจได้
แม้ว่าเธอจะฝืนใจ แต่ชางเอ๋อร์ก็เชื่อฟังคำสั่งของเขา
“โกลดี้ตื่นแล้วหรือยัง?”
หลินจินถาม
ชางเอ๋อร์ส่ายหัว
ตอนนี้โกลดี้ได้ทำสถิติการนอนหลับขึ้นมาใหม่แล้ว คนที่ไม่รู้คงจะคิดว่าเจ้าไก่หลับอยู่หรือตายไปแล้ว
แน่นอนว่าหลินจินรู้ดีว่าไม่เป็นเช่นนั้น
โกลดี้เพียงแต่หลับลึกเพราะมันกินราชาแมลงระดับห้า และแมลงหายากหลายร้อยตัวเข้าไป
“ปล่อยให้มันหลับต่อไป ร่างกายของโกลดี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากไม่มีอะไรผิดพลาด มันจะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด คอยตรวจสอบให้แน่ใจว่ามันจะตื่นขึ้นมาด้วยตัวเอง”
หลินจินสั่ง
ก่อนเขาจะเดินทางไปอาณาจักรเกลียวสวรรค์ หลินจินต้องแวะเมืองหลวงเพื่อพบกับเหอเฉียนตามที่สัญญาไว้ นั่นจึงทำให้แม่มังกรกับเฒ่าโม่ร่วมเดินทางไปด้วย
ก่อนหน้านี้แม่มังกรได้พูดคุยกับหลินจินเป็นการส่วนตัวเป็นเวลาประมาณสองสามชั่วโมง
ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาคุยกันเรื่องอะไร แต่หลังจากพูดคุยกันเสร็จ หลินจินก็ตัดสินใจพาพวกเขาทั้งสองไปที่เมืองหลวง
หลังจากพาสองแม่ลูกไปพักที่โรงเตี๊ยมแล้ว หลินจินก็หาสถานที่ลับตาคนเพื่อปลอมตัว หลังจากสวมหน้ากากภัณฑารักษ์และปลดปล่อยออร่าของเขาออกมา จากนั้น เขาก็เดินเข้าไปในเมือง
พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า แต่ถนนในเมืองหลวงยังคงคับคั่ง ท้ายที่สุด นี่คือเมืองที่พลุกพล่านที่สุดในอาณาจักรมังกรหยก
ท่ามกลางผู้คน หลินจินที่สวมหน้ากากกำลังเดินมุ่งหน้าไปสู่พระราชวังมังกรหยก
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็สังเกตเห็นเขาได้ทันที บางคนเริ่มชี้นิ้วมาที่เขา ขณะที่บางคนกระซิบข้างหลังเขา
เมืองนี้เต็มไปด้วยสายลับของจักรพรรดิ ดังนั้นทันทีที่ภัณฑารักษ์ปรากฏตัว เหอเฉียนก็ได้รับแจ้งเรื่องนี้ทันที
เหอเฉียนรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาจะได้พบกับภัณฑารักษ์แล้ว
ในฐานะจักรพรรดิของประเทศขนาดกลาง เหอเฉียนนึกถึงครั้งสุดท้ายที่เขาตื่นเต้นขนาดนี้ มันน่าจะเป็นตอนที่เขาได้ขึ้นครองราชย์
ชื่อเสียงของภัณฑารักษ์ดูน่าเกรงขามมากขึ้นเมื่อเทียบกับครั้งสุดท้ายที่เขาพูดคุยกับหลินจิน
การบุกรุกวัดต้าหลัวของเขาเพียงลำพังก็น่าประทับใจเพียงพอแล้ว เขาไม่เพียงแต่สามารถกลับออกมาได้อย่างไร้ร่อยขีดข่วน แต่ภัณฑารักษ์ยังถูกพาลงมาจากภูเขาโดยพระชั้นสูงของวัดอีกด้วย
มันเหมือนกับการไปท้าทายเจ้าถิ่น และทุบตีอีกฝ่ายจนยับเยิน ไม่เพียงแต่เจ้าถิ่นจะไม่โกรธเท่านั้น แต่ยังเป็นเพื่อนกับผู้บุกรุกอีกด้วย
หากไม่มีความแข็งแกร่งนอกผู้ใดเทียบ ความสำเร็จดังกล่าวก็คงจะไม่ต่างจากการสร้างวิมานในอากาศ
ด้วยเหตุนี้ เหอเฉียนจึงตั้งตารอที่จะได้พบกับภัณฑารักษ์ แม้ว่าภัณฑารักษ์จะไม่ให้ความช่วยเหลือแก่เขาหรืออาณาจักรมังกรหยกก็ตาม
การที่ได้พบกับภัณฑารักษ์นั้นถือเป็นสิทธิพิเศษอย่างยิ่ง
จากมุมมองของเหอเฉียน การเป็นจักรพรรดิ เขาไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ผลประโยชน์เพียงผิวเผินเท่านั้น เขาต้องวางแผนสำหรับอนาคตไว้ล่วงหน้าด้วย
ความจริงที่ว่าเขาได้พบกับภัณฑารักษ์ก็เป็นประโยชน์อย่างมากอยู่แล้ว
ภัณฑารักษ์คือใคร?
คนที่สามารถเข้าวัดต้าหลัวได้ด้วยตัวเอง และเจ้าอาวาสก็ออกมาส่งด้วยความเคารพ เขาเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่กล้าสั่งสอนพระภิกษุทุกรูปในวัดต้าหลัวว่า
'อย่าฆ่าสัตว์ปีศาจตามอำเภอใจ'
การพบปะของเขากับภัณฑารักษ์ได้ยกระดับสถานะของอาณาจักรมังกรหยกโดยไม่ได้ตั้งใจ ด้วยผลประโยชน์ที่มองไม่เห็น และการหยิบยืมอิทธิพลนี้จะคงอยู่ต่อไปอีกหลายทศวรรษอย่างแน่นอน
อย่างน้อยที่สุด ประเทศขนาดกลางใกล้เคียงที่มีข้อพิพาทชายแดนกับอาณาจักรมังกรหยกก็จะเริ่มกลัวพวกเขา และพวกเขาจะพิจารณาล่าถอยอย่างแน่นอนหลังจากข่าวการพบปะพูดคุยของพวกเขาเผยแพร่ออกไป
พวกเขาอาจจะยั่วยุอาณาจักรมังกรหยกได้ แต่พวกเขาไม่กล้ายั่วยุ 'ภัณฑารักษ์' อย่างแน่นอน
แน่นอนว่าหากภัณฑารักษ์เต็มใจที่จะให้ความช่วยเหลือพวกเขาจริง ๆ นั่นคงจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม เหอฉียนจัดการพบปะครั้งนี้ด้วยความเคารพ ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินข่าวการมาถึงของภัณฑารักษ์ เขาก็แจ้งให้ทุกคนให้พระราชวังเตรียมการทันที
การเตรียมการของพวกเขาจะต้องมีคุณภาพสูงสุด และขุนนางในพระราชวังทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะโศกเศร้าในงานศพหรือรอการเกิดของลูก ทุกคนก็ต้องแต่งกายอย่างเป็นทางการ และรีบไปต้อนรับภัณฑารักษ์โดยไม่มีข้อยกเว้น
ทางราชวงศ์ก็ต้องมาด้วยเช่นกัน ใครก็ตามที่กล้าหลบหนีในครั้งนี้จะต้องเผชิญหน้ากับความโกรธเกรี้ยวของเหอเฉียน
สำหรับตัวเหอเฉียนเอง เขาแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว และรออยู่ที่ประตูพระราชวัง ด้านหลังมีเหล่าขุนนางในวัง และเชื้อสายของราชวงศ์หลายร้อยคนยืนอยู่ด้านหลัง นี่เป็นฉากที่ไม่เคยมีมาก่อน
ก่อนที่หลินจินจะไปถึงพระราชวัง ทหารของพระราชวังต่างก็รีบมาคุ้มกันเขาอย่างกุลีกุจอ
“เรามาตามคำสั่งของฝ่าบาท จักรพรรดิแห่งอาณาจักรมังกรหยก เรามาที่นี่เพื่อคุ้มกันภัณฑารักษ์”
ประกาศจากนายพลที่สวมชุดเกราะแวววาวมาพร้อมกับน้ำเสียงอันดังก้อง
พวกเขาไม่ได้ดูอึดอัดใจเลยเมื่อต้องทำตามคำสั่ง
หลินจินตอบอย่างไม่ใส่ใจแทนการทักทาย
“ขอบคุณ ช่วยนำทางให้ข้าด้วย!”
เหล่าทหารต่างตกตะลึง เนื่องจากอีกฝ่ายมีอัธยาศัยดีอย่างน่าประหลาดใจ