ตอนที่ 46 อาจารย์น้อย
ตอนที่ 46 อาจารย์น้อย
แม้ว่าซูลั่วจะเย้ยหยัน แต่ในใจนั้นเป็นคนมีเมตตาโอบอ้อม ช่วงเวลาที่ผันผ่าน นางจะคอยชี้แนะและอธิบายจี้เตี๋ยถึงประสบการณ์ในด้านการปรุงยา
สำหรับหนทางแห่งการปรุงยา แต่ละขั้นถือว่ายากเข็ญ แต่นางคือนักปรุงยาขั้นสูง ดังนั้นแค่ชี้แนะจี้เตี๋ยจึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
ดังนั้นช่วงไม่กี่วันถัดมา จี้เตี๋ยจึงคอยแวะเวียนมาสอบถามหาคำชี้แนะอยู่ทุกวัน
เด็กสาวที่กลายเป็นอาจารย์จำเป็น เวลานี้จึงบอกกล่าวถึงเคล็ดวิชาควบคุมอุณหภูมิของอัคคีเพลิง การคัดแยกสมุนไพรวิญญาณ และการควบแน่นของเม็ดยา
ดังนั้นในช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน จี้เตี๋ยจึงตระหนักทราบว่าตนเองได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ความสงสัยที่เคยมีในตอนปรุงยาได้รับการแถลงไขจนกระจ่าง ความก้าวหน้าในด้านการปรุงยาของเขาจึงก้าวทะยาน!
และความกระหายที่จะเรียนรู้นี้ก็ทำให้ซูลั่วรู้สึกพึงพอใจเช่นกัน
“ที่ข้าบอกกล่าวไปตลอดช่วงหลายวัน ทั้งหมดคือความรู้เชิงทฤษฎี” ที่ด้านในถ้ำ เด็กสาวที่ผันตัวเป็นอาจารย์กำลังเอ่ยบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“ประสบการณ์คือหัวใจสำคัญ เพราะมันขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของจริง ข้าจะชี้แนะให้ดูครั้งหนึ่ง หากว่าจดจำวิธีการปรุงยาของข้าได้ มันก็อาจช่วยให้เจ้าหลีกเลี่ยงปัญหาที่ต้องพบในตอนปรุงยาได้”
หากว่าเรื่องราวนี้เปิดเผยออกไป เหล่าศิษย์ทั่วทั้งยอดเขาโอสถคงต้องริษยา กระทั่งอิจฉาจี้เตี๋ยจนกระอักเลือดตกตาย
เพราะเด็กสาวคือผู้มีพรสวรรค์อัจฉริยะจนสามารถเป็นนักปรุงยาขั้นสูง การได้รับชมนางปรุงยาใกล้ชิด ต่อให้เป็นนักปรุงยาขั้นกลางก็ยังได้รับผลประโยชน์อันมหาศาล รวมถึงจะช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจใหม่!
“ขอบคุณศิษย์พี่หญิงซูขอรับ” จี้เตี๋ยกล่าวคำขอบคุณจากใจจริง เพราะเขาเองก็ได้เรียนรู้เคล็ดวิชาปรุงยาจากบันทึกนักปรุงยามาบ้างแล้ว ทำให้พอจะมีความเข้าใจในความนึกคิดของตนเองอยู่พอสมควร
การได้รับชมนักปรุงยาขั้นสูงระดับหนึ่งปรุงยาต่อหน้า มันคือโอกาสอันดีที่ไม่ใช่หาได้ง่าย ทั้งยังจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้อย่างมหาศาล
“มาทางด้านนี้” เด็กสาวตอบกลับก่อนจะพาเขาไปยังห้องข้างเคียงภายในถ้ำ
อุณหภูมิของห้องนี้สูงกว่าภายในถ้ำปกติ และมันคือสถานที่ที่นางมักใช้เพื่อปรุงยา
“รับชมให้ดี ข้าจะสาธิตเพียงแค่หนึ่งครั้งเท่านั้น!” ซูลั่วที่พบเห็นเด็กหนุ่มสำรวจมองไปทั่วจึงเอ่ยคำขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“ขอรับ” จี้เตี๋ยกลั้นลมหายใจและตั้งสมาธิ เวลานี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงใด ขณะเดียวกันสายตาก็จับจ้องอย่างตั้งใจ
ซูลั่วที่พบเห็นจึงเกิดพึงพอใจ เวลานี้นางจึงยกมือขึ้นตบที่ถุงมิติ ก่อนจะเรียกหม้อปรุงยาสีม่วงขนาดสูงราวครึ่งตัวคนออกมา และเพียงปลายนิ้วขยับเคลื่อนไหว อัคคีเพลิงจึงลุกโชนขึ้นภายใต้หม้อจนสะท้อนถึงใบหน้าของนาง
เด็กสาวพยายามสะกดกลั้นเก็บความรู้สึกทั้งหมดขณะปรุงยา ท่าทีของนางราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน สีหน้ายามนี้ยังคร่ำเคร่งราวกับกำลังทำพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์
สมุนไพรอย่างแล้วอย่างเล่าถูกโยนใส่หม้อปรุงยาเพื่อคัดแยกเอาความไม่บริสุทธิ์ออกมา กระบวนการทั้งหมดราบรื่น การควบคุมอุณหภูมิของอัคคีเพลิงเองก็แม่นยำอย่างไร้ที่ติ ชนิดที่จี้เตี๋ยไม่มีทางเทียบเปรียบได้แม้แต่น้อย
จี้เตี๋ยรับชมพลางควบคุมลมหายใจ พร้อมกับจดจำทุกการกระทำของนางให้เอาไว้โดยไม่มีส่วนใดตกหล่น กระทั่งเทียบเปรียบในใจกับการปรุงยาของตนเองก่อนหน้านี้ จนกระทั่งพบเห็นว่าส่วนใดบกพร่อง
ภายหลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง กลิ่นหอมฟุ้งของยาจึงเริ่มลอยออกมาจากหม้อ
ทันทีที่ก่อตัวเป็นเม็ดยา เด็กสาวจึงสะบัดข้อมือพร้อมเรียกยาทั้งสี่เม็ดลอยล่องออกมาจากเตา สุดท้ายจึงส่งเข้าไปเก็บในขวดหยกที่เตรียมเอาไว้
“เป็นยังไงบ้าง?” โคนผมและหน้าผากที่ชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อของนางเวลานี้ มันบ่งบอกได้ถึงความเหนื่อยล้าและความพยายาม
“ได้หลายเรื่องเลยขอรับ! ขอบพระคุณศิษย์พี่หญิงซูขอรับ!” จี้เตี๋ยเอ่ยคำขอบคุณจากก้นบึ้งหัวใจ
“ฮึ! ข้าทราบว่าเจ้ามีแค่ความเข้าใจบางส่วน แต่ก็จงใจกล่าวเช่นนี้ออกมาเพื่อรักษาหน้าเอาไว้กระมัง แต่พึงตระหนักว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่เพียงคนรู้จักของเจ้า แต่ว่าเป็นอาจารย์! ค่ำคืนนี้เจ้าจงกลับไปและทำความเข้าใจให้ดี หากว่ามีส่วนใดไม่เข้าใจก็จงถามออกมาโดยตรง! วันพรุ่งนี้ข้าจะชี้แนะการปรุงยาเจ้าเป็นการส่วนตัวอีกครั้งหนึ่ง!” เด็กสาวกล่าวตอบขณะเชิดคางขึ้นสูง
จี้เตี๋ยมองนางที่ทำท่าทีบ่งบอกว่าข้ารู้ข้าเห็นทุกสรรพสิ่ง เขาจึงไม่ทราบว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะตอบดี
“เมื่อครู่ศิษย์พี่หญิงปรุงยาอะไรขึ้นมาหรือขอรับ?”
“ยาเสริมวิญญาณ ที่สามารถใช้เพื่อส่งเสริมความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ” เด็กสาวแค่นเสียงขึ้นจมูกเป็นการตอบรับ
“ยาเสริมวิญญาณ…” จี้เตี๋ยเกิดรู้สึกลำคอแห้งผากขึ้นมา
“อยากได้หรือ?” ซูลั่วที่แม้เปรยสายตามองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ได้เห็นว่าจี้เตี๋ยดูหวั่นไหว
จี้เตี๋ยพยายามกลืนน้ำลายและเอ่ยถาม “ได้หรือไม่ขอรับ?”
“ก็ต้องไม่ได้! เจ้าเป็นใคร? เพราะอะไรข้าจึงต้องให้!”
“ขอซื้อก็ได้ขอรับ” จี้เตี๋ยตอบคำด้วยเสียงเบา
“ซื้อ?” ซูลั่วสำรวจมองตอบตั้งแต่หัวจรดเท้า “ข้าไม่ได้ขาดแคลนศิลาวิญญาณ เจ้าคิดซื้อด้วยอะไรล่ะ?”
ฝั่งใต้แห่งนี้มีนักปรุงยาขั้นสูงเพียงแค่สองคน ทุกครั้งที่นางปรุงยาแต่ละครั้ง ย่อมมีศิษย์สำนักมากมายวิ่งแจ้นเข้าหาเพื่อขอซื้อ ดังนั้นนางจึงมีศิลาวิญญาณใช้ไม่เคยขาดแคลน
และกระทั่งศิษย์จากฝั่งเหนือก็ยังต้องมาขอให้นางช่วยปรุงยาด้วยซ้ำไป
“ศิษย์พี่หญิงซูต้องการสิ่งใดหรือขอรับ?” จี้เตี๋ยทราบดีว่าคำกล่าวของนางเป็นเรื่องจริง
“อือฮึ! ขอข้าคิดหน่อยแล้วกัน… เอาเป็นตอบคำถามข้ามาก่อน ภายหลังเจ้าตอบแล้วข้าจะมอบยาเสริมวิญญาณให้สองเม็ดก็แล้วกัน คิดเห็นอย่างไรล่ะ?” ดวงตาของเด็กสาวเกิดประกายขึ้นมา
“ศิษย์พี่หญิงซูต้องการถามอะไรหรือขอรับ?” จี้เตี๋ยชะงักไปชั่วครู่ แต่เรื่องราวที่ดีเช่นนี้เขาไม่คิดปฏิเสธอยู่แล้ว
“เจ้าชอบศิษย์พี่หญิงเจียงหรือไม่!” เด็กสาวเผยสีหน้าจริงจังขึ้นมา
“…” จี้เตี๋ยเงียบไปก่อนจะโขลกไอออกมา “เหตุใดศิษย์พี่หญิงซูถามเช่นนี้กันเล่าขอรับ?”
“ใช่ความรักหรือไม่?!” เด็กสาวฮึมฮัมตอบโต้ก่อนจะยิงตรงเข้าประเด็นต่อ
“ศิษย์พี่หญิงเจียงงดงามขอรับ ความคิดเช่นนั้น…” จี้เตี๋ยเอามือกุมขมับ แต่ก่อนจะทันได้พูดจบประโยค ขวดหยกกลับถูกกระแทกลงตรงหน้าเสียแล้ว
“เหอะ! ไร้ยางอาย! เจ้าถูกความงามล่อลวงแต่กลับพยายามกล่าวอ้างให้ตนเองดูดี!” ซูลั่วตอบกลับมาด้วยท่าทีนึกรังเกียจ
จี้เตี๋ยพิจารณามองขวดหยก พบว่ามันเป็นขวดเดียวกับที่บรรจุยาเสริมวิญญาณเอาไว้ เวลานี้จึงเร่งร้อนคว้ามาและเก็บไป กระทั่งรีบร้อนอธิบายด้วยความลำบากใจต่อ “แค่กแค่ก ข้าเพียงแค่กล่าวว่าตามปกติก็ควรเป็นเช่นนั้น นอกจากนี้มันยังเป็นไปไม่ได้ ศิษย์พี่หญิงเจียงไม่ได้ชอบพออะไรข้าอยู่แล้ว!”
“ไปได้แล้ว!” เด็กสาวขมวดคิ้วพร้อมชี้นิ้วไปยังทางออกจากถ้ำ
จี้เตี๋ยไม่กล้ามีเรื่องด้วยต่อ แต่พอขณะกำลังจะออกจากถ้ำ ตอนนี้เองที่มีเสียงดังตามหลังมา
“วันพรุ่งนี้จงมาปรุงยา ข้าจะตรวจวัดผลการเรียนรู้…”
“ขอรับ”
จี้เตี๋ยเกิดสับสนและสงสัยต่อท่าทีของนางที่แปรเปลี่ยนอย่างกะทันหัน ทว่าเขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไรมากนัก เวลานี้จึงกลับถ้ำของตนเองพร้อมกับนำยาเสริมวิญญาณทั้งสองเม็ดออกมาตรวจสอบ
“ยาที่สามารถใช้ส่งเสริมพลังจิต” ใจของจี้เตี๋ยเต้นรัวเร็ว เขาเทยาออกมาและวางมันเพื่อสำรวจมองตรงหน้า ภายหลังจ้องมองอยู่สักพักหนึ่งจึงส่งมันเข้าปาก
วูบ! เพียงยาเข้าสู่ร่างกาย ความรู้สึกเย็นเยือกพลันแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนกระทั่งไหลเวียนถึงสมอง
เพียงแต่มันก็มีแค่นี้ ไม่ได้เกิดเป็นความรู้สึกอื่นใดอีก
จี้เตี๋ยชะงักไปชั่วครู่ สุดท้ายจึงกินเข้าไปอีกเม็ดหนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็ไม่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงใด
แต่แล้วในตอนที่ปลดปล่อยพลังจิตออกมา เขาได้ตระหนักว่าระยะการรับรู้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ราวห้าจ้าง มันเพิ่มขึ้นมาอีกจนเกินหกจ้าง!
*จ้าง เป็นหน่วยวัดความยาว มีค่าประมาณ 3.33 เมตร
มันเพิ่มขึ้นมามากกว่าหนึ่งจ้าง!
วันถัดมา ที่ด้านในถ้ำของซูลั่ว
“นี่คือวัตถุดิบสำหรับยารวบรวมลมปราณ ถือเป็นการทดลองปรุงยาครั้งแรกของเจ้า และด้วยคำชี้แนะจากข้า อย่างน้อยห้าถึงหกครั้ง หรืออย่างมากก็สักสิบครั้ง เจ้าควรจะสำเร็จและได้กลายเป็นนักปรุงยาขั้นต้นระดับหนึ่ง”
เป็นเวลาสองเดือนแล้วตั้งแต่ที่จี้เตี๋ยเกิดความคิดต้องการปรุงยา ซูลั่วไม่คิดเชื่อว่าด้วยช่วงระยะเวลาอันสั้นแค่นั้น จะมากพอทำให้จี้เตี๋ยได้กลายเป็นนักปรุงยาขั้นต้นโดยอาศัยเพียงแค่การเรียนรู้ของตนเอง ดังนั้นนางจึงวางแผนให้เขาเริ่มเรียนรู้ใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้งหนึ่ง
“ศิษย์พี่หญิงซู…ขอข้าปรุงยาขั้นกลางระดับหนึ่งแทนได้ไหมขอรับ ข้า…” จี้เตี๋ยคิดอยากกล่าวว่าตนเองเป็นนักปรุงยาขั้นต้นแล้ว ไม่ใช่มือใหม่ที่ไม่รู้ความ ทว่าก่อนจะทันพูดจบ เขากลับถูกเด็กสาวขัดคำเอาไว้
“การปรุงยาต้องดำเนินไปทีละก้าว ไม่ว่าจะก้าวที่หนึ่ง สอง หรือว่าสาม หรือต่อให้เป็นนักปรุงยาขั้นสูง ทุกคนต่างก็เริ่มจากนักปรุงยาขั้นต้นระดับที่หนึ่งกันทั้งนั้น” ซูลั่วมองว่าเขาถือตัวอวดดีจนเกินไป เวลานี้จึงเกิดความไม่พอใจขึ้นมา
ยามได้ยินคำสอนอย่างจริงจัง จี้เตี๋ยจึงเผยยิ้มขื่นขมและจำยอมต้องปรุงยาขั้นต้นตามที่ผู้เป็นอาจารย์เสนอมา
“ปรุงยาซะ ข้าจะรับชมอยู่เคียงข้าง หากว่าเกิดอะไรผิดพลาด ข้าจะได้ชี้แนะอย่างทันท่วงที”