ตอนที่ 45 เจียงโม่หลีคว้าชัยชนะ
ตอนที่ 45 เจียงโม่หลีคว้าชัยชนะ
จี้เตี๋ยที่ตื่นเต้นยินดียื่นมือออกไป และควบคุมเอายาทั้งสี่เม็ดซึ่งลอยกลางอากาศให้ลอยเข้ามาหาตนเอง
ยาเหล่านี้คือยารวบรวมลมปราณ มันสามารถช่วยส่งเสริมการฝึกฝนให้แก่ผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณระดับต้น แน่นอนว่าของที่ได้มานี้แทบไม่อาจนับได้ว่ามีค่า เพราะกว่าจะปรุงยาขึ้นมาได้ เขาต้องจ่ายเพื่อซื้อสมุนไพรวิญญาณไปมากมาย ขนาดที่ว่าสามารถซื้อยานี้ได้หลายสิบขวดเลยด้วยซ้ำ
เพียงแต่ยามได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ เขาก็ยังตื่นเต้นพอจะมองพวกมันเป็นดังสมบัติล้ำค่า
เพราะมันถือเป็นยาที่เขาปรุงขึ้นด้วยตนเองและสำเร็จเป็นครั้งแรก!
“ในเมื่อสามารถปรุงยาขั้นต้นระดับหนึ่งได้สำเร็จ โดยทฤษฎีก็ถือว่าเราเป็นนักปรุงยาขั้นต้นระดับหนึ่งแล้ว”
การได้กลายเป็นนักปรุงยาจะยิ่งทำให้เรื่องราวง่ายดายมากขึ้น เพราะเขาอาจไม่จำเป็นต้องขอร้องให้ผู้อื่นมาช่วยปรุงยา!
จี้เตี๋ยไม่คิดตื่นเต้นยินดีอยู่นาน เขาวางแผนฝึกฝนซ้ำอีกหลายครั้งเพื่อปรุงยาขั้นกลาง
เพียงแค่ชั่วพริบตา เหมันตฤดูก็เคลื่อนผ่านพ้น ปีใหม่มาเยือน การลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันของฝั่งใต้ก็จบลงด้วยเช่นกัน
และการแข่งขันได้เริ่มต้นขึ้น
ไม่ช้า นามของผู้ชนะจึงแพร่กระจายไปทั่วทั้งฝั่งใต้
ยอดเขาสรรพสัตว์ เจียงโม่หลี!
นางคือผู้ทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด การจะคว้าชัยชนะมาได้นั้นถือว่าไม่ได้ทำให้ผู้คนประหลาดใจสักเท่าไหร่
“ศิษย์พี่หญิงเจียงชนะเลิศ… ทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดแล้วจริงด้วย…” ระหว่างทางกลับจากศาลาปราณสมบัติที่แวะไปซื้อสมุนไพรวิญญาณมา จี้เตี๋ยได้ยินผู้คนพูดกล่าวถึงเรื่องนี้กันทั่ว
เพียงแต่เขาไม่ได้ประหลาดใจสักเท่าไหร่
เพราะเมื่อวันนั้นที่ถูกนางเล่นงาน เขาก็สงสัยแล้วว่านางจะบรรลุขั้นที่เจ็ด
เรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็เป็นเพียงแค่การยืนยันข้อสันนิษฐานของเขาในวันนั้น
เจียงโม่หลีทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดแล้ว
“แต่ในเมื่อนางทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดแล้ว ยาบ่มเพาะรากฐานก็คงแทบไม่ได้เป็นประโยชน์อะไร ชักสงสัยแล้วสิว่าที่นางอยากเข้าร่วมการแข่งขัน ก็เพราะอยากกู้ชื่อให้ตนเองหรือเปล่า?”
จิตใจของสตรีเปรียบดังเข็มในมหาสมุทร จี้เตี๋ยย่อมไม่อาจคาดเดาความคิดของเจียงโม่หลีได้
อีกหนึ่งเดือนอันเงียบสงบได้ผันผ่าน ระหว่างช่วงเวลานี้เจียงโม่หลีได้ออกเดินทางไปยังฝั่งเหนือ และก่อนจะไปยังแวะมาพาเจ้างูดำร่วมทางไปด้วย
เรื่องราวเป็นเหตุให้จี้เตี๋ยรู้สึกโหวงในใจอยู่พอสมควร เพียงแต่เขาไม่อาจทราบว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่
อาจเป็นเพราะนับตั้งแต่มาเยือนสำนักเจ็ดลึกล้ำ เจียงโม่หลีเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เขารู้จักและใกล้ชิดด้วย
ในเมื่อปัจจุบันนางไปอยู่ทางฝั่งเหนือ โอกาสได้พบเจอกันในภายหน้าคงมีแต่จะลดน้อยลง… หรือบางทีชั่วชีวิตนี้อาจไม่ได้พบเจอกันอีกแล้ว…
“ไม่สิ ตราบเท่าที่อนาคตเราไปเยือนฝั่งเหนือ ถึงตอนนั้นก็มีโอกาสได้พบนางอีกครั้งหนึ่ง” จี้เตี๋ยตัดความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวและผิดหวังในใจทิ้งได้อย่างรวดเร็ว
การฝึกฝนยังคงดำเนินต่อไป
การกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดไม่ใช่อะไรที่สามารถบรรลุในเวลาอันสั้น จี้เตี๋ยจึงเริ่มหาวัตถุดิบสำหรับใช้ปรุงยาทุ่งสมุทรพลางศึกษาวิธีการปรุงยา
นับตั้งแต่ปรุงยาขั้นต้นระดับหนึ่งได้สำเร็จ เขาต้องล้มลุกคลุกคลานผ่านความล้มเหลวอีกหลายครั้งกว่าจะปรุงยาชุดที่สองออกมาได้
มันถึงขั้นทำให้เขาต้องบ่นอุบ พร้อมกับมองว่าไม่น่าแปลกใจที่มีนักปรุงยาเพียงแค่น้อยนิด
กว่าจะเรียนรู้ไขว่คว้าวิธีการมาได้ก็แทบจะต้องเผาทรัพย์สินเล่น คนทั่วไปคงไม่มีทางยอมเลือกเดินเส้นทางนี้
โชคดีที่เขามีหม้อทองแดง มันสามารถใช้ยกระดับเกิดเป็นผลยกวิญญาณเพื่อนำออกไปขายในราคาสูงได้ อย่างน้อยก็ถือว่ามีผลยกวิญญาณให้ใช้ไม่มีวันหมด ดังนั้นจึงแทบไม่ได้ขาดแคลนศิลาวิญญาณ
เพียงแค่ชั่วพริบตา อีกหนึ่งเดือนได้ผ่านพ้น อัตราการปรุงยาสำเร็จของจี้เตี๋ยก้าวมาถึงแปดในสิบจะสำเร็จหากไม่มีอะไรเกินคาดคิดเกิดขึ้น ตอนนี้ถือได้ว่าเขาเป็นนักปรุงยาขั้นต้นระดับหนึ่งได้ค่อนข้างมั่นคงแล้ว
จี้เตี๋ยลอบแวะเวียนไปยอดเขาโอสถหลายครั้ง เพื่อทำการขายยาที่ปรุงขึ้นมาด้วยตนเอง รวมถึงซื้อดอกยี่หุบม่วงมาเพื่อใช้หม้อทองแดงยกระดับ
เหตุผลที่เขาไม่ขายผลยกวิญญาณต่อ ก็เป็นเพราะช่วงที่ผ่านมาเขาขายผลยกวิญญาณมากจนเกินไป มันถึงขนาดเริ่มส่งผลกระทบกับยอดเขาโอสถแล้ว และเพื่อหลีกเลี่ยงคนที่หูตาว่องไวพบเห็น จี้เตี๋ยจึงต้องใช้ยาจำแลงกายทุกครั้งก่อนจะนำของไปขาย
มันคือยาที่มีประโยชน์ เพราะภายหลังทานเข้าไปแล้วจะแปรเปลี่ยนรูปโฉมของตนเองตามใจนึก และคงสภาพอยู่ได้ถึงครึ่งชั่วโมง
เว้นแต่จะมีขอบเขตการฝึกตนสูงส่งกว่าล้นพ้น ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครพบเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของเขา
โชคร้ายก็ตรงที่ราคาของมันไม่ใช่ถูก คิดซื้อเม็ดหนึ่งจากศาลาปราณสมบัติก็ต้องจ่ายด้วยยี่สิบศิลาวิญญาณ
เพียงแต่จี้เตี๋ยทราบความสำคัญของมัน อะไรที่จำเป็นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องใช้
ภายหลังขายสมุนไพรวิญญาณ จี้เตี๋ยจึงได้รับศิลาวิญญาณมากว่าสองร้อยก้อน ภายหลังจึงไปตระเวนซื้อวัตถุดิบปรุงยาทุ่งสมุทรและยาจำแลงกาย สุดท้ายจึงเตรียมเดินทางกลับไปปรุงยาขั้นกลางระดับที่หนึ่ง
เดิมเขาคิดอยากซื้อวัตถุดิบปรุงยาเสริมวิญญาณ เพราะอย่างไรแล้วมันก็เป็นยาที่สามารถเสริมพลังจิตวิญญาณแก่ผู้ใช้งาน แต่บางทีก็คงเพราะเหตุผลนี้จึงทำให้เขาไม่อาจซื้อหา
เพราะมันต้องการวัตถุดิบสองชนิดที่เหมือนกับการปรุงยาย้อนฝัน
ดังนั้นแม้จี้เตี๋ยจะรู้สึกเสียดาย เขาก็ยังปล่อยใจให้เป็นกลางขณะกลับยอดเขาสรรพสัตว์ไปดำเนินตามเส้นทางเดิม
และช่วงสองเดือนที่พ้นมานี้ เขาแทบไม่เคยได้เจอซูลั่วอีกเลย
เด็กสาวร่างเล็กที่ดูน่ารักน่าชัง ปัจจุบันสวมใส่ชุดศิษย์สำนักสีเขียวพร้อมสายคาดเอวที่ทำให้นางดูมีหน้าอกนูนขึ้นมาเล็กน้อย ปัจจุบันราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างขณะเดินลงจากภูเขา
ตอนนี้สรรพคุณของยาจำแลงกายยังไม่หมดไป จี้เตี๋ยเองก็เตรียมกลับไปปรุงยาขั้นกลางระดับหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ได้ทักทายอะไรนาง
เพียงแต่พอเดินผ่านเด็กสาว เขากลับได้ยินเสียงฮึมฮัมดังขึ้น
“จี้เตี๋ย เจ้าคนลักซ่อน เหตุใดต้องปลอมตัว!”
“ศิษย์พี่หญิงกล่าวกับข้าหรือขอรับ?!” จี้เตี๋ยรู้สึกผิดอยู่พอประมาณ เพราะเขาได้ทดสอบสรรพคุณของยาจำแลงแล้ว ว่าแม้แต่ผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่หกก็ไม่น่าจะทราบตัวตนที่แท้จริงของเขาได้
เขาจึงไม่มั่นใจว่าซูลั่วใช่รู้เห็นว่าเป็นตนเองจริงหรือไม่
“เหอะ! ยังแกล้งทำเป็นเสแสร้งหรือ! ข้าได้สัมผัสได้ถึงลมปราณของเจ้า ดังนั้นการปลอมตัวนี้จึงไร้ค่ายามอยู่ต่อหน้าข้า!” เด็กสาวยืนกอดอกขณะมองตอบกลับมา
“ศิษย์พี่หญิงซูน่าทึ่งเกินไปแล้วขอรับ ถึงขั้นมองออกด้วย ขออภัยให้แก่ข้าในประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีศัตรูมากมายจึงกลัวจะถูกทำร้ายเอาได้ขอรับ” พบเห็นว่าไม่อาจปิดซ่อน เขาจึงยอมรับออกมาตามตรง
ซูลั่วแค่นเสียงตอบรับ กระทั่งเมินเฉยคำกล่าวของจี้เตี๋ยและเอ่ยถาม “การปรุงยาของเจ้าเป็นอย่างไร ยังคิดสอบถามให้ข้าช่วยชี้แนะอยู่หรือไม่?”
“ไม่รบกวนศิษย์พี่หญิงซูขอรับ ข้าทำด้วยตนเองได้แล้วขอรับ” จี้เตี๋ยปฏิเสธอย่างสุภาพ เพราะเขาได้ข้ามผ่านธรณีประตูบานแรกมาเรียบร้อยแล้ว
ขอเพียงพยายามด้วยตนเองต่อไปได้ เขาก็ไม่คิดรบกวนผู้อื่น
“ศิษย์พี่หญิงซู หากว่าไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวก่อนจะได้หรือไม่ขอรับ?”
“เจ้า!!” พบเห็นอีกฝ่ายคิดเร่งร้อนกลับ หน้าอกของซูลั่วจึงหอบหายใจรุนแรงขึ้นมา
“ฮึ! หากเจ้าไม่ต้องการคำชี้แนะ เช่นนั้นข้าก็ไม่ชี้แนะ ข้าไม่ได้สนใจเลยสักนิด แล้วจะรอดูว่าเจ้าจะเป็นนักปรุงยาเมื่อใด!”
‘ข้าเป็นนักปรุงยาแล้วขอรับ…’ จี้เตี๋ยอยากตอบออกไป แต่พอเห็นนางโกรธจึงเลือกเงียบ
“ไว้พบกันใหม่ขอรับ…”
ในโลกใบนี้ หากคิดอยากจะหักหน้าใครก็ต้องดูจังหวะเวลาอันเหมาะสมด้วย
จี้เตี๋ยปฏิเสธคำชี้แนะจากซูลั่วและเดินทางกลับไปปรุงยาขั้นกลางระดับหนึ่งของตนเอง เพียงแต่วัตถุดิบทั้งสามชุดที่ซื้อหามาล้วนเสียของ…
เด็กหนุ่มที่อายุสิบห้าปีกำลังเกาแก้มตนเองพลางลังเล ว่าแท้จริงควรไปขอคำชี้แนะจากซูลั่วดีหรือไม่
เพียงแต่ก่อนหน้านี้เพิ่งปฏิเสธ หากตอนนี้ไปขอคำชี้แนะเหมือนจะน่าอับอายจนเกินไป
ทว่าภายหลังจากนั้น ที่ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง…
“เหอะ! ไม่ใช่เจ้ามีความสามารถหรอกหรือ ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการคำชี้แนะจากข้าหรอกหรือ?” ซูลั่วกำลังจ้องมองมาด้วยสายตาเย็นเยือก
“ศิษย์พี่หญิงซูระงับอารมณ์ก่อนขอรับ”
จี้เตี๋ยไม่คิดให้ค่าความหน้าหนาหรือบางของตนเองอยู่แล้ว
ของจับต้องไม่ได้เช่นนั้น จะเทียบเท่าผลประโยชน์ที่แท้จริงได้เช่นไร?
“ข้ายอมรับแล้วขอรับ ก่อนหน้านี้ข้าประเมินตนเองสูงเกินไป! ขอศิษย์พี่หญิงซูให้โอกาสข้าอีกครั้งด้วยขอรับ!” จี้เตี๋ยกล่าวบอกพร้อมแสดงท่าทีจริงใจ
กลับกัน เขาพร้อมจะขุดหลุมทำให้ตนเองดูต่ำเตี้ยลงด้วยซ้ำ
“ชิ! วันนี้ข้าเพิ่งได้ทราบว่ามนุษย์ผู้หนึ่งจะสามารถมีหนังหน้าที่หนาถึงขั้นนี้ได้”