ตอนที่ 44 นักปรุงยาระดับหนึ่ง
ตอนที่ 44 นักปรุงยาระดับหนึ่ง
“ก็ตามนี้ มีข้อทักท้วงใดหรือไม่?” ชายชราหันมองทางเยี่ยซือ แม้เหมือนสอบถาม แต่สายตาบ่งบอกว่าย้ำเตือน
“ศิษย์ไม่มีขอรับ!” เยี่ยซือก้มศีรษะลงเพราะไม่กล้าโต้แย้ง
“ถ้าเช่นนั้นก็จบเรื่องราวแค่เท่านี้ หากอยากจะไปส่งพวกมันออกนอกสำนักก็ตามใจ” ภายหลังชายชราย้ำเตือนแล้ว เขาจึงหันไปยิ้มแย้มให้กับซูลั่ว
“ทะลวงการกลั่นลมปราณขั้นที่หกแล้วหรือนี่ วิเศษยิ่งนัก สำนักเจ็ดลึกล้ำในวันหนึ่งคงได้มีนักปรุงยาระดับสองเพิ่มอีกคนหนึ่ง”
เด็กสาวมีพรสวรรค์ในด้านการปรุงยาอย่างเลิศล้ำ แม้กระทั่งจ้าวสำนักก็ยังโปรดปรานจนเรียกขานนางเป็นสมบัติแห่งสำนักเจ็ดลึกล้ำ
“ระดับสอง…” มุมปากของเด็กสาวยกยิ้ม
ตอนนี้เองที่สายตาของชายชราหันมองไปทางจี้เตี๋ยอีกครั้ง สุดท้ายจึงเผยยิ้มให้และเอ่ยคำอย่างเป็นมิตร
“เมื่อครู่นี้ข้าเข้าใจเจ้าผิดไป หวังว่าจะให้อภัย”
“หามิได้ขอรับ” จี้เตี๋ยโค้งศีรษะให้
ชายชราย่อมได้ยินความไม่พอใจที่ซุกซ่อนในน้ำเสียง เพียงแต่เขาแค่ยิ้มและมองข้าม
อย่างไรแล้วมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้
“ต้องขออภัยที่รบกวนพี่เจิ้งแล้ว ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ข้าก็ขอตัวก่อน”
“ขอรับ” เจิ้งอี้หันมองจี้เตี๋ยด้วยความเฉยชา และเวลานี้เขาเองก็ไม่กล้าอยู่ต่อนาน แต่เลือกที่จะบินขึ้นฟ้าและออกจากพื้นที่โรงนาเช่นกัน
“เมื่อใดเราจะบินได้เช่นนั้นกันนะ” จี้เตี๋ยมองตามและครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาเองก็ไม่นึกว่าจะจบง่ายดายเช่นนี้
ถัดจากนี้เขาน่าจะได้มุ่งเน้นกับการฝึกตนให้ก้าวหน้า เพราะหากว่ายังอ่อนแอ สถานการณ์เช่นเดียวกันนี้อาจเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสทั้งสองต่างก็มีอาวุธวิเศษบินได้ที่สำนักมอบให้ หากว่าเจ้ามีก็สามารถบินได้เช่นเดียวกัน” ซูลั่วเดินเข้ามาใกล้ และเพราะได้ยินนางจึงเอ่ยตอบด้วยเสียงเบา
“อาวุธวิเศษหรือ…” จี้เตี๋ยละสายตากลับมาก่อนจะโค้งกายให้แก่นาง
“ขอบคุณศิษย์พี่หญิงซูลั่วที่ช่วยพูดผดุงธรรมให้ขอรับ! หากไม่แล้วข้าอาจถูกทำลายการฝึกตนก็เป็นได้”
เพียงแต่ซูลั่วไม่ได้รู้สึกอยากจะยอมรับความจริงว่าให้ความช่วยเหลือ “เหอะ ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า เพียงแค่เพราะทนมองพวกมันไม่ไหว”
“ใช่ขอรับ เป็นตามนั้นขอรับ” จี้เตี๋ยเผยยิ้มขื่นขม แต่ก็ได้เห็นเช่นกันว่าเจียงโม่หลีที่อยู่ใกล้เคียงกำลังย่างเท้าก้าวออกไป
เมื่อครู่นี้อีกฝ่ายก็ช่วยพูดแทนให้ จี้เตี๋ยจึงมองแผ่นหลังของนางพร้อมเอ่ยบอกด้วยความซาบซึ้ง
“ศิษย์พี่หญิงเจียง ขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อ…”
เพียงแต่หญิงสาวไม่ได้หันมองกลับมา กระทั่งว่าไม่ส่งเสียงตอบรับ นางเพียงแค่เดินหายไปจากระยะสายตา
“เฮ้อ…” ใบหน้าอันงดงามของซูลั่วกลับกลายเป็นซีดเซียว “ศิษย์พี่หญิงเจียงน่าจะทราบว่าเมื่อครู่นี้ข้าผิดคำกล่าวที่เคยรับปากเอาไว้”
เพราะเมื่อครู่นางเพิ่งกล่าวด้วยตนเองว่าอยู่กับจี้เตี๋ย ดังนั้นเจียงโม่หลีจึงทราบว่านางไม่รักษาสัญญา
“ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า!” ซูลั่วกัดฟันก่อนจะเตะก้นเด็กหนุ่ม
“แล้วนี่ข้าจะไปอธิบายกับศิษย์พี่หญิงโม่หลีอย่างไรดีเล่า!”
“ศิษย์พี่หญิงโม่หลี…”
เจียงโม่หลีเดินออกจากพื้นที่โรงนาเพียงลำพัง จนกระทั่งเดินกลับไปถึงถ้ำ ตอนนี้เองที่พบว่ามีเด็กสาวไล่ตามมา
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ… อันที่จริงวันนั้นที่ท่านมารับยาข้าโกหกท่านไป ข้าทราบที่อยู่ของชายคนนั้นแล้วแต่ไม่ได้บอกให้ท่านทราบ…” เด็กสาวก้มศีรษะลงเป็นการบ่งบอกว่าสำนึกผิด
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้กล่าวโทษเจ้า” เจียงโม่หลีหยุดเดินก่อนจะหันมาลูบศีรษะด้วยความเวทนา
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ตอนนี้เองที่เด็กสาวผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก
“ศิษย์พี่หญิงโม่หลียังโกรธเขาอยู่หรือเจ้าคะ?” ตอนนี้เองที่สายตาของซูลั่วแปรเปลี่ยนเป็นเหยี่ยวข่าวสาว
“โกรธหรือ?” เจียงโม่หลีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสับสน นางมองยังใบก่วมแดงที่อยู่ไกลห่างถูกสายลมพัดพาจนร่วงหล่น สุดท้ายจึงจับหูของตนเอง
“ทำเจ้าหัวเราะแล้วสิ!”
สารทฤดูเยือนย่ำ ช่วงเวลาที่ผ่านมาสำนักเจ็ดลึกล้ำไม่เคยสงบสุข การลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันของฝั่งใต้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ปัจจุบันเหลือเวลาอีกเพียงสามวัน
การลงทะเบียนจะสิ้นสุดลงในอีกสามวัน และการแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น ช่วงเหมันตฤดูนางคงได้เข้าร่วมกับฝั่งเหนือเพื่อฝึกตน รวมถึงได้รับยาบ่มเพาะต้นกำเนิดเป็นรางวัล
ดังนั้นหัวข้อที่บรรดาศิษย์ส่วนใหญ่ของฝั่งใต้พูดคุย คือเรื่องที่ว่าใครจะคว้าชัยชนะไปครอง
และในบรรดาพวกเขา มีการแบ่งกลุ่มคนที่สนับสนุนออกเป็นสองฝ่าย
หนึ่งคือเยี่ยซือจากยอดเขาโอสถ คือผู้ทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่หกมาได้หลายปีแล้ว
และเจียงโม่หลีจากยอดเขาสรรพสัตว์ ที่เสมอทัดเทียมและสูสีกันมาโดยตลอด…
และสำหรับผู้ที่การฝึกฝนต่ำกว่าการกลั่นลมปราณขั้นที่หก ส่วนใหญ่ก็เพียงแค่เข้าร่วมเพราะนึกสนุก
ส่วนจี้เตี๋ยนั้นไม่ได้นึกสนุกจึงไม่ได้เข้าร่วมแต่อย่างใด
ปัจจุบันที่ทะเลแห่งจิตสำนึกเบิกออก เขาจึงขุดถ้ำใกล้เคียงพื้นที่โรงนาเพื่อฝึกฝน รวมถึงศึกษาเรื่องการปรุงยา เพราะคิดอยากลองว่ามันจะยากสมค่ำเล่าลือหรือไม่
เพียงแค่สองวันผ่านพ้น วัตถุดิบปรุงยามากมายกลับกลายเป็นเสียเปล่า ทุกครั้งที่เขาพยายามปรุงยา จะพบว่ามันล้มเหลวโดยไม่มีข้อยกเว้น
เหตุผลที่ผิดพลาดและล้มเหลว มันอยู่ที่กระบวนการคัดแยกความไม่บริสุทธิ์ออกจากสมุนไพรวิญญาณ หรือไม่ก็อุณหภูมิของอัคคีเพลิงในระหว่างปรุงยาสูงเกินไป ทั้งหมดจึงนำไปสู่ความล้มเหลว
มีแต่ต้องฝึกฝนให้มากขึ้นจึงเกิดเป็นความเชี่ยวชาญ
หนึ่งวันก่อนสิ้นสุดการลงทะเบียน จี้เตี๋ยแวะไปล้างหน้าบริเวณธารน้ำ แต่เรื่องราวผิดคาดได้เกิดขึ้น เพราะเขาบังเอิญได้พบซูลั่วเข้าอีกครั้ง
ผมสีดำของเด็กสาวถูกมัดรวบไปทางด้านหลัง นางกำลังเดินทวนกระแสน้ำขึ้นไป แต่ด้วยร่างกายที่ค่อนข้างเล็กจึงทำให้ดูเป็นประหนึ่งภูตริมน้ำ
“ท่านเองก็เป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่หก ไม่คิดเข้าร่วมการแข่งขันของฝั่งใต้หรือขอรับ?” จี้เตี๋ยหันมองนางด้วยความสงสัย เพราะเขาไม่เคยได้ยินว่านางมีความคิดเข้าร่วม
“ข้าไม่เข้าร่วม สู้ไปจะได้อะไรขึ้นมา? รู้ว่าไม่ชนะข้าก็ไม่ไปให้เสียเวลาอยู่แล้ว” เด็กสาวเดินเข้ามาหาพร้อมเบะปากตอบคำกลับ
“แล้วเจ้าคิดเข้าร่วมหรือ?”
“ไม่เลยขอรับ ข้าคงไม่ไปแส่หาความอับอายสู่ตนเอง” จี้เตี๋ยส่ายศีรษะ และเขาไม่คิดว่าการยอมรับเช่นนี้จะเป็นเรื่องน่าอับอายแต่อย่างใด
“ก็ถือว่าดีแล้ว เพราะหากเจ้าลงทะเบียน คงได้พบเยี่ยซือในการแข่งขัน ด้วยความแค้นระหว่างพวกเจ้า เขาคงหาโอกาสลงมือระบายแค้นในการแข่งขันแน่” เด็กสาวนั่งและเอนกายลงที่ข้างเคียง สุดท้ายจึงใช้สองมือไพร่ศีรษะพลางเงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้าสีคราม
“ขอรับ”
สายน้ำยังคงไหลริน เด็กหนุ่มและเด็กสาวที่พบกัน สนทนากัน ปัจจุบันกลายเป็นความเงียบ ทั้งสองเพียงแค่มองหมู่เมฆสีขาวบนฟากฟ้าที่ขยับแปรเปลี่ยนไปมา
“ศิษย์พี่หญิงซู…” จี้เตี๋ยหันมองความงามของเด็กสาวจนสุดท้ายชะงักและเหม่อไปเอง กระทั่งว่าใจที่ควรสงบกลับปรากฏคลื่นวงน้ำกระเพื่อม
เด็กสาวเอียงศีรษะมองมา จี้เตี๋ยรวบรวมความกล้าและถามออก “ขอข้าสอบถามเรื่องประสบการณ์การปรุงยาได้หรือไม่ขอรับ”
“เจ้าอยากปรุงยาหรือ?” เด็กสาวมองตอบกลับมาด้วยความประหลาดใจ
จี้เตี๋ยก้มศีรษะตอบรับ เพียงแต่เด็กสาวหันหน้ามองมาก่อนจะตอบคำ “ฮึ คิดให้ข้าสอนงั้นหรือ?! คิดว่าเจ้าเป็นใคร!”
“ไม่เป็นไรขอรับ” จี้เตี๋ยไม่คิดบังคับฝืนใจ และคิดที่จะศึกษาด้วยตนเองต่อ
ช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาแอบแวะเวียนไปยอดเขาโอสถเพื่อขายผลยกวิญญาณและแลกเปลี่ยนเป็นสมุนไพรวิญญาณมามากมาย เขาไม่เชื่อว่าหากผู้อื่นทำได้ แล้วตนเองจะเป็นนักปรุงยาไม่ได้!
“ท่าทีเช่นนี้คืออะไร? ฮึ!” เด็กสาวราวกับโกรธเกรี้ยวโดยไม่มีเหตุผล สุดท้ายจึงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
วันเวลาผ่านพ้นไปอย่างเงียบสงบ ช่วงเวลาแห่งการแข่งขันของฝั่งใต้เริ่มใกล้เข้ามา เพียงแต่เรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับจี้เตี๋ย
อัคคีภายในถ้ำลุกโชติช่วง หม้อปรุงยาสีดำใบหนึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศ
จี้เตี๋ยหลับตาลงและนั่งขัดสมาธิตรงหน้าหม้อ ขณะได้กลิ่นหอมฟุ้งจากตัวหม้อ ท่าทีของเด็กหนุ่มเริ่มดูตื่นเต้นยินดีขึ้นมา
ภายในหม้อสีดำเวลานี้ ความไม่บริสุทธิ์ของสมุนไพรวิญญาณเริ่มเผยให้เห็น และด้วยอุณหภูมิที่สูง เขาจึงเริ่มควบคุมพลังจิตให้ทำการคัดแยกพวกมันออกมา ระหว่างกระบวนการทั้งหมดนี้ จี้เตี๋ยกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างตั้งอกตั้งใจ
ไม่เพียงแค่ตั้งใจประคองสมดุลและควบคุมอุณหภูมิของเปลวเพลิง แต่ยังใช้พลังจิตเพื่อตระหนักรู้และสำรวจการเคลื่อนไหวภายในหม้อปรุงยา
จนกระทั่งความไม่บริสุทธิ์ทั้งหมดของตัวยาถูกคัดแยกออกมา จี้เตี๋ยถึงได้ผ่อนคลาย ถัดจากนั้นเขาจึงเริ่มกระบวนการควบแน่นของตัวยาตามที่บันทึกเอาไว้ในบันทึกนักปรุงยา โดยการใช้พลังวิญญาณบีบอัดของเหลวรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง
เพียงไม่นาน เม็ดยาทรงกลมทั้งสี่จึงปรากฏขึ้นที่ภายในหม้อสีดำ!
สำเร็จแล้ว!
อัคคีเพลิงโชติช่วงมอดดับ หม้อสีดำร่วงหล่นลงพื้นจากกลางอากาศพร้อมส่งเสียงดังก้อง
ไม่ช้าฝากหม้อจึงลอยขึ้นด้วยตัวมันเองและร่วงหล่นลงที่ด้านข้าง
และตอนนี้เองที่ยาสีดำทั้งสี่เม็ดลอยล่องออกมาจากหม้อปรุงยา!