ตอนที่แล้วบทที่ 183 อย่าได้ไว้ไมตรี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 185 คำนับสามครั้งแล้วเรียกข้าอาจารย์

บทที่ 184 แค่ไก่แลสุนัขในสายตาข้าเท่านั้น


เลี่ยวคุนพุ่งปราดเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนด้วยหมัด ท่วงท่ารวดเร็วประหนึ่งมังกรผยองตนกำลังแหวกว่ายท่ามกลางอากาศ

จางจิงหรงและอีกสามคนใช้กระบี่

ทักษะของเพลงกระบี่พวกเขา เสมือนกับสายฝน สายลม สายฟ้า และแสงแดด ที่โถมเข้าใส่หยางเสี่ยวเทียนพร้อมกันไม่ต่างจากอากาศทั้งสี่ฤดู

คนทั้งสี่มีเพลงกระบี่แลความเทียมทานที่แตกต่างกัน ครั้นได้ร่วมกันต่อสู้ด้วยช่ำชองชำนาญอยู่เป็นนิจ พละกำลังจึงผสานกันได้อย่างลงตัวแลแข็งแกร่งกว่าเดิมมหาศาล

ระหว่างหยางเสี่ยวเทียนต้องเผชิญการโจมตีของเลี่ยวคุนและกลุ่มจางจิงหรงอีกสาม เขาไม่จำเป็นต้องชักกระบี่ออกมาด้วยซ้ำ นอกจากเอนกายเบี่ยงตัวหลบแกว่งไปมาประดุจต้นหลิวที่กิ่งพัดสะบัดตามแรงลม แต่เลี่ยวคุนผู้ว่องไวก็ยังถูกชกเข้าข้างลำตัวถึงสองหน

ครั้นเขากระโดดปราดขึ้นสูง จางจิงหรงและอีกสามคนก็พุ่งตามปิดล้อมรอบด้าน ก่อนโจมเข้าหาจากทั้งสี่ทิศพร้อมกระบี่ยาวในมือ ขณะแทงทะลวงหยางเสี่ยวเทียนผู้อยู่เบื้องหน้าตน ด้วยหมายปิดกั้นการหลบหนีแลเอาชนะในเวลาเดียวกัน

ทว่าหยางเสี่ยวเทียนผู้เห็นพวกเขาพุ่งเข้ามาจู่โจมพร้อมกันอย่างกะทันหัน ก็พลันพลิกตัวม้วนหลบปลายกระบี่ยาวจากจางจิงหรงและคนอื่นๆ

เมื่อท่วงท่าการเคลื่อนไหวของคนทั้งสี่รวมจางจิงหรงโจมตีเข้าหา เกิดเป็นภาพแสดงทักษะให้หยางเสี่ยวเทียนได้จดจำกระทั่งล่วงรู้ถึงจุดอ่อน

หลังหลบกระบี่ยาวของจางจิงหรงและคนอื่นๆ หยางเสี่ยวเทียนจึงพร้อมชักกระบี่ตนออกมาร่ายรำขณะฟาดฟันปราณกระบี่ พุ่งโจมตีเข้าหาทั้งห้าคนในเวลาเดียวกันอย่างคล่องแคล่ว

หกร่างที่อยู่บนลานฝึกยุทธ์ยามนี้ ต่างพุ่งทะยานเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ พวกเขาได้ประมือกันไปมากกว่าสิบกระบวนท่าแล้ว

ซึ่งในการเคลื่อนไหวแต่ละครา หยางเสี่ยวเทียนได้ออกกระบวนท่าที่แตกต่างกันสำหรับการโจมตี บางครั้งก็เพลงหมัดมังกรโลหิตหรือฝ่ามือเยือกแข็งนิลกาฬ ไม่ก็เพลงกระบี่หลิงเสอและเพลงกระบี่โลกธาตุจากศิลากระบี่นับร้อย

เลี่ยวคุนและจางจิงหรงทั้งคู่ต่างอยู่ในขั้นราชันยุทธ์ แม้พวกเขาจะทุ่มกำลังโจมตีสุดความสามารถ แต่หยางเสี่ยวเทียนก็หลบหลีกได้อย่างง่ายดาย

การโจมตีแบบสุ่มของหยางเสี่ยวเทียน บังคับให้คนทั้งห้าต้องล่าถอยอย่างจำทน

ไม่นานจากนั้น ทั้งห้าก็ถูกหยางเสี่ยวเทียนไล่ต้อนกระทั่งจนมุม พร้อมเหนื่อยหอบด้วยเริ่มหมดแรง

เลี่ยวคุนและจางจิงหรง ต่างเค้นพลังของพวกตนออกมาเรื่อยๆ ขณะสีหน้าพลันบ่งบอกกถึงความเคร่งเครียดในระหว่างเข้าปะทะกับหยางเสี่ยวเทียน

ส่วนทางฝั่งของหยางเสี่ยวเทียน ยังดูผ่อนคลายราวกับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างไร เขายังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องมิมีหยุดหย่อน

หลังประมือกันไปนับร้อยกระบวนท่า ที่สุด เลี่ยวคุนและจางจิงหรงก็พ่ายแพ้ให้แก่หยางเสี่ยวเทียนอย่างช่วยไม่ได้

ระหว่างที่ หยางเสี่ยวเทียนกำลังฝึกฝีมือกับเลี่ยวคุนและจางจิงหรงอยู่นั้น อีกด้านหนึ่ง เฉิงหลงผู้กำลังยืนนิ่งก้มหน้าด้วยท่าทางพินอบพิเทาต่อหน้าชายวัยกลางคนในจวนอันกว้างใหญ่โอ่อ่าแห่งหนึ่ง ณ เมืองเสินเจี้ยน

ชายวัยกลางคนไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอาจารย์ของเขา เจียงอวี๋

เจียงอวี๋ เป็นหนึ่งในนักปรุงโอสถผู้เป็นตำนานของจักรวรรดิเทียนโต้ว

แน่นอนว่าเขายังเป็นบุคคลผู้มีอำนาจมิต่างจากเจ้าเหนือหัวแห่งจักรวรรดิเทียนโต้ว ที่แม้แต่คนในราชวงศ์ก็ต้องก้มหัวนับถืออย่างผู้ทรงเกียรติอันสูงศักดิ์อีกด้วย

“หืม หยางเสี่ยวเทียนผู้นี้ รู้ทักษะการหลอมโอสถสิบอันดับชั้นสูงกระนั้นหรือ” เจียงอวี๋กล่าวอย่างเนิบนาบ

เดิมที เจียงอวี๋คิดว่าศิษย์ของตนเฉิงหลงจะชนะเป็นอันดับหนึ่งในการแข่งขันนักปรุงโอสถระดับหนึ่งดาวแห่งอาณาจักรเสินไห่อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่คิดว่าหลังมาถึงเมืองเสินเจี้ยนในวันนี้ จะได้ยินศิษย์ของตนกล่าวถึงผู้ที่ชนะเป็นอันดับหนึ่งในการแข่งขันหลอมโอสถ คือหยางเสี่ยวเทียนแห่งสำนักเสินเจี้ยน

ยิ่งไปกว่านั้น หยางเสี่ยวเทียนผู้นี้ ยังเป็นผู้ครอบครองทักษะการหลอมโอสถสิบอันดับชั้นสูงอีกต่างหาก

เฉิงหลงกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ทักษะวายุคลั่งมันราวกับมีเวทมนต์ ทันทีที่หยางเสี่ยวเทียนใช้มัน สมุนไพรทั้งหลายก็ลอยขึ้นไปในใจกลางของพายุ แล้วกระจายกันออกเป็นชั้น แยกตามลำดับสีเข้มอ่อนของสมุนไพรได้อย่างชัดเจน”

“จากนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็เพียงสะบัดนิ้ว เพื่อเลือกสมุนไพรทั้งสิบสี่ชนิดสำหรับหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณ ตั้งแต่ต้นจนจบเขาใช้เวลาไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น”

ขณะกล่าวถึงสิ่งนี้ เขาก็พลางเหลือบมองท่าทีเจียงอวี๋ผู้เป็นอาจารย์ ว่าจะแสดงอากัปกิริยาไปในทิศทางที่ตนต้องการหรือไม่

“ด้วยระดับการหลอมโอสถอันแก่กล้าของท่านอาจารย์ หากท่านได้ครอบครองทักษะวายุคลั่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบทักษะหลอมโอสถชั้นสูง ข้าเกรงว่าท่านต้องกลายเป็นนักปรุงโอสถอันดับหนึ่งของจักรวรรดิเทียนโต้วแน่นอน” เฉิงหลงยกยอ

“เมื่อถึงตอนนั้น ตำแหน่งเจ้าตำหนักโอสถของจักรวรรดิเทียนโต้ว มันจะเป็นของผู้ใดไปได้หากมิใช่ของท่านอาจารย์”

วาจาที่เฉิงหลงใช้เกลี้ยกล่อมนั้น ค่อนข้างน่าสนใจเป็นอย่างมาก หากผู้ใดหลงไหลในอำนาจ มาตรว่าต้องเชื่อฟังอย่างมิต้องสงสัย

ซึ่งมันก็เป็นไปตามคาดการณ์ ด้วยทันทีที่เจียงอวี๋ได้ยินดังนั้น ดวงตาเขาก็ลุกวาวราวกับไฟโหม เมื่อคิดว่ามีโอกาสเป็นเจ้าตำหนักโอสถ ก็พลันเกิดความโลภเผยออกมาในแววตา

ในฐานะนักปรุงโอสถแล้ว หากจะกล่าวว่าเขานั้นไม่สนใจทักษะการหลอมโอสถสิบอันดับชั้นสูงอย่างเช่นทักษะวายุคลั่ง มันคงเป็นเรื่องโกหกอย่างแน่นอน

“ตอนนี้ หยางเสี่ยวเทียนพักอยู่ที่ไหน ข้าจะไปเยี่ยมเยียนเขาเสียหน่อย” เจียงอวี๋ระงับความโลภในแววตา แล้วหันเปิดปากถามเฉิงหลง

เฉิงหลงลอบยิ้มอย่างสำราญ ด้วยรู้ว่าการเกลี้ยกล่อมของตนนั้นเป็นผล เขาจึงเอ่ยบอกอาจารย์ตนไปในทันที “จวนของหยางเสี่ยวเทียนอยู่ในเมืองเสินเจี้ยน ส่วนใหญ่เขาอาศัยอยู่ที่นั่น ซึ่งนานครั้งจะกลับสำนักเสินเจี้ยน”

จากนั้นเขาก็แหงนหน้ามองขึ้นบนท้องฟ้า คาดคะเนเวลาในยามนี้ “ในเวลานี้ ข้าคิดว่าเขาคงจะอยู่ที่จวน”

เฉิงหลงยืนขึ้นและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ เช่นนั้นก็ให้ข้านำทางท่านไปที่นั่นดีหรือไม่”

“ไม่จำเป็น” เจียงอวี๋โบกมือปัดพลางกล่าวว่า “เจ้าเพียงหาคนนำทางข้าไปที่นั่นก็พอ”

ครั้นเฉิงหลงได้ยินสิ่งนี้ จึงตะโกนเรียกองครักษ์ผู้หนึ่งเพื่อให้เขานำทางเจียงอวี๋ แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เขายังคงเป็นกังวลนัก จึงกล่าวทักท้วงอาจารย์ด้วยท่าทีห่วงใย

“อาจารย์ ข้าเกรงว่ารอบข้างของหยางเสี่ยวเทียนในยามนี้ อาจมีวิญญาจารย์ฝีมือสูงส่ง มิแน่ว่าเฉินฉางชิงและผู้อาวุโสอีกสี่คนก็อาจอยู่ที่นั่นด้วย ท่านต้องการให้ข้าระดมกำลังไปกับท่านเพิ่มหรือไม่”

เจียงอวี๋กล่าวด้วยสีหน้าไม่แยแสแม้แต่น้อย “แม้ผู้อาวุโสทั้งห้าของตำหนักกระบี่จะมีฝีมือล้ำเลิศ แต่ในสายตาข้า พวกเขาเป็นเพียงไก่และสุนัขเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องระดมกำลังให้เสียเวลา ข้าคนเดียวก็เพียงพอ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด