บทที่ 183 อย่าได้ไว้ไมตรี
สองวันต่อมา
ระหว่างวันหยางเสี่ยวเทียนก็ยังคงหมั่นฝึกฝนเพลงกระบี่ตงเทียน แต่มักจะเน้นไปที่การฝึกเพลงกระบี่นับร้อยเป็นหลักเสียมากกว่า
และมีบางครั้ง ที่ฝึกหลอมโอสถเพิ่มพูนทักษะให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมจากที่เป็นอยู่
ซึ่งระหว่างที่เขาหลอมโอสถ หยางเสี่ยวเทียนจะเรียกอูฉี หลิวอัน อัต อาลี่ หลัวชิง และคนอื่นๆ เฝ้าดูอยู่ข้างๆ อย่างใกล้ชิดเพื่อทำการชี้แนะไปพลาง
ในฐานะเจ้าสำนัก หลัวชิงนับว่ามีพรสวรรค์ทางด้านการหลอมโอสถที่ดี อีกทั้งเขายังครอบครองหนึ่งในไฟประหลาดเช่นเปลวไฟวายุนิลกาฬนั่น ซึ่งถือว่าช่วยได้เยอะมากทีเดียว
ทุกการเคลื่อนไหวของทักษะที่หยางเสี่ยวเทียนกำลังใช้หลอมโอสถ เขาจะอธิบายถึงประเด็นสำคัญในแต่ละทักษะให้แก่อูฉีและคนอื่นๆ ฟังควบคู่ไปกับการได้ดูท่วงท่าเหล่านั้น ประกอบความเข้าที่มากขึ้น
ตกตอนเย็น หยางเสี่ยวเทียนถึงกลับมาบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม
เขานั่งขัดสมาธิบนเตียงหยกเย็น พร้อมปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์เสวียนอู่และมังกรดำ ครั้นพวกมันปรากฏขึ้นเหนือศรีษะเขา ทั้งคู่ก็พลันดูดกลืนพลังทางจิตวิญญาณของสวรรค์และโลกทันที
ขนาดตัวของเจ้าเสวียนอู่เพลานี้ ขยายใหญ่ขึ้นกว่าคราก่อนมาก
ส่วนเจ้าวิญญาณยุทธ์มังกรดำที่แค่ขดตัวอยู่เหนือเขา ขนาดของมันก็ดูจะยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน เพียงกลิ่นอายที่รายล้อมรอบตัวมันแผ่ออกมาเล็กน้อยยังทรงพลังจนน่าประหลาดใจ
ขณะที่เข้าฌานบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่มอยู่นั้น ปรานแท้มังกรทั้งยี่สิบแปดตัวก็ยังปรากฏออกมาเคลื่อนไหวอยู่รอบกายหยางเสี่ยวเทียนเช่นเดิม
ทุกวันนี้ แม้หยางเสี่ยวเทียนจะมุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะรากฐานให้มั่นคง โดยไม่คิดรีบเร่งทะลวงขั้นเหมือนทุกครา ถึงกระนั้น ความเร็วในการทะลวงผ่านระดับแปดเข้าสู่ระดับเก้าของขั้นเซียนสวรรค์ก็ยังนับว่าเกิดขึ้นได้รวดเร็วดังเดิม
ตอนนี้ เขายังได้ปลุกปราณแท้มังกรถึงยี่สิบแปดตัว ซึ่งพวกมันเพียงเท่านี้ ความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายของเขาก็เพิ่มขึ้นมากเป็นเท่าตัว
แต่เขากลับยังกังวล ด้วยไม่แน่ใจถึงความแข็งแกร่งตนที่เพิ่มขึ้นมานี้ มีมากเท่าไร มากพอต่อกรกับวิญญาจารย์ผู้ระดับขั้นเหนือกว่าหรือไม่…
หนึ่งวันต่อมา เป็นเช้าที่แดดจ้ากว่าทุกวัน
หยางเสี่ยวเทียนเรียกพบเลี่ยวคุนพร้อมคนทั้งสี่ ให้ตามไปยังลานฝึกยุทธ์
“นายน้อย ท่านอยากให้พวกเราร่วมกันลงมือเลยงั้นหรือ” เลี่ยวคุนและจางจิงหรงตกใจ
“ลงมือด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดที่พวกเจ้ามี อย่าได้ไว้ไมตรีต่อข้า” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวน้ำเสียงจริงจัง
เขาต้องการทราบให้มั่นใจ ว่าขอบเขตสูงสุดของความแข็งแกร่งในปัจจุบันเขาเป็นอย่างไร และเทียบเท่าวิญญาจารย์ผู้อื่นระดับไหน
ตอนที่หยางเสี่ยวเทียนอยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ระดับห้าขั้นปลาย เขาสามารถสังหารเติ้งอี้ซึ่งอยู่ระดับสิบของขั้นเซียนสวรรค์ได้แล้ว
หากเป็นไปดั่งที่เขาประมาณการ ตอนนี้ เขาก็น่าจะสามารประมือกับวิญญาจารย์ในขั้นราชันยุทธ์ระดับสองหรือสามได้แล้วไม่ใช่หรือ
“แต่ นายน้อย…” เลี่ยวคุนและจางจิงหรงลังเล
ด้วยทั้งห้า เกรงว่าพวกตนแต่ละคนจะทำร้ายหยางเสี่ยวเทียนจนบาดเจ็บ จึงไม่แปลกที่จะมีความกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าชัดเจน เพราะหากเขาเป็นอะไรขึ้นมาแม้เพียงรอยข่วนเล็กน้อย คนที่รู้สึกผิดจะเป็นพวกเขาเอง
ครั้นหยางเสี่ยวเทียนเห็นคนทั้งห้ามีสีหน้าเคร่งเครียดด้วยเป็นห่วงต่อชีวิตเขามากเกินไป เขาจึงส่ายหัวขณะเผยยิ้ม พร้อมสืบเท้าเดินออกห่างจากคนทั้งห้าไปข้างหน้าสามจั้ง
“อย่าได้กังวลต่อข้า พวกเจ้าไม่สามารถทำร้ายข้าได้”
กล่าวเช่นนั้นจบ หยางเสี่ยวเทียนก็หันกลับมาหาทั้งห้า ก่อนพุ่งปราดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเหลือไว้เพียงภาพเงาเลือนลางราวกับมีอีกคน พริบตาเดียวก็มาปรากฏตรงหน้าเลี่ยวคุนพร้อมชกออกไปทันที
“เก้าหมัดสังหารสิ้น!”
เมื่อทุกคนได้ประจักษ์เห็นหยางเสี่ยวเทียนชกหมัดออกมาเพียงครั้งเดียว แต่เฉียดข้างลำตัวเลี่ยวคุนถึงเก้าผนึกพุ่งปะทะเข้ากับศิลาเบื้องหลังเขาจนแตกละเอียด
ไม่ช้า หยางเสี่ยวเทียนก็ถอยออกไปหนึ่งก้าว พุ่งผนึกเก้าหมัดโจมเข้าหาเลี่ยวคุนอย่างรวดเร็ว
เลี่ยวคุนเห็นดังนั้น ก็รับรู้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของมันได้ทันที เขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม ก่อนยกมือขึ้นชกผนึกหมัดของตนสวนออกไป ด้วยหมายสกัดผนึกหมัดที่กำลังพุ่งเข้ามาอีกหน
ปัง!
ผนึกหมัดทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง จนผืนปฐพีสั่นสะเทือนเหมือนกำลังหนาวสะบั้น
เสียงดังสนั่นประหนึ่งเสียงฟ้าร้องก้องกังวานไปทั่วลานฝึกยุทธ์ จากใจกลางแรงปะทะกระจายพลังแผ่ขยายออกมาราวกับระลอกคลื่น
แขนที่เลี่ยวคุนปล่อยหมัดเข้าปะทะพลันเจ็บสะท้าน สีหน้าเขานอกจากแสดงถึงความปวดร้าวแล้วยังเคล้าไปด้วยความตกใจอีกด้วย
ร่างเขาผู้ถูกบังคับให้ต้องล่าถอยออกไปกว่าสามสิบฉื่อ เกิดรอยเท้าฝังลึกเป็นแนวยาว ลากจากจุดแรกที่เลี่ยวคุนยืนอยู่ ขณะพื้นดินยังรอยเท้าย่ำก็แตกระแหงออกเป็นใยแมงมุม
มิเพียงเลี่ยวคุนเท่านั้น กระทั่งจางจิงหรงและคนอื่นๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน ครั้นได้เห็นผนึกหมัดอันทรงพลังเช่นนี้ ถูกชกออกมาจากผู้อยู่ในขั้นเซียนสวรรค์
แม้พวกเขาจะรู้ ว่าทักษะการหลอมโอสถของหยางเสี่ยวเทียนนั้น พรสวรรค์สูงส่งจนยากหาใดเปรียบมิมีใครเทียบได้ แต่เรื่องความแข็งแกร่งของเขา ทั้งห้ายังคงสงสัยไม่แน่ใจมาโดยตลอด
เมื่อตอนนี้ พวกเขาเห็นเลี่ยวคุนผู้อยู่ในขั้นราชันยุทธ์ระดับสาม ถูกหยางเสี่ยวเทียนชกหมัดผนึกเข้าโจมจนถึงกับต้องล่าถอย พวกเขาจะไม่ตกใจกระทั่งเบิกตาตะลึงได้อย่างไร
โดยเฉพาะเลี่ยวคุนที่เดิมเคยคิดว่านายน้อยของพวกตน ก็อาจมีความแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย แต่คงจะเหนือกว่าอัตและอาลี่ไม่มากนัก
กระทั่งเพลานี้ เขาถึงได้รู้ซึ้งว่าอัตและอาลี่มิอาจเทียบได้แน่นอน
“พวกเจ้าทั้งห้าคน เข้าลงมือพร้อมกัน” หลังจากหยางเสี่ยวเทียนชกหมัดใส่เลี่ยวคุนครู่นั้น เขาก็เข้าใจถึงความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้
ซึ่งเมื่อครู่เขาใช้พลังไปเพียงเก้าส่วนเท่านั้น ยังมิใช่ทั้งหมด จึงอยากรู้ว่าหากทุ่มจนสุดตัวจะมีกำลังมากถึงเพียงไหนกัน
กระบวนท่าที่เขาใช้ คือทักษะเก้าหมัดสังหารสิ้น ซึ่งเป็นวรยุทธขั้นเซียนสวรรค์
เลี่ยวคุนและจางจิงหรงหันมองหน้ากันก่อนพยักหน้าระหว่างเผยยิ้มด้วยยินดี ความกังวลที่มีพลันมลายเปลี่ยนเป็นชื่นชม หลังพบว่านายน้อยพวกตนแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่เขาคู่ควรประมือด้วยหรือไม่
“นายน้อยโปรดชี้แนะ” ครั้นเลี่ยวคุนกล่าวจบ เขาก็โผเข้าหาอย่างไม่เกรงใจอีกต่อไป