บทที่ 14 เมตตาต่อศัตรูจะเป็นภัยต่อตนเอง!
ในระหว่างนั้นเอง
ฟึบ!
ก็พลันปรากฏร่างหนึ่งพุ่งด้วยความเร็วไปยังเนินเขาราวกับสายฟ้า ร่างนั้นสะบัดมือเพียงครั้งเดียว ก็เก็บเกี่ยวเอาผลผลึกทับทิมออกจากต้นจนหมดสิ้น
“อะไร!” หลินหงเปิดปากอุทานขึ้น
ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้หลินหงและคนอื่นๆ ต่างตกใจในทันที
“ตระกูลหลัว หลัวเฉิง!” คนจากตระกูลหลินตะโกนดังขึ้น เพราะเขาจำใบหน้านั้นได้เป็นอย่างดี
“หลัวเฉิง!” หลินหงทวนนามนั้นด้วยความประหลาดใจ ไฉนเจ้าขยะของตระกูลหลัวจึงมาโผล่ที่นี่ได้
จากนั้น เขาก็หรี่ตาลงและกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “บอกตามตรง เห็นเจ้าครั้งแรกก็รู้สึกคุ้นเคยนัก แต่ข้าคาดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นเจ้า เจ้าขยะ! จงส่งผลผลึกทับทิมมาให้ข้าแต่โดยดีและคำนับข้าสามครั้ง ข้าอาจจะใจดียอมไว้ชีวิตเจ้า หาไม่แล้ว อย่าได้ตำหนิที่ข้าเหี้ยมโหด!”
“ส่งผลผลึกทับทิมและคำนับเจ้าสามครั้งงั้นหรือ?” หลัวเฉิงกล่าวทวนวาจาพลางยิ้มอย่างไม่แยแส
“จะว่าอะไรนะ!” ใบหน้าของหลินหงพลันมืดลง
“เจ้าคนไร้ค่าที่ปลุกวิญญาณยึดขยะขึ้นมา ไฉนกลับกล้าอวดดีถึงเพียงนี้ พี่หลินหงจัดการเขาซะ!” ผู้ที่มีบาดแผลตรงท้องยกมือขึ้นชี้หน้าก่นด่าหลัวเฉิง
ใบหน้าที่ยิ้มอย่างไม่แยแสของหลัวเฉิง ทำเอาทั้งสามถึงกับเดือดดาลเป็นที่สุด
แววตาของหลินหงเปลี่ยนเป็นวาวแสงเย็นวาบ เขากำหมัดกระชับแน่นขณะมองหลัวเฉิงด้วยความโกรธแค้น
แม้แต่ขยะ ก็ยังกล้าแสดงท่าทีอวดดีเช่นนี้ต่อหน้าข้า!
“มันสายเกินไปแล้ว ต่อให้เจ้าจะก้มหัวคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนไว้ชีวิต ข้าก็จะมิคิดเมตตา! ข้าจะตัดแขนตัดขาของเจ้าออกทีละข้าง นี่เป็นราคาที่เจ้าต้องจ่าย โทษฐานที่กล้าทำให้ข้าอารมณ์เสีย!” หลินหงยกมือชี้หน้าพลางเปิดปากตวาดลั่น
หลัวเฉิงมองทั้งสามด้วยสายตาเย็นเยียบ เขามิปริปากโต้ตอบแต่อย่างใด เพราะในหัวเขากำลังไตร่ตรองเรื่องความสามารถของทั้งสามอยู่
ในสามคนนี้ หลินหงเป็นผู้ที่มีความสามารถมากสูงสุด และเขาได้ปลุกวิญญาณยุทธ์ระดับสี่ดาวขึ้นมา ตอนนี้คงอยู่ในขั้นหลอมกายาระดับเจ็ดแล้วกระมัง
“เจ้าคิดว่าตนนั้นเป็นอัจฉริยะ ทั้งที่เป็นเพียงแค่ขยะงั้นหรือ” หลินหงเหยียดยิ้มกล่าวเยาะเย้ย
“พี่หลินหง ท่านไม่จำเป็นต้องเสียเวลาลงมือ เจ้าขยะนี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกเรา!” ทั้งสองขันอาสาด้วยสีหน้ามาดมั่นว่าตนนั้นจะชนะเป็นแน่ ก่อนหันศีรษะแลไปทางหลัวเฉิงแล้วตวาด
“เจ้าขยะ ไปตายซะ!”
สิ้นเสียง คนจากตระกูลหลินทั้งสองก็โผเข้าหาหลัวเฉิง พร้อมแสดงสีหน้าและแววตาอันดุร้ายราวกับสัตว์ป่ากระหายเลือด
หลังเห็นทั้งสองพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลัวเฉิงก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึม แล้วชกหมัดสวนออกไปในทันที
ครั้นได้เห็นฉากนี้ หลินหงก็เหยียดยิ้มร่าพลางส่ายศีรษะ
แม้ความแข็งแกร่งของคนสองคนนี้ จะอยู่ในขั้นหลอมกายาระดับสี่และห้าเท่านั้น แต่มันก็ยังนับว่าเหนือกว่าเจ้าขยะหลัวเฉิงมากนัก
เจ้าขยะนั่นมิเพียงปฏิเสธที่จะหลบหนี แต่ยังเลือกที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยตรง นั่นเท่ากับรนหาที่ตายแล้ว!
ดูเหมือนว่า เจ้าขยะนี่ไม่เพียงแต่ไร้ฝีมือในด้านวรยุทธเท่านั้น แต่ยังบ้าเพี้ยนเสียสติอีกต่างหาก
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ
ปัง! ปัง!
ระหว่างร่างทั้งสามเข้าปะทะกัน หลัวเฉิงเหวี่ยงหมัดชกเข้าที่อกของคนแรก ก่อนจะม้วนตัวเตะอีกคนอย่างรุนแรง จนทั้งสองกระอักเลือดออกมาคำใหญ่พร้อมกับแผดเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวด ร่างของพวกเขาปลิวออกไปคนละทิศทาง มาตรว่าสามสิบฉื่อเห็นจะได้
“เป็นไปได้อย่างไร!” สีหน้าของหลินหงผันเปลี่ยนเป็นซีดเซียวอย่างมากในขณะนี้
เจ้าขยะนั่น สยบสองคนนั้นโดยใช้เพียงคนละกระบวนท่า การจะทำเช่นนี้ได้เขาต้องอยู่ในขั้นหลอมกายาระดับหกเท่านั้น!
หางตาของหลินหงพลันกระตุก เขาจ้องไปยังหลัวเฉิงก่อนกล่าวน้ำเสียงเย็นชา “ข้าไม่คิดเลยว่าตระกูลหลัว จะโง่ถึงขนาดยอมทุ่มเงินมากมายให้กับขยะเช่นเจ้า!”
หลินหงเชื่อโดยสนิทใจว่า ตระกูลหลัวทุ่มเงินซื้อโอสถหลอมกายาจำนวนมากให้กับหลัวเฉิง ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว!
“คำก็ขยะสองคำก็ขยะ เจ้ากินเศษขยะเข้าไปหรืออย่างไร วาจาที่ใช้จึงเต็มไปด้วยขยะ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ลองรับหมัดจากขยะอย่างข้าดูบ้าง!” หลัวเฉิงกล่าวพร้อมแววตาทอประกายวาวเย็น
สิ้นเสียง เขาก็เอนกายตั้งท่าเพลงหมัดสยบภูผา แล้วพุ่งเข้าหาหลินหงเบื้องหน้าในทันที
“เจ้ามันไม่รู้จักความตาย กล้าดียังไงมาโจมตีข้า” หลินหงเปล่งเสียงตวาดดังลั่น
เขาเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมกายาระดับเจ็ด จะหวาดกลัวต่อขยะเบื้องหน้าได้อย่างไร เขาเหยียดยิ้มอย่างโอหัง ก่อนทะยานปราดเข้าไปห้ำหั่นอย่างมิมีหวั่นเกรง
ปัง!
ทันทีที่สองหมัดเข้าปะทะกัน เสียงหลินหงคำรามลั่นก็ดังขึ้น เขาเซถอยหลังไปสองสามก้าว พร้อมกับมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก
“ขั้นหลอมกายาระดับเจ็ด เป็นไปไม่ได้!” หลินหงเปิดปากร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ
ดวงตาเขาเบิกโพลงเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
หลังจากปลุกวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิดแล้ว ต่อให้กลืนโอสถหลอมกายาไปเป็นจำนวนมาก ก็มิอาจทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเจ็ดได้เร็วถึงปานนี้!
“ตาย!” หลัวเฉิงตวาดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก พร้อมโผเข้าหาหลินหงอย่างกะทันหัน
เขาอาศัยจังหวะที่หลินหงกำลังตกอยู่ในความสับสน รวบรวมพลังทั้งหมดไปที่หมัดเดียว แล้วพุ่งหมัดชกศีรษะของหลินหงจนสะบั้นขาดไปครึ่ง ส่วนอีกครึ่งนั้นยังติดอยู่กับร่าง ทั่วพื้นเต็มไปด้วยคราบเลือดที่สาดกระเซ็น ปรากฏเป็นภาพอันน่าสยดสยองยิ่งนัก
ด้วยการต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับสัตว์อสูรอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขาตระหนักได้ว่า การเมตตาต่อศัตรูจะเป็นภัยต่อตนเอง!