ตอนที่ 43 คนไม่คุ้นหน้า
ตอนที่ 43 คนไม่คุ้นหน้า
“ผู้อาวุโส มันผู้นี้คือบุคคลที่ทำร้ายศิษย์น้องหลิ่วและลักขโมยถุงมิติของศิษย์น้องหลิวไปขอรับ!”
เยี่ยซือยืนกอดอกมองมาทางจี้เตี๋ยด้วยความมาดมั่น กระทั่งยกยิ้มมุมปากให้เห็นราวกับแค่นเสียงเย้ยเสียด้วยซ้ำ
เรื่องราวนี้เปรียบดังฟ้าผ่าดังเปรี้ยงระเบิดกลางพื้นที่โรงนา เหล่าศิษย์ในพื้นที่ต่างเริ่มเข้ามารับชมราวพบเห็นเรื่องสนุก
“ศิษย์สำนักเจียงรู้จักคนผู้นี้หรือไม่?!” ชายชราตระหนักพบเห็นสตรีผู้โดดเด่นสะดุดตายืนอยู่ข้างจี้เตี๋ย เวลานี้จึงเริ่มคาดเดาถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง
เรื่องที่เจียงโม่หลีและซูลั่วมีสัมพันธ์อันดีต่อกันไม่ใช่ความลับ และซูลั่วยังเป็นถึงศิษย์ทรงคุณค่าแห่งยอดเขาโอสถเสียด้วยซ้ำ
“ข้าไม่ได้รู้จักอะไร ผู้อาวุโสเถียนไม่ต้องคิดเห็นหรือกังวลเรื่องข้า พิจารณาเรื่องของท่านไปตามสมควรได้เลย” เจียงโม่หลีโค้งกายให้อย่างเย็นชา สุดท้ายจึงเว้นระยะห่างออกจากจี้เตี๋ย
ผู้อาวุโสเถียนหันมองทางจี้เตี๋ยด้วยความรู้สึกโล่งใจ เขาเริ่มใช้พลังจิตของตนเองตรวจสอบจนได้พบเห็นระดับการฝึกตนของอีกฝ่าย ตอนนี้เองที่ต้องเผยสีหน้าคร่ำเคร่ง “กลั่นลมปราณขั้นที่หก… เหตุใดเจ้าถึงทำร้ายศิษย์ยอดเขาโอสถของข้า ทั้งยังก่ออาชญากรรมที่ยอดเขาโอสถ…”
แม้จี้เตี๋ยเผชิญคำถามก็ยังคงสีหน้านิ่งเฉย เขาไม่ได้รู้สึกผิดหวังหรืออะไรกับท่าทีห่างเหินของเจียงโม่หลี ขณะนี้จึงตอบคำกลับ “พวกมันบุกมาโจมตีก่อนขอรับ ข้าเพียงแค่ปกป้องตัวเอง”
เพราะเติบโตมาด้วยความยากลำบากแสนแร้นแค้น เขาจึงทราบดีแก่ใจว่าทุกเรื่องราวมีแต่ต้องพึ่งพาตนเอง
“กล่าวความเท็จ!” เยี่ยซือแค่นเสียงดังทักท้วง
“เป็นเจ้าที่ปล้นชิงถุงมิติของศิษย์น้องหลิวก่อน ทั้งยังทำร้ายเขาจนบาดเจ็บ ข้าเลยขอให้หลิ่วเฉิงไปช่วยผดุงธรรมแทนศิษย์น้องหลิว แต่เจ้าก็ทำร้ายเขากลับมาอีกหน!”
“ความจริงเป็นเช่นไรนั้นเจ้าทราบดีอยู่แก่ใจ!” จี้เตี๋ยมองตอบด้วยสายตาเย็นเยือก
“เหอะ! ทุกคำกล่าวของข้าคือความจริงทั้งสิ้น! ทั้งหมดมันก็เพราะเจ้าเป็นคนโฉดชั่วคิดปล้นชิงถุงมิติของศิษย์ร่วมสำนัก! คนเช่นนี้มีแต่ทราบว่าจะสร้างเรื่องราวให้วุ่นวายอย่างไร ผู้อาวุโสขอรับ ข้าขอแนะนำให้ทำลายการฝึกตนของมันและขับไล่ออกจากสำนักขอรับ!” เยี่ยซือทักท้วงตอบกลับ
ทันทีที่คำเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา ศิษย์ทุกคนที่รับชมเรื่องราวอยู่ต่างเผยใบหน้าถอดสี เพราะรู้สึกว่าการลงโทษนี้รุนแรงจนเกินไป ขณะนี้เองที่สายตาทุกคู่ไปหยุดมองที่ชายชราผู้มาใหม่และเจิ้งอี้ ราวกับกำลังรอคอยท่าทีของคนทั้งสอง
“ผู้อาวุโสเจิ้ง คิดว่าควรจัดการกับคนเช่นนี้อย่างไร?” เห็นได้ว่าชายชราค่อนข้างเอนเอียงรับฟังคำของเยี่ยซือ
เพราะทั้งหลิ่วเฉิงและหลิวจงต่างก็ได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังมีพยานพบเห็นและหลักฐาน ทั้งหมดสมควรเป็นข้อเท็จจริงแล้ว
สายตาของจี้เตี๋ยเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นมืดมน
“วางใจได้ ข้าจะไม่ให้การปกป้องหรืออะไรทั้งนั้น ผู้อาวุโสเถียนตัดสินใจได้เลย” เจิ้งอี้เองก็มีความสงสัย ว่าผู้ดูแลและเฮ่อซงของยอดเขาสรรพสัตว์จะถูกจี้เตี๋ยฆาตกรรม ดังนั้นเขาจึงไม่เคยมีความรู้สึกดีอันใดต่ออีกฝ่าย เป็นเหตุให้เวลานี้ไม่คิดช่วยปกป้องแม้แต่น้อย
“ถ้าอย่างนั้น…”
ขณะผู้อาวุโสเถียนกำลังจะประกาศอะไรออกมานั้นเอง เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ผู้อาวุโสเถียน ข้ามองว่าเรื่องราวนี้จำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ชัดเสียก่อน” คนที่พูดกล่าวคือเจียงโม่หลีผู้เงียบงันมาโดยตลอด
เสียงของนางทั้งไม่ถ่อมตนหรือว่าโอหังอวดดี เพียงแต่การกระทำนี้มากพอเป็นเหตุให้จี้เตี๋ยชะงักไปชั่วครู่ เขามองยังสีหน้าอันไร้ความรู้สึกของนางขณะริมฝีปากเริ่มสั่นไหว
“หมายความว่าอย่างไร?” ผู้อาวุโสเถียนขมวดคิ้วจนแทบเป็นปมเกิดเป็นรอยย่น
หากว่าคำเหล่านี้เป็นผู้อื่นออกปาก เขาคงเมินเฉย เพียงแต่คำของเจียงโม่หลีจำเป็นต้องให้ค่าและพิจารณา ไม่ใช่สามารถเพิกเฉยได้
“ข้าเชื่อเขา… ว่าเบื้องหลังเรื่องราวนี้จะต้องมีอะไรซุกซ่อนเอาไว้อีกแน่ คาดหวังว่าผู้อาวุโสเถียนจะสืบสวนให้กระจ่างชัด อย่างไรแล้วหากเป็นกรณีอีกฝ่ายเริ่มลงมือก่อน เขาก็เพียงแค่ลงมือตอบโต้เพื่อปกป้องตนเอง จะให้ศิษย์คนหนึ่งต้องถูกทำลายการฝึกตนเพียงเพราะปกป้องตนเองนั้น มันจะถือเป็นเรื่องที่เกินเลยไปหรือไม่?” เจียงโม่หลีตั้งประเด็นขึ้นมา
คำเหล่านี้เป็นเหตุทำให้ชายชราลังเลอีกครั้ง แต่เยี่ยซือที่ไม่พอใจ เวลานี้จึงโต้แย้งคำออกมา “ศิษย์น้องหญิงเจียง กำลังหมายความถึงอย่างไร กล่าวว่าข้าโกหกงั้นหรือ?”
“ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” เจียงโม่หลียังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
เอกลักษณ์อันโดดเด่นของนางคือความเถรตรงเช่นนี้
“ไม่ว่าด้วยอะไร ความจริงคือมันปล้นชิงถุงมิติของศิษย์น้องหลิว…”
“เป็นคนของเจ้าที่เล่นงานข้าก่อนเพราะคิดปล้นชิงถุงมิติของข้า ข้าจึงต้องใช้วิธีการเดียวกันตอบโต้ก็เท่านั้น” จี้เตี๋ยสวนคำกลับ
“คิดกลับผิดเป็นถูกงั้นหรือ ทั้งยังเป็นคำให้การแต่ฝ่ายเดียวของเจ้า อย่าคิดว่าจะหลอกลวงผู้อาวุโสเถียนและศิษย์น้องหญิงเจียง…”
เยี่ยซือเริ่มเผยสีหน้าดำมืด ทว่าก่อนเขาจะเอ่ยคำจบประโยคกลับถูกขัดเอาไว้
“ในเมื่อฟังความฝ่ายเดียวแล้วไม่ควรเชื่อโดยง่าย ไฉนเลยคำพูดของเจ้าจึงน่าเชื่อถือเล่า?” เจียงโม่หลีเอ่ยปากแทรกขึ้นมา เป็นเหตุให้เยี่ยซือเผยสีหน้าอัปลักษณ์
พบเห็นทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมใคร ผู้อาวุโสเถียนจึงปลดปล่อยสภาวะพลังของกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดออกมาด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วเอ่ยคำ “พอ!”
ผู้ใดกันทราบได้ว่าเพียงแค่สิ้นเสียงนี้ กลับมีอีกเสียงหนึ่งที่เอ่ยคำขึ้นต่อ
“ผู้อาวุโสเถียน ข้าเองก็มีเรื่องรายงานเจ้าค่ะ”
ตอนนี้เองที่ทุกคนหันมองไปทางต้นเสียง พร้อมกับได้เห็นเด็กสาวร่างเล็ก พวกเขาทุกคนต่างชะงัก
“ศิษย์น้องหญิงซูลั่ว…” เยี่ยซือขมวดคิ้วและเกิดสงสัย ว่านางมาทำอะไรที่นี่
จี้เตี๋ยเองก็ชะงักไปชั่วครู่ เพราะไม่ทราบว่าเหตุใดนางถึงมาปรากฏตัวที่นี่เช่นกัน
“มีเรื่องอะไร?” ผู้อาวุโสเถียนถามออกมา
“ข้าได้ยินมาว่ามีคนทำร้ายศิษย์ร่วมสำนัก และผู้อาวุโสเถียนคิดลงโทษใช่หรือไม่เจ้าคะ? ข้ามาเพื่อพิสูจน์ว่าจี้เตี๋ยเพียงแค่ปกป้องตัวเอง ฝ่ายหลิ่วเฉิงเป็นคนลงมือก่อนเจ้าค่ะ”
ผู้มาเยือนคือซูลั่วที่ได้รับทราบข่าวคราว เวลานี้เองที่นางเดินเข้าไปใกล้และเปรยสายตามองทั้งหลิ่วเฉิงและหลิวจง
“ศิษย์น้องหญิงซู คำกล่าวนี้จำเป็นต้องมีหลักฐานพิสูจน์” เยี่ยซือเผยสีหน้าดำมืด เพราะเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดซูลั่วถึงเข้ามาช่วยจี้เตี๋ย
ผู้อาวุโสเถียนหันสายตาเย็นเยือกมองมา เป็นการบ่งบอกให้เขาหุบปาก
“แล้วทราบได้อย่างไร”
เนื่องจากเขาตั้งความหวังกับซูลั่วเอาไว้สูง ดังนั้นจึงไม่นึกสงสัยในคำให้การของนาง
“เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อน จี้เตี๋ยและข้าเดินทางอยู่ด้วยกันแต่กลับถูกมันบุกมาทำร้ายเจ้าค่ะ!” ตอนนี้เองที่ใบหน้าของซูลั่วแสดงความเกลียดชังออกมา สายตานี้หันมองไปทางหลิ่วเฉิงและหลิวจง
“เป็นเรื่องจริงหรือ?!” ผู้อาวุโสเถียนพลันเผยสีหน้าดำมืด ตอนนี้เองที่เขาหันไปจ้องหลิ่วเฉิงและเยี่ยซือ จนเป็นเหตุให้สีหน้าของคนทั้งสองแปรเปลี่ยน
“ศิษย์น้องหญิงซู ขออย่าได้กล่าวคำเท็จ! หลิ่วเฉิงหรือจะกล้าทำร้ายเจ้า!”
ซูลั่วแค่นเสียงฮึมฮัมตอบกลับ “เป็นความจริงทุกประการเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้าใช้ยาจำแลงกายอยู่ ทำให้พวกมันไม่ทราบว่าเป็นข้าและคิดปล้นชิงถุงมิติของข้าด้วย ขอผู้อาวุโสเถียนผดุงธรรมด้วยเจ้าค่ะ!”
“เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?” ชายชราหันมองทางจี้เตี๋ยเป็นการสอบถาม
“เป็นเรื่องจริงขอรับ” พบเห็นเด็กสาวขยิบตาให้ จี้เตี๋ยจึงทั้งรู้สึกแปลกใจและขบขันในเวลาเดียวกัน
มีหรือคนทั้งสองจะกล้าปล้นชิงถุงมิติของนาง เพียงแต่เขาเข้าใจเจตนาของเด็กสาวดี
“พวกเจ้ามีอะไรอยากพูดอีกหรือไม่!”
ผู้อาวุโสเถียนปลดปล่อยลมปราณอันหมองหม่น ขณะน้ำเสียงปะทุตั้งคำถามกับคนทั้งสองอย่างรุนแรง
“มันเป็นไปได้ยังไง… เรื่องนี้… วันนั้นเป็นท่านจริงงั้นหรือ?” ตอนนี้เองที่หลิวจงเกิดตระหนักทราบ ว่าบุคคลที่พบเจอวันก่อนคือซูลั่วตัวจริง
“ผู้อาวุโส ข้าไม่เคยคิดปล้นชิงถุงมิติของศิษย์พี่หญิงซูลั่วเลยขอรับ” หลิ่วเฉิงในเวลานี้เองก็ชักสีหน้ารุนแรง
“ในตอนนั้นศิษย์พี่หญิงซูลั่วเปลี่ยนแปลงรูปโฉม พวกเราไปหาจี้เตี๋ยเพื่อขอให้มันส่งถุงมิติของศิษย์น้องหลิวคืนมา จนสุดท้ายนำไปสู่ความเข้าใจผิดขอรับ”
“มันเป็นอย่างนั้นก็เพราะพวกเจ้าเป็นฝ่ายลงมือก่อนไม่ใช่หรือ?!”
น้ำเสียงอันดำมืดของผู้อาวุโสเถียนดังขึ้น
“ข้าเพียงแค่ทวงถุงมิติของศิษย์น้องหลิวคืนขอรับ เพียงแต่เวลานั้นพวกเขาหลบหนี…”
“เหอะ! โป้ปด! หลิวเหวินปินได้สารภาพเรื่องราวทั้งหมดให้ข้าฟังแล้ว!”
“มันเป็นคนที่คิดปล้นชิงถุงมิติของจี้เตี๋ยก่อน สุดท้ายกลับถูกเล่นงานคืนและโดนปล้น ภายหลังหลิวจงไม่พอใจเลยบุกไปคิดเล่นงานจี้เตี๋ย เหตุการณ์เดิมวนซ้ำไปมาเช่นนี้ หากว่าไม่เชื่อ ผู้อาวุโสเถียนสามารถไปสอบถามผู้ให้การด้วยตนเองได้ ท่านจะได้ทราบเรื่องราวนี้โดยกระจ่าง ส่วนพวกเจ้าที่กำลังเล่าความฝ่ายเดียวเอามือบดบังฟ้าหลอกลวงผู้อาวุโส นี่ไม่ใช่เรื่องควรให้อภัยกันได้!”
ซูลั่วโต้แย้งออกมา
“เป็นอย่างนี้นี่เอง… พวกเจ้าทั้งสองถึงขั้นกล้าดีหลอกลวงผู้อาวุโส…”
ขณะคนทั้งสองกำลังร้อนรน โกรธเคือง และพบว่ายากหาทางตอบโต้ ตอนนี้เองที่ชายชราแค่นเสียงดังขึ้นพร้อมผลักฝ่ามือใส่ร่างคนทั้งสอง
ความเร็วนี้เป็นระดับที่แม้ทั้งสองเป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าก็ยังหลบเลี่ยงไม่ทัน พวกเขาต่างร่างกระเด็นลอยลิ่วพร้อมทำฝุ่นตลบคลุ้งพื้นที่
“การฝึกตนของข้า…”
แต่หากเทียบเปรียบกับความเจ็บปวดภายในกาย ที่ทำให้พวกเขาไม่อาจยอมรับได้ยิ่งกว่าคือการฝึกตนถูกทำลาย เพราะฝ่ามือเมื่อครู่นี้ มันเป็นเหตุให้ทะเลลมปราณในกายของพวกเขากระจายและแตกสลาย
“พวกเจ้าทั้งสองที่คิดทำร้ายศิษย์ร่วมสำนักก่อน ทั้งยังกล้าหลอกลวงผู้อาวุโส บัดนี้ถูกตัดสินขับไล่ออกจากสำนักเจ็ดลึกล้ำเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างให้ผู้อื่นได้เห็นโทษของการกระทำ!”