ตอนที่ 42 ยามุ่งอำพัน…
ตอนที่ 42 ยามุ่งอำพัน…
จี้เตี๋ยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำประชดประชัน ทั้งยังดูคุ้นชินกับการปรากฏตัวของนาง
“ไม่พบกันนานขอรับศิษย์พี่หญิงเจียง” จี้เตี๋ยหันกลับไปพร้อมประสานหมัดกับฝ่ามือตอบอย่างนอบน้อม
ด้วยพลังจิตตระหนักรู้ เขาจึงสัมผัสได้ในทันทีที่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้
เพียงแต่คำตอบที่เขาได้รับกลับเป็นนาคาอัคคีที่เย็นเยือกไร้อารมณ์
อุณหภูมิความร้อนของนาคาอัคคี มันร้อนแรงจนแทบสามารถหลอมละลายสรรพสิ่ง นอกจากนี้ยังรวดเร็วจนเขาไม่มีเวลาให้หลบเลี่ยง จนราวกับชั่วอึดใจมันเกือบจะเล่นงานเขาจนบาดเจ็บหนักได้
นัยน์ตาของจี้เตี๋ยหดแคบ ขณะเดียวกันก็ตระหนักรู้ได้ถึงจิตสังหารอันแรงกล้าของเจียงโม่หลี
เดิมเขาคิดว่าภายหลังตนเองทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่หกแล้ว ต่อให้ไม่อาจเอาชนะอีกฝ่าย แต่ก็คงไม่ได้ถูกทิ้งจนล้าหลังมากเกินไป
กระนั้นตอนนี้พออีกฝ่ายลงมือจริง เขาจึงได้ตระหนักว่าตนเองคิดผิด!
ศิษย์พี่หญิงเจียงก็ยังคงเป็นศิษย์พี่หญิงเจียง นางแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่งเสมอมาจนถึงปัจจุบัน
กระทั่งว่าเขานึกสงสัย ว่าอีกฝ่ายทะลวงการกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดไปแล้วด้วยซ้ำ!
“ศิษย์พี่หญิงเจียง ยั้งมือก่อนขอรับ!” พบเห็นนาคาอัคคีกำลังจะปะทะกับตนเอง จี้เตี๋ยเร่งร้อนนำเอาขวดหยกออกมาขวางไว้ตรงหน้า
นาคาอัคคีหยุดลงที่กลางอากาศ เพียงแต่ไม่ได้สลายเลือนหาย มันราวกับรอคอยเวลา
จี้เตี๋ยตอบกลับด้วยสีหน้าแข็งทื่อ “ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่หญิงเจียงได้รับบาดเจ็บ นี่เป็นยามุ่งอำพันที่ข้าซื้อมาขอรับ แต่พอกลับมากลับได้พบว่าท่านไม่อยู่แล้ว”
ยามุ่งอำพัน…
เจียงโม่หลีมองขวดหยกในมือของอีกฝ่าย แววตาของนางเผยประกายความซับซ้อน
“เจ้าคิดว่าเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วข้าจะยังเมตตาหรือ?” เจียงโม่หลีเอ่ยถาม
“ข้าทราบขอรับว่าศิษย์พี่หญิงเจียงกำลังเข้าใจตัวข้าผิดไป… ข้าไม่ได้ขอให้ท่านเมตตา เพียงแต่ยานี้ข้าซื้อมาก็เพราะต้องการมอบให้ท่านจริง ๆ เพียงแค่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีโอกาสมอบให้ ดังนั้นขอเพียงศิษย์พี่หญิงเจียงรับเอาไว้ อย่างน้อยข้าก็คงตายตาหลับขอรับ” จี้เตี๋ยที่สบตากับนางเข้าถึงขั้นต้องกัดฟันแน่น
เจียงโม่หลีเริ่มแสดงความรู้สึกอันซับซ้อนยิ่งกว่าออกมา นางยกมือขาวขึ้นสูงก่อนจะรับเอาขวดหยกที่มียามุ่งอำพันมา
ในตอนนั้น นางเอ่ยปากบอกให้จี้เตี๋ยไปดูว่ามียามุ่งอำพันขายหรือไม่ ก็เพราะนางไม่ต้องการปฏิสัมพันธ์กับอีกฝ่าย มันคือการจงใจเบนความสนใจเพื่อหลีกเลี่ยง
เพราะอย่างไรยามุ่งอำพันก็ไม่ใช่ยาที่มีไว้ใช้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ…
ผู้ใดกันคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะโง่เขลาถึงขนาดซื้อยากลับมา…
นางมองเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้มีสายตากระจ่างชัด เพียงแค่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้อีกฝ่ายพร้อมตายโดยไม่มีอะไรให้เสียดายดังคำกล่าวจริงหรือไม่
หรือบางทีอาจแค่ต้องการใช้ยานี้ทำให้นางใจอ่อนยอมปล่อยผ่าน
“ข้ารับยานี้เอาไว้แล้ว… จงรับความตายของเจ้า!” ภายหลังเก็บขวดหยกไปแล้ว นางจึงเผยความเย็นเยือกออกมาอีกครั้งหนึ่ง
“แค่ก แค่ก!” จี้เตี๋ยราวกับสำลักน้ำลายตนเอง “ศิษย์พี่หญิงเจียง รอเดี๋ยวขอรับ…”
เขาไม่คาดคิดว่าการกระทำเมื่อครู่จะไม่อาจเรียกความใจอ่อน กระทั่งว่าแม้ดูเหมือนจะหวั่นไหว แต่นางก็ยังคงเลือดเย็นและโหดเหี้ยม
แต่เพื่อรักษาเอาชีวิตรอด เขาจำเป็นต้องดิ้นรน
“คำสั่งเสียงั้นหรือ?”
จี้เตี๋ยได้ยินว่าน้ำเสียงของนางราวกับกำลังอดกลั้น เวลานี้จึงเผยยิ้มขื่นขม “แม้ข้าจะทราบว่าศิษย์พี่หญิงเจียงอาจไม่เชื่อ แต่อย่างน้อยก็ขอให้ข้าอธิบาย ว่าข้าไม่เคยเอ่ยคำด้วยปากนี้ต่อผู้ใด ว่าท่านคือคู่หมั้นสมัยเด็กของข้าขอรับ”
แม้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เขากล่าวจะค่อนข้างใกล้เคียงก็ตาม…
ตอนนี้เองที่เจียงโม่หลียื่นคำขาด “จบคำสั่งเสียแล้ว!”
สมองของจี้เตี๋ยรีบครุ่นคิดหาทางออก “ขอรับ! ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง! ศิษย์พี่หญิงเจียง หากข้าต้องตาย ข้าก็มีเรื่องอยากรบกวน…”
“เรื่องอะไร?” เจียงโม่หลีถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“บิดาและมารดาข้าจากไปตั้งแต่ยังเด็ก ข้าเป็นลูกคนสุดท้ายของตระกูลแล้ว เกรงว่าภายหลังตายไปแล้วคงไม่มีใครไปเยี่ยมหลุมศพพวกท่านขอรับ”
การดิ้นรนครั้งสุดท้ายของจี้เตี๋ย คือการขุดเรื่องในอดีตขึ้นมา
“เพราะแบบนั้น ศิษย์พี่หญิงเจียงขอรับ ภายหลังข้าตายไปแล้วหากท่านมีเวลาว่าง ทุกปีช่วยไปจุดธูปให้พวกท่านหน่อยได้หรือไม่ขอรับ? หากว่าเป็นไปได้ก็ฝากปรับปรุงที่ฝังศพด้วย… ครอบครัวของข้ายากจนข้นแค้นมาโดยตลอด ตลอดมาข้าเลยไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้น…” ยามนึกถึงบิดามารดาที่จากไป ร่องรอยความโศกเศร้าจึงปรากฏในแววตาของเด็กหนุ่ม และครั้งนี้มันไม่ใช่การแสดง
เจียงโม่หลีเงียบงันไปชั่วขณะหนึ่ง
“บ้านเจ้าอยู่ที่ใด?”
“หมู่บ้านเหวินเหอขอรับ” จี้เตี๋ยเผยดวงตาเป็นประกายขึ้นมา
“หลุมศพของพวกท่านอยู่ที่บนเขาผานจงทางตะวันออกของหมู่บ้าน หากท่านไม่ทราบทาง ระหว่างไปที่หมู่บ้านลองสอบถามดูได้ขอรับ น่าจะพอมีคนทราบอยู่บ้าง…”
“หมู่บ้านเหวินเหอ” เจียงโม่หลีพึมพำ ไม่ทราบว่านี่เป็นการตอบรับหรือไม่ เพียงแต่นางไม่ได้ลงมือต่อ
แต่เพราะปัจจุบันช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายกำลังหยุดอยู่ตรงหน้า ทั้งยังไม่ทราบว่ามันจะร่วงหล่นใส่ตนเองเมื่อใด เป็นเหตุให้จี้เตี๋ยในเวลานี้รอคอยด้วยความอดกลั้นอันแสนยากลำบาก
ขณะนี้เองที่นาคาอัคคีซึ่งลอยค้างกลางอากาศเลือนหาย เพียงแต่ก่อนที่เขาจะถอนหายใจโล่งอก ฝ่ามือของหญิงงามกลับซัดลงที่หน้าอกของเขา
จี้เตี๋ยร่างกระเด็นลอยลิ่วพร้อมฝุ่นตลบ สุดท้ายจึงไปล้มลงกองกับพื้นขณะหอบหายใจอย่างหนัก
“ศิษย์พี่จี้… ข้าได้ยินว่าศิษย์พี่หญิง…” ขณะนี้เองที่มีร่างหนึ่งวิ่งพรวดพราดเข้ามา เป็นอู๋ฮั่น
เพียงแต่พอได้เห็นจี้เตี๋ยนอนกองอยู่กับพื้น ขณะที่ข้างกันนั้นมีเจียงโม่หลีอยู่ เขาจึงต้องเร่งร้อนถอยหลบเลี่ยงหัวซุกหัวซุน
“แค่กแค่ก… พวกท่านอาจกำลังยุ่งอยู่… ข้าไม่ได้พบเห็นอะไรทั้งนั้น… ศิษย์พี่จี้ ข้าขอตัว…”
เดิมเพราะได้ทราบว่าเจียงโม่หลีมาเยือนโรงนา เขาจึงเร่งร้อนมาบอกข่าวคราว แต่ผู้ใดกันทราบได้ว่าเจียงโม่หลีกลับรวดเร็วกว่า สุดท้ายเขาจึงต้องยอมถอยพลางภาวนาให้จี้เตี๋ยรอดพ้น
แม้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ แต่จี้เตี๋ยไม่คิดกล่าวโทษอีกฝ่ายที่ทอดทิ้ง เพราะด้วยกำลังของอู๋ฮั่น แม้อยากช่วยก็ไม่มีทางทำอะไรได้อยู่ดี
เขาโขลกไอขณะพยายามลุกขึ้นจากพื้น ความเจ็บปวดภายในจากกระดูกทุกท่อนทั่วร่างกำลังร่ำร้อง ขณะเดียวกันเขาก็พยายามสูดลมหายใจอย่างหนัก
โชคดีที่เจียงโม่หลีไม่ได้ลงมือสังหาร ดังนั้นเขาจึงต้องทนเพียงแค่แบกรับอาการบาดเจ็บทางกายจากแรงผลักเมื่อครู่
“ในเมื่อเรื่องราวมันไม่ได้เกิดขึ้นโดยเจ้า ไฉนเลยจึงเลือกหลบหนี?” เจียงโม่หลีมาหยุดยืนตรงหน้าพร้อมตั้งคำถาม
ที่นางโกรธไม่ใช่เพียงแค่เพราะข่าวลือว่าตนเองเป็นคู่หมั้นกับจี้เตี๋ย แต่เพราะตอนที่นางกำลังคิดจะมาสอบถามหาความกระจ่าง อีกฝ่ายกลับหนีหายไปอยู่ที่ใดก็ไม่ทราบ!
“แค่ก แค่ก เรื่องนี้เพราะมันส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของศิษย์พี่หญิง ข้าเกรงว่าท่านอาจไม่เชื่อคำอธิบาย…” จี้เตี๋ยเผยยิ้มอันขื่นขม
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ากลับมาทำอะไร!” เจียงโม่หลีหรี่สายตาลงเล็ก
จี้เตี๋ยตอบกลับ “ข้าไม่ได้คิดอยากซ่อนตัวจากท่าน รวมถึงไม่ได้อยากทำให้ท่านลำบากใจด้วย ดังนั้นเลยวางแผนกลับมาเพื่ออธิบายเรื่องราวให้ศิษย์ร่วมสำนักที่ลือกันไปทั่วทราบความจริงขอรับ”
“เหอะ… งั้นข้าควรขอบคุณเจ้าที่เป็นหวานใจวัยเด็กด้วยหรือไม่?” เจียงโม่หลียังคงเผยท่าทีคุกคามอยู่
จี้เตี๋ยรู้สึกกระดากใจขึ้นมา “ตอนนั้นข้าไม่มีทางเลือกขอรับ แต่ที่ข้าบอกไปทั้งหมดคือความจริงขอรับ”
เจียงโม่หลีแค่นเสียงก่อนจะจ้องมองมา แต่แล้วตอนนี้เองที่อู๋ฮั่นซึ่งออกไปเมื่อครู่กลับเข้ามาอีกครั้ง
“ศิษย์พี่จี้ ผู้อาวุโสเจิ้งรออยู่ที่ด้านนอกขอรับ คล้ายจะมาพบท่านขอรับ”
“ผู้อาวุโสเจิ้ง…” เจียงโม่หลีขมวดคิ้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้นางอยากฆ่าอีกฝ่าย แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
“ศิษย์พี่หญิงเจียง…” จี้เตี๋ยมองนางด้วยท่าทีโรยแรง ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่านางอยู่ถูกที่ถูกเวลาดีเสียจริง
“ครั้งนี้ข้าจะปล่อยไป จดจำเอาไว้ ชีวิตเจ้าอยู่ในกำมือข้า” เจียงโม่หลีมองตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถัดจากนั้นจึงก้าวเดินออกจากโรงนาไปก่อน
พบเห็นว่าเรื่องราวสงบลงเป็นการชั่วคราว จี้เตี๋ยจึงเผยยิ้มขื่นขมก่อนจะติดตามออกไป
ขณะเวลานี้เองที่ภายนอกโรงนาปรากฏร่างจำนวนไม่น้อย ยามพบเห็นคนทั้งสองเดินตามกันออกมา พวกเขาจึงมองมาในทันทีทันใด
จี้เตี๋ยสำรวจมองตอบเช่นกัน พบว่ามีใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ไม่ใช่น้อย
บุคคลหนึ่งเดียวที่เขาไม่รู้จักคือชายชราเส้นผมสีดอกเลาผู้สวมใส่ชุดธรรมดา อีกฝ่ายยืนอยู่ข้างเจิ้งอี้ และอย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณระดับสูง!
ขณะเวลาเดียวกัน เขายังได้เห็นร่างอันคุ้นเคยอีกจำนวนหนึ่งเคียงข้างชายชราคนดังกล่าว
เยี่ยซือ หลิ่วเฉิง หลิวจง…
ผู้อาวุโสเถียนแห่งยอดเขาโอสถ!
ตอนนี้เองที่จี้เตี๋ยคาดเดาได้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย พร้อมทั้งพอจะทราบถึงจุดประสงค์ของผู้มาเยือน
“ผู้อาวุโส มันผู้นี้คือบุคคลที่ทำร้ายศิษย์น้องหลิ่วและลักขโมยถุงมิติของศิษย์น้องหลิวไปขอรับ!”