บทที่ 181 หรือว่าเขาคือใต้เท้าหลง
หลังเยี่ยมชมจวนของหยางเสี่ยวเทียนนานสองนาน เขาก็เชิญทุกคนเข้ามานั่งดื่มชาสนทนาภายในเรือนหลัก ผ่านไปสักพัก หลินหยงและเฉินหยวนก็ขอตัวกลับ
เพราะทั้งคู่ ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการในสำนัก ซึ่งพวกเขาไม่สามารถพึ่งพาจวนของหยางเสี่ยวเทียนได้นานกระทั่งแทบหลงลืมเวลาเช่นนี้
แต่ก่อนที่หลินหยงและเฉินหยวนกำลังกล่าวอำลา หยางเสี่ยวเทียนก็ได้นำโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสวรรค์มอบให้แก่หลินหยง พร้อมรางวัลในการแข่งขันหลอมโอสถวันนี้ ไม่ว่าจะเตาหลอมโอสถขั้นสูงแลคัมภีร์โอสถขั้นเซียนเทียน เขาต่างยกให้ทั้งคู่นำกลับไปด้วย
ในเมื่อหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างเขาก็ได้เรียนรู้จากคัมภีร์ชั้นยอด ณ หอคัมภีร์สำนักเสินเจี้ยน จวบจนทุกวันนี้เขาก็ยังไปเยือนที่นั่น ซึ่งของรางวัลเหล่านี้ถือเป็นของตอบแทนที่เขาเต็มใจมอบให้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ นี่ยังถือเป็นหน้าที่เขาเช่นกัน ด้วยตำแหน่งเจ้าตำหนักหรือผู้อาวุโสสูงสุด การดูแลและคอยให้การสนับสนุนสำนักเสินเจี้ยนเปี่ยมด้วยความแข็งแกร่งขึ้น ยังเป็นสิ่งจำเป็นพร้อมสำคัญมาก
ส่วนหลินหยงจะจัดการกับมันอย่างไร ก็ให้เขาดำเนินการตามความเหมาะสมแลดุลพินิจทางสำนักได้เลย
ครั้นหลินหยงและเฉินหยวนเห็นว่าหยางเสี่ยวเทียนนำของรางวัลเกือบทั้งหมดในการแข่งขันมอบให้ทางสำนัก หลินหยงจึงรีบกล่าวปฏิเสธพร้อมโบกมือปัดทันทีแบบแทบมิต้องคิดเลย
“สิ่งเหล่านี้ล้วนได้มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของเจ้าตำหนักอย่างยากลำบาก อีกทั้งเจ้าตำหนักก็จำเป็นต้องใช้พวกมันเช่นกัน ทางสำนักเรามิได้ขาดแคลนสิ่งเหล่านี้”
หยางเสี่ยวเทียนยกมือขึ้นปรามแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ายังมีโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสวรรค์ไว้ใช่อยู่ขอรับ ส่วนเตาหลอมของข้าก็มีขั้นสูงเช่นกัน อีกทั้งคัมภีร์โอสถขั้นเซียนเทียนข้าก็มีด้วย ดังนั้นสิ่งของเหล่านี้จึงไม่มีประโยชน์ต่อข้าแล้ว”
ครั้นกล่าวจบ เขาก็หยิบโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ออกมาอีกยี่สิบขวดหยก มอบให้หลินหยงพร้อมกล่าวกำชับอย่างนับถือ “โอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์เหล่านี้ ข้าฝึกหลอมมันในช่วงเวลาว่าง ท่านเจ้าสำนักหลินสามารถนำไปเป็นรางวัลมอบให้ศิษย์ได้”
หลินหยงและเฉินหยวน มองไปยังโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ยี่สิบขวดหยกตรงหน้า พวกเขาต่างหันหน้ามองกันโดยมิรู้จะกล่าวเช่นไรดี
ทั้งคู่ได้แต่นึกถึงการประมูลโอสถสร้างฐานวิญญาณของสมาคมการค้าเฟิงยวินสิบสี่ขวดหยกก่อนหน้า ที่พวกเขาต่างทุ่มสุดกำลังในการประมูลแข่งขันกับผู้ทรงอำนาจคนอื่นๆ แต่ก็ยังได้กลับมาเพียงสี่ขวดหยกเท่านั้น
ทว่าตอนนี้ หยางเสี่ยวเทียนกลับบอกว่าเขาหลอมมันขึ้นในเวลาว่าง อีกทั้งยังให้พวกเขามากถึงยี่สิบขวดหยก สิ่งนี้ จึงพานให้พวกเขาทั้งสองเผลอลอบสงสัยถึงเรื่องใต้เท้าหลง
หากเหวินจิงอวี๋ผู้เป็นคนติดต่อและพบเจอใต้เท้าหลงเพียงผู้เดียว ไม่ยืนยันว่าใต้เท้าหลงเป็นชายชรา พวกเขาจะไม่สงสัยเลยว่าใต้เท้าหลงผู้นั้น คือหยางเสี่ยวเทียนตรงหน้าผู้นี้
“ข้าขอขอบคุณท่านเจ้าตำหนัก แทนบรรดาศิษย์ทุกคนในสำนักเสินเจี้ยนเรา” หลินหยงกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
หยางเสี่ยวเทียนสืบเท้าเข้าปรี่จับมือหลินหยงที่กำลังก้มลงแสดงความนับถือจากใจอันบริสุทธิ์ “หากทางสำนักขาดแคลนโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ในภายหน้า พวกท่านแจ้งข้าได้เสมอ” เขากล่าว
ด้วยบัดนี้ บรรดาทาสที่อยู่ใต้บัญชาเขาได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์หมดแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้โอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์อีก
ครั้นถึงคิมหันต์ฤดูปีหน้า เขาจะต้องเข้าร่วมกับสำนักเทียนโต้วแห่งจักรวรรดิเทียนโต้ว ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น เขาจะให้การสนับสนุนต่อสำนักเสินเจี้ยนได้ยาก
ฉะนั้นแล้ว ในปีนี้เขาจะช่วยสนับสนุนสำนักเสินเจี้ยน ให้มากสุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เมื่อหลินหยงและเฉินหยวนได้ฟังเช่นนั้น ก็ต่างมีใบหน้ายิ้มแย้มสำราญยิ่ง ทั้งคู่กล่าวขอบคุณหยางเสี่ยวเทียนอีกหน พร้อมบอกลาขอตัวกลับสำนัก
ระหว่างที่ทั้งคู่เดินกลับไป มือไม้ของพวกเขาก็เต็มไปด้วยสัมภาระมากมายที่หยางเสี่ยวเทียนมอบให้สำนักเสินเจี้ยน หลินหยงและเฉินหยวนต่างสืบท้าวสนทนากันไปตามทางอย่างปิติยินดี ที่พวกตนได้มีเจ้าตำหนักผู้ใจกว้างเปรียบดั่งมหาสมุทรเช่นนี้
“ท่านว่า…” จู่ๆ เฉินหยวนก็เอ่ยบางสิ่งที่คับอกมาสักครู่แล้ว แต่ยังหาโอกาสปลดปล่อมมันออกมาไม่ได้
“ท่านจะถามว่าใต้เท้าหลงอาจคือหยางเสี่ยวเทียนใช่หรือไม่” หลินหยงแทรก ทำเฉินหยวนพยักหน้าตอบทันควันเมื่อเห็นว่าเขาก็คิดเช่นเดียวกันกับตน
“ท่านคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่”
“ข้าก็อยากให้เป็นดังท่านกับข้าคิดเช่นกัน เพียงแต่เราจะหาความจริงที่ว่านั่นได้จากไหนเล่า นอกจากคาดเดาไปเท่านั้น” หลินหยงกล่าว
“ข้าใคร่อยากให้เขาคือใต้เท้าหลงจริงๆ แม้ตอนนี้จะยังพิสูจน์มิได้ แต่…”
“แต่ แต่อะไรหรือ” เฉินหยวนรีบถามถึงข้อสงสัยเขา ด้วยอยากทราบให้สิ้นทุกอย่างที่อัดแน่นในอกอยู่เพลานี้
“แต่โอสถที่ใต้เท้าหลงนำมาขายให้ทางสมาคมล่าสุด คือโอสถขั้นเซียนเทียนระดับสวรรค์กับนิรันดร์ ซึ่งเราจะรีบตัดสินว่าเสี่ยวเทียนคือใต้เท้าหลง เพียงเพราะโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ไม่ได้ ท่านก็เห็นการแข่งขันวันนี้แล้ว” หลินหยงกล่าวถึงข้อสันนิษฐานตน ที่เพิ่งนึกถึงเรื่องวันนี้ได้
ซึ่งคำพูดนี้ก็เริ่มทำให้เฉินหยวนพอได้คลายสงสัย แต่กลับมีสิ่งหนึ่งนึกขึ้นมาในหัว ว่าทั้งจวนแลทักษะการหลอมโอสถของเขา อาจเป็นไปได้ไมว่า ใต้เท้าหลงรับหยางเสี่ยวเทียนเป็นศิษย์และจวนนี้ก็เป็นของเขา ซึ่งใช้หยางเสี่ยวเทียนเป็นผู้ดูแลบังหน้าให้
สุดท้าย เฉินหยวนก็สลัดข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ของตนทิ้งไปในหัว ด้วยมันเริ่มสลับซับซ้อนจนพานให้เขาปวดเศียร ทั้งยังเป็นการคาดเดาที่แปลกประหลาดซึ่งหากกล่าวออกไปให้หลิงหยงฟัง เขาอาจคิดว่าตนใกล้วิกลจริตเต็มประดา
ถึงเรื่องที่คาดเดาว่าหยางเสี่ยวเทียนคือใต้เท้าหลงจะคลายกังวลไปได้ แต่เรื่องจวนอันกว้างใหญ่ดูร่ำรวยนี้สิ มันยังคาใจเขามิคลายอยู่ว่าจะเป็นสาเหตุใดได้บ้าง นอกเสียจากเรื่องบ้าๆ ที่ตนกำลังคิดอยู่นี้
ครั้นทั้งคู่เปลี่ยนอารมณ์ที่แตกต่างกันเป็นเสียดาย ด้วยใคร่ให้มันคือเรื่องจริง เพราะหากเป็นเช่นนั้น อำนาจแลชื่อเสียงของสำนักเสินเจี้ยนคงได้ดังกังก้องไปทั้งใต้หล้า และไม่มีผู้ใดไม่อยากเข้าร่วมหรือเป็นแรงสนับสนุนให้กับสำนักอันทรงเกียรติ
จวบจนกระทั่งดึก เฉินฉางชิง เหอเล่อ เริ่นเฟยเสวี่ยและคนอื่นๆ ถึงกลับออกจากจวนของหยางเสี่ยวเทียนไปยังตำหนักกระบี่ เพื่อศึกษาวิถีกระบี่สูงสุดต่อเฉกเช่นที่เคยทำมา
ไม่นาน หลังจากกลุ่มผู้อาวุโสทั้งห้ากลับไป อูฉีก็พาศิษย์ทั้งห้าของตนมาพบหยางเสี่ยวเทียนที่เรือนหลัก
ทันใดนั้น พวกเขาก็โค้งคำนับต่อหยางเสี่ยวเทียนด้วยความนับถือจากใจจริง แล้วกล่าวว่า “อูฉีและบรรดาลูกศิษย์ ขอติดตามนายน้อยตลอดไปตราบชั่วชีวิต!”
“ข้ายอมเป็นม้ารับใช้และทำงานหนักเพื่อนายน้อย!” อูฉีกล่าว น้ำเสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น
หลิวอันและอีกสี่คนก็โค้งคำนับแล้วกล่าวพร้อมกันว่า “ข้ายอมเป็นม้ารับใช้และทำงานหนักเพื่อนายน้อย”
หยางเสี่ยวเทียนมองยังอูฉีและบรรดาศิษย์ที่โค้งคำนับต่อเขาอยู่เบื้องหน้า เพลานี้ เขารับรู้ได้ในทันทีว่าทั้งหกคนเต็มใจยอมจำนนต่อเขาอย่างบริสุทธิ์จริง
แม้ก่อนหน้านี้ อูฉีและบรรดาศิษย์จะกล่าวว่าเต็มใจหลอมโอสถให้เขาเป็นเวลาสิบปีจริง แต่ในใจพวกเขายังไม่แสดงให้เห็นถึงความซื่อตรงสัตย์จริง ที่พร้อมใจจะติดตามเขา ซึ่งแตกต่างจากตอนนี้
เขาเอื้อมมือออกไปพยุงร่างอูฉีและบรรดาศิษย์ให้ลุกขึ้น จากนั้นจึงหยิบยาออกมาหกเม็ด พร้อมบอกพวกเขาว่านี่เป็นยาพิษควบคุม และให้พวกเขากลืนยาเหล่านี้หากต้องการติดตามเขาจริงๆ
แม้นอูฉีและบรรดาศิษย์ จะกล่าวด้วยความเต็มใจว่าพร้อมให้การสนับสนุนต่อเขา แต่หยางเสี่ยวเทียนก็ต้องการให้พวกเขายอมจำนนอย่างแท้จริง
ไม่มีใครเอาหัวเป็นประกันได้ว่า อูฉีและบรรดาศิษย์จะคิดคดทรยศต่อเขาหรือไม่ หากได้รู้ว่าในกายเขามีกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ตงเทียนอยู่
อย่างไรก็ตาม กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ตงเทียนนั้น เป็นหนึ่งในสิบกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีเพียงสิบเล่มในยุทธภพเท่านั้น
อูฉีมองไปยังดวงตาอันเต็มไปด้วยความหนักแน่นของหยางเสี่ยวเทียน ก็พลันเกิดความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง