ตอนที่ 9: เก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ เรือข้ามฟากต้าเฉียว
ตอนที่ 9: เก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ เรือข้ามฟากต้าเฉียว
หลังจากฉู่อี้เก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุแล้วจึงค้นตัวเหรินเหล่ากับปี้เจิง
ในที่สุด เขาจึงพบตั๋วเงินสิบตำลึงหนึ่งกอง ใบไม้ทองสองสามใบกับตำราลับวิทยายุทธ์สองเล่ม
“วิชาค้างคาวเหล็ก”
“วิชากระบี่ใบไม้ร่วงโรย”
ฉู่อี้นับตั๋วเงินก่อนจะพบว่าจำนวนเงินสดที่กระจัดกระจายในวันนี้อยู่ที่ประมาณเก้าร้อยตำลึง
มีใบไม้ทองรวมทั้งสิ้นห้าใบ พวกมันถูกหลอมโดยยอดฝีมือในเขตที่อยู่ใต้อาณัติของราชันอู่เป็นการส่วนตัว ต่อให้ไม่ถูกหลอมโดยขุนนางก็ยังสามารถนำไปหมุนเวียนได้ ซึ่งหนึ่งใบเทียบเท่าเหรียญเงินหนึ่งร้อยตำลึง
โดยรวมแล้ว ฉู่อี้ได้รับหนึ่งพันสี่ร้อยตำลึงจากการเดินทางในครั้งนี้
เงินจำนวนมหาศาลนี้เพียงพอที่จะซื้อถนนในเมืองหลิงโซ่วซึ่งอยู่ห่างออกไปสามร้อยลี้
ต่อให้เป็นหนึ่งในสามผู้มีอำนาจของโถงคุมกฎ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ต้องพกเงินจำนวนมากติดตัวในวันธรรมดาแบบนี้
ฉู่อี้ครุ่นคิดสักพัก จากนั้นจึงนึกถึงคำพูดของคนแบกไม้คาน ขอแค่จ่ายเงินก็สามารถขึ้นเขาเพื่อร่วมงานเลี้ยงได้
ดังนั้นเงินจำนวนนี้น่าจะเป็นเงินสำรองที่เหรินเหล่าหามาด้วยการพึ่งอำนาจที่อยู่ในมือ
ฉู่อี้อดไม่ได้ที่จะสบถเมื่อคิดถึงตรงนี้
“หาเงินได้มากขนาดนี้ คิดว่าเจ้าตายแล้วจะได้ใช้หรือไง!”
ต้องทราบก่อนว่าแม้แต่ตอนมู่อวิ๋นไห่ยังได้รับการยกเว้นจนมีเงินเดือนที่สูงขึ้นหลังจากกลายเป็นมหาปรมาจารย์ ซึ่งมาตรฐานของมันยังอยู่แค่สามร้อยตำลึงต่อปีเท่านั้น
ฉู่อี้คิดว่าสามร้อยตำลึงไม่สามารถนำไปใช้หมดได้ อีกทั้งยังรู้สึกละอายใจหากเก็บเอาไว้มากเกินไป
สรุปแล้ว รายได้ที่เหรินเหล่าได้รับในหนึ่งวันเทียบเท่ากับของเขาในห้าปี
เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่ามีเพียงหนูตัวใหญ่อย่างเหรินเหล่าเพียงตัวเดียวในโถงคุมกฎ
แม้กระทั่งคนแบกไม้คานยังทราบว่าเหรินเหล่าสามารถซื้อได้ด้วยเงิน จึงไม่มีเหตุผลที่คนอื่นในเขากระบี่ผงาดจะไม่ทราบ
เหตุผลที่ไม่มีการโต้แย้งอาจเป็นเพราะพวกเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อคิดเช่นนี้ ฉู่อี้พลันรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
เป็นเรื่องยากนักที่เขาจะจินตนาการได้ว่าคนเหล่านี้ในวัยเด็กใช้ชีวิตสะดวกสบายแค่ไหนที่ได้ใช้จ่ายเงินบนความทุกข์ยากของผู้อื่น
ฉู่อี้เก็บตั๋วเงินกับใบไม้ทองขณะสายตาจับจ้องมายังตำราลับสองเล่ม
เขาคุ้นเคยกับ "วิชากระบี่ใบไม้ร่วงโรย" ซึ่งเหมือนกับ "วิชากระบี่วายุกระจ่าง" ที่เคยฝึกฝน ซึ่งมันรู้จักในชื่อสองวิชากระบี่หลักของเขากระบี่ผงาด
สิ่งที่ต่างกันคือวิชากระบี่วายุกระจ่างเน้นที่ความคล่องตัว ซึ่งปกติจะใช้กับกระบี่ที่สั้นและยืดหยุ่นเพื่อขับเน้นไปที่ “ความเร็ว”
ในทางกลับกัน วิชากระบี่ใบไม้ร่วงโรยถือเป็นขั้วตรงข้ามซึ่งเน้นที่พละกำลังมหาศาลและเหมาะสำหรับกระบี่ที่ยาวและหนักเพื่อขับเน้นไปที่ “ความหนักแน่น”
ส่วนอันสุดท้ายอย่าง "ความแม่นยำ" ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนอย่างหนักทั้งวันทั้งคืน
ฉู่อี้รู้วิธีฝึกฝนวิชากระบี่ใบไม้ร่วงโรยอยู่แล้ว แต่เพราะกระบวนท่าที่บ้าบิ่นไม่เหมาะกับเขาเท่าไหร่ ทำให้ต้องตัดใจในตอนแรก
แม้ตอนนี้จะมีพลังงานเหลืออยู่บ้าง แต่เขายังไม่พร้อมที่จะหยิบมันขึ้นมาอีกครั้ง
หากไม่ต้องฝืนเกินตัว วิชากระบี่วายุกระจ่างย่อมเกินพอแล้ว
ในทางตรงกันข้าม ฉู่อี้กลับมีความสนใจใน "วิชาค้างคาวเหล็ก" มากกว่า
มันคือวิทยายุทธ์ที่ผสมผสานการเคลื่อนไหวและการป้องกันเข้าด้วยกัน
แต่ในความทรงจำของฉู่อี้ เขากระบี่ผงาดไม่เคยรวบรวมวิทยายุทธ์เช่นนี้
ดังนั้น วิชาค้างคาวเหล็กน่าจะเป็นสิ่งที่เหรินเหล่าเก็บไว้เอง
เขาถือมันไว้ในอ้อมแขนขณะวางแผนการฝึกฝนหลังจากชดเชยข้อบกพร่องเสร็จเรียบร้อย
หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ฉู่อี้จึงมองศพทั้งสองและอยากเผาทิ้งในทันที กระนั้นกลับใคร่ครวญได้ว่าเปลวไฟสามารถดึงดูดผู้คนได้
แบบนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เอาได้
เขาครุ่นคิดสักพัก จากนั้นจึงหยิบกระบี่ของปี้เจิงขึ้นมาแล้วฟาดฟันใส่ทั้งสองด้วยมืออีกข้าง
ผ่านไปสักพัก รอยกระบี่ที่หลงเหลือจากการสังหารทั้งสองก่อนหน้านี้ของฉู่อี้จึงถูกปกปิดเอาไว้
เขาขุดหลุมขนาดใหญ่แล้วฝังคนกับกระบี่ไปพร้อมกันเหมือนอย่างทุกครั้ง
ในคืนนั้น ฉู่อี้ออกจากช่องทางแม่น้ำพิทักษ์ขุนเขาขณะรีบวิ่งไปยังเรือข้ามฟาก
เรือข้ามฟากต้าเฉียว
มีตลาดกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณนี้ โดยส่วนใหญ่คนในหมู่บ้านใกล้เคียงจะมาซื้อขายของใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงยังมีตลาดสำหรับซื้อปลาโดยเฉพาะ
ในการข้ามฟากแต่ละครั้งจะมีสมาชิกกลุ่มประจำคอยรวบรวมปลาในราคาถูกจากชาวประมงแล้วขนส่งไปยังเมืองหรือหมู่บ้านที่อยู่ไม่ใกล้แม่น้ำเพื่อขาย มันเป็นการผูกขาดธุรกิจขายปลาอย่างแท้จริง
ทั้งหมดนี้ได้รับการอนุมัติโดยปริยายจากเขากระบี่ผงาด ส่วนผู้รับผิดชอบการซื้อขายปลามักเป็นสมาชิกตระกูลอย่างศิษย์ พ่อบ้านและผู้อาวุโสประจำเขากระบี่ผงาด
พวกเขาผู้ได้รับพรจากเขากระบี่ผงาดมักต้องจ่ายเงินให้กับที่นี่เพื่อรับส่วนแบ่งดังกล่าว
ส่วนกลุ่มที่ประจำการที่เรือข้ามฟากต้าเฉียวคือสาขาภายใต้ชื่อ “กลุ่มชิงเฉา” ในเขตเมืองหลิงโซ่ว
ฉู่อี้เดินไปเรือข้ามฟากขณะมองไปตามแม่น้ำ ไม่ช้าจึงพบเรือไม้เก่าหลายลำอยู่ที่ท่า พวกมันถูกปกคลุมด้วยชั้นกันสาดเป็นวงกว้าง ทำให้ยากที่จะเห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างใน
หลังจากเข้าไปใกล้ ไม่ช้ากลิ่นดินฉุนจึงเตะจมูกก่อนจะผสานเข้ากับกลิ่นเหงื่อ ปัสสาวะและอุจจาระ
เรือไม้ถูกมักด้วยเชือกกับเสาไม้เพื่อป้องกันไม่ให้ลอยออกไป
ผู้ที่นั่งอยู่บนเสาไม้คือชายร่างจ้ำม่ำผู้มีใบหน้าอวบอิ่มไม่สวมเสื้อผ้า บริเวณช่วงแขนมีรอยสักสีครามคล้ายบุปผา อีกทั้งภายในปากยังมีบางสิ่งคล้ายกับปลาแห้งชิ้นเล็กอยู่ด้วย
ทันทีที่เห็นฉู่อี้ผู้กำลังเข้ามาในสภาพแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูมีฐานะ
ดวงตาของผู้ชายทอประกายก่อนจะพ่นปลาแห้งที่เสียรสชาติออกจากปาก จากนั้นจึงเริ่มเป็นฝ่ายเข้าไปทักทาย
“คุณชาย ท่านอยากเข้าเมืองหรือ?”
ฉู่อี้พยักหน้าขณะมองเรือไม้แล้วเอ่ยคำ "ข้าไม่ชอบร่วมทางกับผู้อื่นเท่าไหร่"
"เรื่องนี้ข้าเข้าใจ"
รอยยิ้มบนใบหน้าของชายร่างจ้ำม่ำยิ่งกว้างขณะแนะนำตัวเอง "ข้าคือผู้ดูแลเรือข้ามฟากต้าเฉียว ท่านจะเรียกข้าว่าเจ้าอ้วนจางก็ได้ ข้าสามารถตอบสนองทุกสิ่งที่คุณชายต้องการได้ ขอเพียงแค่ เหอะเหอะ... จ่ายอย่างเหมาะสม"
เจ้าอ้วนจางลูบนิ้วขณะเอ่ยคำ ความหมายของมันตรงไปตรงมา
ฉู่อี้พยักหน้าพลางสะบัดแขน แล้วเหรียญเงินสองตำลึงจึงทะยานออกจากแขนเสื้อ ก่อนจะตกลงในมือของอีกฝ่ายอย่างมั่นคง
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าอ้วนจางจึงพบว่าฉู่อี้มีพลังภายในซึ่งน่าจะอยู่ขอบเขตสวรรค์ประทานเป็นอย่างน้อย
สีสันแปลกประหลาดใจดวงตาของเขาหายไป แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าคล้ายกับจริงใจมากขึ้น
“ข้าพร้อมจ่ายเหรียญเงินไม่อั้น ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่ามีความสามารถ”
“พูดน่ะมันง่าย พี่ชายของข้าคือศิษย์พี่จางเทียนฮว่าจากสำนักชั้นใน ส่วนลุงของข้าคือพ่อบ้านจางจากสำนักชั้นนอก ท่านสามารถสอบถามเกี่ยวกับชื่อตระกูลจางได้” เจ้าอ้วนจางมีสีหน้าภาคภูมิขณะมองซ้ายขวาแล้วเอ่ยคำอย่างแผ่วเบา "คุณชายคงยังไม่ทราบ ที่ฉู่อี้เป็นที่ต้องการทั้งนอกและในเขตเป็นเพราะฝีมือโดยพวกข้าเช่นกัน"
หืม?
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของฉู่อี้ก็เริ่มแปลกประหลาด
เจ้าอ้วนจางคิดว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อ เขาจึงเอ่ยคำอย่างจริงจัง "คุณชายคิดดูสิ ฉู่อี้ที่เสียแขนไปแล้วจะว่ายน้ำออกไปเองได้อย่างไร? หมายความว่าต้องมีบางตระกูลรับเงินเพื่อพาเขาออกไปแน่”
“มีเหตุผล” ฉู่อี้พยักหน้าแล้วเสริมคำ “หากคนแขนขาดลงน้ำแล้วยังไม่จม แสดงว่าฝีมือต้องร้ายกาจไม่เบา”
เจ้าอ้วนจางเผยสีหน้ายินดีหลังจากอีกฝ่ายเห็นพ้องด้วย
“คุณชายช่างสายตาเฉียบแหลมนัก เช่นนั้นข้าจะไม่ปกปิดท่านเช่นกัน อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ หากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านพบเจอใครที่แขนขาดหรือแขนผิดรูปผิดร่างก็สามารถจับมัดขึ้นเขาเพื่อแลกเป็นเหรียญเงินตำลึงได้ นี่คือความมั่งคั่งที่สวรรค์ประทานให้”
ฉู่อี้ตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าเขากระบี่ผงาดจะทุ่มเทกับการตามหาเขามากขนาดนี้
หากไม่ใช่เพราะ "เคล็ดน้ำพุวิญญาณเขาหิมะ" ที่ซ่อมแซมแขนที่ขาดให้ เกรงว่าแม้จะหลบหนีออกจากเขากระบี่ผงาดได้เพราะโชคช่วย เขาก็ไม่สามารถหลบหนีจากกับดักดังกล่าวได้