ตอนที่ 8: ออกจากถ้ำ เหรินเหล่ากับดาบในมือ
ตอนที่ 8: ออกจากถ้ำ เหรินเหล่ากับดาบในมือ
ฉู่อี้เก็บทุกอย่างเรียบร้อยและเตรียมจะออกไป
ในช่วงยี่สิบวันที่ผ่านมา เขาได้สำรวจทางออกอื่นของถ้ำเอาไว้แล้ว
แต่กลายเป็นว่าเส้นทางเดิมของที่นี่ถูกปิดกั้นเอาไว้ หาไม่แล้วเขาคงไม่ได้ค้นพบสถานที่ดังกล่าวในวันนี้
หากต้องการออกไปก็มีแต่กลับไปทางเดิมเท่านั้น
ตอนนี้แขนของฉู่อี้ฟื้นคืนกลับมาพร้อมกับพละกำลังขอบเขตสวรรค์ประทาน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะว่ายทวนกระแสน้ำ
จากนั้น เขามาที่สระเย็นเยือกแล้วกระโดดลงไปเหมือนกับผีน้ำอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้มีทั้งมือและเท้า
…
สิบห้านาทีต่อมา
ใต้ถนนหนานเหอ ด้านข้างหมู่บ้าน
ฉู่อี้ “โผล่” ขึ้นมาแล้วว่ายออกจากน้ำ จากนั้นขับไล่ไอน้ำออกจากร่างกายด้วยพลังภายใน ขณะเดียวกันก็ทำให้คราบน้ำบนร่างกายแห้งเหือด
เมื่อหันหน้าไปทางแม่น้ำ ในที่สุดเขาจึงมองเห็นรูปลักษณ์ในตอนนี้ได้อย่างชัดเจน
ผมยาวที่เดิมเป็นสีขาวราวหิมะกลายเป็นสีดำมันเงาอีกครั้งหลังจากฝึกฝน “เคล็ดน้ำพุวิญญาณเขาหิมะ”
ในเวลาเดียวกัน เค้าโครงใบหน้ากับอารมณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
เนื่องจากแขนพิการ ฉู่อี้จึงมักไว้หนวดเครายาวจนปกคลุมใบหน้า เห็นได้ชัดว่าอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี แต่เพราะมีผมสีขาวจึงทำให้ดูเหมือนชายชราอายุหกสิบปี
แต่หลังจากดูแลอย่างง่ายกับผลข้างเคียงจากการฝึกฝน
เขาในตอนนี้ให้ความรู้สึกอ่อนโยนและสง่างามกับผู้อื่น แม้เสื้อผ้าจะเรียบง่าย กระนั้นยังไม่อาจปกปิดรูปลักษณ์ดูดีได้แม้แต่น้อย
“เกรงว่าลั่วอวี่อาจจะจำข้าไม่ได้ตอนเจอหน้ากันอีกครั้ง”
ฉู่อี้แย้มยิ้มขณะถอดเสื้อคลุมออก จากนั้นใช้พลังภายในบริเวณฝ่ามือเพื่อบดขยี้มัน
เขามองบ้านที่อยู่ใกล้เคียงแล้วสุ่มเลือกหลังที่มีอิฐสีฟ้าซึ่งดูมีฐานะมั่นคง จากนั้นจึงกระโดดเข้าไป
ไม่ช้า
ฉู่อี้สวทเสื้อคลุมสีม่วงอ่อนเรียบง่าย ก่อนออกมายังไม่ลืมที่จะทิ้งเหรียญเงินสามตำลึงเพื่อเป็นค่าชดเชย ซึ่งมันเป็นจำนวนที่มากกว่าราคาตลาดของเสื้อผ้าอย่างน้อยสิบเท่า
แน่นอนว่าเขาสามารถปล้นชิงอย่างโจ่งแจ้งได้
แต่ถ้าทำแบบนั้น ฉู่อี้จะต้องมั่นใจเรื่องการฆ่าปิดปากเสียก่อน
หาไม่แล้ว ทันทีที่เจ้าของบ้านหลังนั้นส่งเสียงขึ้นมา มันจะนำปัญหาที่ไม่จำเป็นมาสู่เขาได้
หน้าที่ของเงินคือทำให้สิ่งเน่าเฟะลงไปในท้อง
ฉู่อี้รีบรุดไปสู่ความยุติธรรม ขณะเคลื่อนผ่านป่าลูกท้อก็หยิบกิ่งก้านบางส่วนมาเหลาเป็นกระบี่ไม้ลูกท้อชั่วคราวก่อนจะติดไว้ที่แขน
แบบนี้จึงสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของเขาในฐานะคุณชายขี้เล่นมากกว่า
ไม่ไกลกันนั้น ฉู่อี้เห็นคนแบกดาบกับไม้คานไว้บนหลังขณะเดินขึ้นไปตามถนนภูเขา เห็นได้ชัดว่ากำลังเตรียมตัวที่จะมุ่งหน้าสู่เขากระบี่ผงาด
เขาเร่งฝีเท้าก่อนจะรีบมาหยุดคนแบกไม้คานเอาไว้
ก่อนอีกฝ่ายจะทันได้แสดงสีหน้าหงุดหงิดก็เห็นเหรียญจำนวนหนึ่งถูกยื่นเข้ามาพร้อมกับคำขอให้ใจเย็น คนแบกไม้คานจึงผ่อนคลายก่อนจะเอ่ยถามอย่างสุภาพ
“คุณชายท่านนี้ มีธุระอะไรกับข้าหรือ?”
“ข้าสังเกตเห็นกลิ่นหอมของสุราที่ติดอยู่ตรงไม้คานของท่าน ตัดสินจากทิศทางที่กำลังมุ่งหน้าไป หรือว่าจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นที่เขากระบี่ผงาด?”
เมื่อคนแบกไม้คานได้ยินคำถามนี้จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเก็บแผ่นทองแดงไว้ในกระเป๋าอย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยคำ "เจ้าขุนเขามู่กลายเป็นมหาปรมาจารย์เมื่อครึ่งเดือนก่อน ทำให้มีการจัดงานเลี้ยงเป็นเวลาสามวันนับตั้งแต่เมื่อวานเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับแขกจากทั่วทุกสารทิศ"
ฉู่อี้เอ่ยคำติดตลกเมื่อได้ยินเช่นนี้ "ท่านมาที่นี่ในฐานะแขกเหมือนกันหรือ?"
“ข้าจะไปมีศักดิ์ศรีขนาดนั้นได้อย่างไร” คนแบกไม้คานโบกมือแล้วเอ่ยคำด้วยรอยยิ้ม “คนใหญ่โตเลี้ยงสุราอาหารเพียงพอ ทำให้คนอย่างข้าสามารถหาเลี้ยงชีพได้”
ขณะเอ่ยคำ เขามองฉู่อี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า หลังจากเห็นฝักกระบี่ที่เผยออกมาจากอ้อมแขนก็บังเกิดความเข้าใจแล้วเอ่ยคำ "คุณชายน่าจะเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์ หากท่านสนใจก็สามารถไปลงทะเบียนกับผู้อาวุโสเขากระบี่ผงาดที่อยู่ด้านล่างได้ ขอเพียงจ่ายเงินบางส่วน ย่อมสามารถขึ้นเขาเพื่อแสวงหาโชคลาภได้”
“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากฉู่อี้เอ่ยคำจบจึงหันหลังแล้วเดินไปที่ตีนเขา
คนแบกไม้คานยังคงขึ้นเขาโดยไม่สนใจเหตุการณ์ในวันนี้มากนัก
ถึงอย่างไรเขากระบี่ผงาดก็เป็นสำนักขนาดใหญ่ที่มีรัศมีหลายพันลี้ หลายคนทุ่มเงินไปกับการรวบรวมข้อมูลเพื่อพยายามหาทางเข้าประตูขุนเขา
สำหรับพวกเขา มันคือแหล่งรายได้เพิ่มเติม
อีกด้านหนึ่ง
ฉู่อี้เดินลงเขาไปตามทางขณะนึกถึงสิ่งที่คนแบกไม้คานพูด มู่อวิ๋นไห่ทะลวงสู่มหาปรมาจารย์แล้ว
สิ่งนี้เองที่ยุติความคิดที่เขาจะกลับสู่เส้นทางเดิมในทันที
ประการแรก ฉู่อี้เคยเป็นมหาปรมาจารย์มาก่อน ทำให้ทราบถึงช่องว่างระหว่างปรมาจารย์กับมหาปรมาจารย์
ตอนนี้เขามีความมั่นใจในการสังหารปรมาจารย์แล้ว
แต่ถ้าเป็นการเผชิญหน้ากับมหาปรมาจารย์ หากอาศัยเพียงพลังของสวรรค์ประทาน โอกาสที่จะถูกมู่อวิ๋นไห่สังหารด้วยแสงกระบี่ย่อมสูงจนน่าสะพรึง
แต่ในเมื่อตอนนี้มี “เคล็ดน้ำพุวิญญาณเขาหิมะ” แล้ว รอให้เขาฟื้นคืนความแข็งแกร่งกลับมาเต็มที่แล้วค่อยสังหารก็ยังไม่สาย
ประการที่สอง ถึงอย่างไรมู่อวิ๋นไห่ก็เป็นมหาปรมาจารย์ที่หาได้ยากในเขตฉางซาน
ในเวลาเดียวกันเขาถือว่าเป็นสุนัขซื่อสัตย์ที่ได้รับการเลี้ยงดูจากคฤหาสน์ของผู้ว่าเขตเช่นกัน
ของขวัญการทะลวงของมู่อวิ๋นไห่น่าจะดึงดูดคนจากสำนักงานผู้ว่าเขตให้ออกมา ซึ่งมันไม่ง่ายเหมือนกับการเป็นมหาปรมาจารย์
ฉู่อี้ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียก่อนจะละทิ้งความคิดที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น
ในตอนนี้ เสียงที่คุ้นเคยจึงดังขึ้นมาจากด้านหน้าฉู่อี้
“ท่านผู้ช่วยผู้ว่าเขตบอกว่าหากยังไม่เห็นศพของฉู่อี้ก็ห้ามประมาทเป็นอันขาด หากข้ากลับไปถึงเมื่อไหร่จะถ่ายทอดคำสั่งให้เพิ่มจำนวนศิษย์ปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละเขตเป็นสองเท่า!”
“เหรินเหล่า ศิษย์บางส่วนมีท่าทีไม่เห็นด้วย… เกรงว่าหากยังเพิ่มจำนวนต่อไป ศิษย์บางคนจะต้องสมัครใจออกจากสำนักเป็นแน่”
อีกเสียงพลันดังขึ้น
ฉู่อี้จำได้ว่าคนผู้นั้นเคยเป็นพ่อบ้านจากโถงคุมกฎ ปี้เจิง
เมื่ออายุยังไม่มาก แต่กลับชอบทำงานในค่ายมากที่สุดและทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อีกทั้งเป็นหนึ่งในสมุนมือดีที่สุดที่อยู่ใต้อาณัติของสามผู้อาวุโสคุมกฎ
มันจึงคู่ควรกับ “ช่วงชิง (ปี้เจิง)” ตามความหมายของชื่อ
ทุกวันนี้ แม้กระทั่งคนอย่างปี้เจิงยังกังวลว่าแนวคิดกดดันสูงของโถงคุมกฎจะกระตุ้นให้เกิดการกบฏในหมู่ศิษย์ มันแสดงให้เห็นว่าโถงคุมกฎบ้าคลั่งกับการตามหาฉู่อี้มากแค่ไหน
“เป็นเหรินเหล่านี่เอง ตอนแรกก็ไม่อยากไปหาเจ้าก่อนหรอก แต่สุดท้ายกลับมาปรากฏตรงหน้าเสียได้...”
ฉู่อี้หรี่ตาก่อนจะค่อยชักกระบี่ไม้ลูกท้อออกมา แล้วอำนาจกระบี่จึงมารวมตัวอย่างรวดเร็ว
เหรินเหล่ากับปี้เจิงไม่ทราบถึงอันตรายในเงามืด
เมื่อเผชิญกับความกังวลของปี้เจิง เหรินเหล่าเพียงยิ้มเยาะแล้วเอ่ยคำ "ตอนนี้เจ้าขุนเขาทะลวงสู่มหาปรมาจารย์แล้วจนได้รับความเคารพจากท่านผู้ว่าเขต มันอยู่ที่เวลาเท่านั้นที่พวกเราเขากระบี่ผงาดจะกลายเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตฉางซาน”
“ตอนนี้มีผู้คนจำนวนมากที่ต้องการสักการะบริเวณประตูขุนเขา เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด ศิษย์เหล่านั้นมันก็แค่พวกน่ารังเกียจ ปกติทำได้เพียงคร่ำครวญไม่กี่คำ หากกล้าฝ่าฝืนกฎก็จะถูกขับออกไปทันที ข้าอยากรู้นักว่าใครจะกล้ารับศิษย์ผู้ไม่เป็นที่ต้องการจากเขากระบี่ผงาดกัน!”
"ข้า!"
น้ำเสียงราบเรียบพลันดังขึ้นในใจประหนึ่งภูตผีที่ไม่มีการแจ้งเตือน ทำให้เหรินเหล่ากับปี้เจิงตกตะลึง
เหรินเหล่าผู้อยู่ขอบเขตปรมาจารย์ตอบสนองก่อนพร้อมชักกระบี่ออกมา จากนั้นจึงเอ่ยคำอย่างเย็นชาพร้อมกับคลื่นอำนาจกระบี่ที่พวยพุ่ง
“ใครที่มาทำตัวโอหังบนเขากระบี่ผงาดของข้า จงไสหัวไปเสีย!”
ทันทีที่สิ้นคำ แสงกระบี่ไร้ที่ติจึงทะยานผ่านอากาศ แล้วกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของใบลูกท้อจึงอบอวลไปทั่ว
แสงกระบี่นี้ทั้งรวดเร็วและทรงพลังยิ่ง
ยามทั้งสองเข้าปะทะ มันกลับไม่มีฉากที่แสนอลังการก่อนกระบี่ของเหรินเหล่าจึงถูกบดขยี้ทันที
ฉัวะ!
เส้นโลหิตเด่นชัดปรากฏบนคอของทั้งสอง
เหรินเหล่ากับปี้เจิงต่างถอยหลัง
“วิชากระบี่วายุกระจ่าง เจ้าคือ...”
เมื่อกำลังถึงแก่ความตาย แขนของเหรินเหล่ายังคงดิ้นรนขัดขืนราวกับต้องการจดจำตัวตนของฆาตกรเอาไว้
แน่นอนว่าฉู่อี้ไม่มีทางทำผิดพลาดในระดับโง่เง่าเช่นนี้
เขายกฝ่ามือขึ้นขณะความหนาวเย็นผสานเข้ากับพลังภายใน ไม่ว่าเคลื่อนผ่านที่ใด หยดโลหิตที่สาดกระเซ็นจึงสูญสลายในทันที
ร่องรอยของปราณกระบี่ที่ยังหลงเหลืออยู่ในอากาศถูกกวาดล้างครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน
ฉู่อี้ต้องยอมรับว่าเคล็ดน้ำพุวิญญาณเขาหิมะยังมีความสามารถในการเปลี่ยนความเสื่อมโทรมให้กลายเป็นความมหัศจรรย์ในด้านการชะล้างและการตกแต่ง