ตอนที่ 3: ทำความสะอาดประตู ได้รับบาดเจ็บและลงเขา
ตอนที่ 3: ทำความสะอาดประตู ได้รับบาดเจ็บและลงเขา
ขาพิฆาตกระบี่เป็นวิชาเลียนแบบการเตะที่ฉู่อี้สร้างขึ้นด้วยการผสาน “ขาคมขวาน” ที่ทรงพลังที่สุดกับ “ขาทลายประตู” ที่รวดเร็วที่สุดจากวิชาหมัดมากมายซึ่งรวบรวมอยู่ในเขากระบี่ผงาด
แม้ว่าจะไม่มีแขน แต่อย่างน้อยยังมีขาที่สามารถใช้วิชากระบี่อันประณีตได้
แต่ความยากลำบากที่เขาต้องเผชิญระหว่างใช้ รวมถึงพลังอันดุเดือดของขาพิฆาตกระบี่ ทำให้ฉู่อี้ไม่เต็มใจที่จะใช้กระบวนท่านี้
เพราะเขาไม่อยากแปดเปื้อนเลือดของคนรู้จัก
แต่คนเหล่านี้ไม่นับว่าเขาเป็นพวกพ้องด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด
แคร้ก!
ลูกเตะจากขาข้างนี้ก่อให้เกิดคลื่นลมหนักขณะบีบอัดอากาศแล้วผลักไปข้างหน้า จากนั้นจึงตกกระทบไปบนกระบี่ของหลี่กวนเฉาก่อนจะกระจายไปที่แขนอย่างรวดเร็ว
ความเจ็บปวดรุนแรงคล้ายกับจะฉีกทึ้งแขนออกมา ทำให้หลี่กวนเฉาต้องยอมสละกระบี่
ทันทีที่เงยหน้า เขาจึงเห็นรองเท้าฟางเตะเข้ามาที่ใบหน้าอย่างแรง
ตอนนี้หลี่กวนเฉารู้ตัวดีว่าชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างไม่ต้องสงสัย ความมั่นใจบนใบหน้าจึงหายไปสิ้นก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าร้องขอความเมตตา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ารู้ตัวว่าผิด...”
“ใครเป็นศิษย์พี่ของเจ้าไม่ทราบ”
สีหน้าของฉู่อี้ไม่แปรเปลี่ยนขณะพื้นผิวแข็งกระด้างปรากฏบนฝ่าเท้าอย่างรวดเร็ว ไม่ช้ามันจึงถูกบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนจะมีวัตถุสีแดงและสีเหลืองจำนวนมากระเบิดทุกทิศทาง
"กวนเฉา!"
“ศิษย์พี่รอง!”
แม่และลูกสาวตระกูลลั่วที่อยู่ไกลออกไปมองร่างที่แน่นิ่งก่อนจะอุทานด้วยความตระหนก
“ฉู่อี้! เจ้ากล้าฆ่าศิษย์พี่รองของข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ดวงตาของลั่วซินเอ๋อร์แดงก่ำขณะกระบี่ถูกชักออกจากฝัก สภาพไม่ต่างจากผู้ที่เตรียมจะต่อสู้แลกเป็นแลกตาย
นางรีบเลี่ยงเหล่าศิษย์ทั้งหลายก่อนจะเข้าหาฉู่อี้พร้อมกระบี่ในมือ
ฉู่อี้เกิดรังเกียจผู้หญิงไร้สมองคนนี้จนถึงจุดที่ความรู้สึกนิ่งสงัดไม่ไหวติง
หากเขายอมรับว่าอีกฝ่ายคือศิษย์น้องหญิง เช่นนั้นคนผู้นี้ก็คือศิษย์น้องหญิง
แต่หากเขาไม่ยอมรับ เช่นนั้นคนผู้นี้ก็เป็นเพียงผู้หญิงโง่เขลา ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น
เมื่อเทียบกันแล้ว
ฉู่อี้เงยหน้ามองเหนือศีรษะ ทันใดนั้นกระบี่คมปลาบสามเล่มจึงเคลื่อนลงมาพร้อมกัน โดยทั้งหมดชี้ไปยังพื้นที่ต้องห้ามอย่างจุดฝังเข็มของเขา ดูจากสภาพแล้วน่าจะตั้งใจกำราบเขาให้อยู่หมัด
เขาอยู่ที่เขากระบี่ผงาดมานานจนคุ้นเคยกับวิธีจับกระบี่ของทุกคนเป็นอย่างดี เพราะอย่างนั้นมองเพียงปราดเดียวก็สามารถรับรู้ถึงตัวตนของผู้เคลื่อนไหวได้
“เทียน ตี้ เหริน (ฟ้า ดิน มนุษย์) ลืมแล้วหรือว่าข้าเคยตีพวกเจ้าด้วยมือข้างเดียว?”
เทียน ตี้ เหริน พวกเขาคือผู้อาวุโสคุมกฎประจำ “โถงคุมกฎ” แห่งเขากระบี่ผงาด
แต่ละคนมีพละกำลังอยู่ขอบเขตปรมาจารย์ โดยพวกเขาร่วมมือกันมาหลายปีจนบังเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้
อาจกล่าวได้ว่าภายในประตูขุนเขา มีเพียงเจ้าขุนเขาเท่านั้นที่สามารถกำราบการร่วมมือกันของสามคนนี้ได้
ฉู่อี้ทราบดีว่าไม่เคยทำให้พวกเขาขุ่นเคือง แต่เมื่อดูท่าทีจากคนเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจวางแผนจะฆ่าเขาทิ้ง
“ฉู่อี้ จำไว้ว่าเป็นเพราะเจ้าประกอบคุณงามความดีให้กับสำนัก ทำให้รอดพ้นจากโทษประหารแม้จะเกิดเรื่องในวันนี้ขึ้นก็ตาม”
เทียนเหล่าซึ่งเป็นหนึ่งในสามผู้อาวุโสคุมกฎเอ่ยคำอย่างเย็นชา "แต่ว่า เจ้าต้องตามพวกข้าไปโถงคุมกฎเพื่ออธิบายที่มาของความวุ่นวายครั้งนี้ให้ชัดเจน!"
“ใช่ ทุกสิ่งที่เจ้ามีต่างได้รับมาจากสำนัก”
ตี้เหล่าเอ่ยคำพลางเลียริมฝีปากล่าง "กระดูกกระบี่สามารถอยู่ในร่างของเจ้าได้ แต่นอกเหนือจากกระดูกกระบี่แล้ว เจ้าต้องคืนทุกสิ่งกลับมา"
มีเพียงเหรินเหล่าที่ยังคงเงียบ แต่การเคลื่อนไหวของเขาสอดประสานกับอีกสองคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร
สามผู้อาวุโสแห่งโถงคุมกฎล้วนอยู่ขอบเขตปรมาจารย์ เนื่องจากเป็นสักขีพยานว่าฉู่อี้เตะหลี่กวนเฉาผู้อยู่ขอบเขตสวรรค์ประทานจนตายแล้ว พวกเขาจึงตั้งใจแน่วแน่ที่จะเอาชนะลูกเตะลึกลับทรงพลังนี้
ฉู่อี้มองผู้อาวุโสทั้งสามที่กำลังใกล้เข้ามาด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างเคร่งขรึม
ด้วยวิชาที่เขาครอบครองอยู่ในตอนนี้ เกรงว่าคงรับมือปรมาจารย์ได้เพียงคนเดียว
แต่เมื่อเผชิญกับการโอบล้อมของปรมาจารย์สามคนพร้อมกัน ประกอบกับมีเพียงสองขาที่ใช้ได้ ทำให้ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้
"ในเมื่อเป็นแบบนี้ คงทำได้เพียงสู้เท่านั้น"
ราวกับฉู่อี้ตัดสินใจบางอย่างได้ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว จากนั้นจึงหลับตา
แรงกดดันที่มองไม่เห็นเพิ่มขึ้นภายในร่างกายอย่างรวดเร็ว!
ในทำนองเดียวกัน โลหิตบนใบหน้าค่อยเลือนหายราวกับทั่วร่างตกอยู่ในสภาวะอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในช่วงวิกฤตินั้นเอง!
ดวงตาของฉู่อี้พลันลืมขึ้น แล้วแสงสีขาวราวหิมะสองกลุ่มจึงทะยานออกไปขณะบรรจบกันจนเกิดเป็นกำแพงกั้นเพื่อรับมือกับคมกระบี่ทั้งสามจากล่างขึ้นบน
ตูม!!
พลังทั้งสองเข้าปะทะ ผู้ชนะถูกตัดสินกันเพียงเสี้ยววินาทีด้วยพลังอันท่วมท้น!
ปรมาจารย์ทั้งสามกระเด็นออกไปพร้อมกัน
ในหมู่พวกเขา เทียนเหล่ามีโลหิตไหลออกจากมุมปากขณะสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อและหวาดกลัว "นี่คือ... แสงกระบี่หรือ? เป็นไปได้อย่างไร นั่นมันเป็นวิชาของมหาปรมาจารย์!"
ฉู่อี้ฝืนทนต่อความเจ็บปวดสุดแสนจากอวัยวะภายในขณะยังคงรักษาสีหน้าสงบเอาไว้ได้
เขาหันศีรษะจนเห็นลั่วซินเอ๋อร์กำลังตรงเข้ามาพร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่
ทว่า ฉู่อี้ไม่ได้ดูหมิ่นผู้หญิงไร้สมองคนนี้อีกต่อไป
ใครเล่าจะไม่ชอบตัวประกันที่สมัครใจเข้ามาหาถึงที่?
เขาเงยหน้าพลางกระทืบเท้า ไม่ช้าลั่วซินเอ๋อร์กับกระบี่ถจึงกระแทกลงกับพื้น
ลั่วอวี่เจินเหรินผู้มองจากระยะไกลเห็นท่าไม่ดี จึงทำการยกแขนเสื้อพร้อมถือกระบี่ไว้ในมือเพื่อตั้งท่าจะพุ่งออกไปทุกเมื่อ
จากนั้นเสียงของฉู่อี้จึงลอยเข้าหูของนาง
“ท่านเจ้ายอดเขาลั่ว ข้าขอแนะนำท่านว่าอย่าลงมือบุ่มบ่ามจะดีกว่า หากไม่แล้ว คงเป็นการยากที่ข้าจะรับประกันความปลอดภัยของผู้หญิงคนนี้”
ฉู่อี้เหยียบลั่วซินเอ๋อร์ผู้หมดสติขณะเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงที่เย็นชากว่าทุกครั้ง
เขาไม่เรียกว่า "ท่านอาจารย์" อีกแล้ว
เพราะก่อนหน้านี้ ลั่วอวี่เจินเหรินเลือกที่จะปล่อยให้ลั่วซินเอ๋อร์ลงมือ ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่ลูกตระกูลลั่วจึงขาดสะบั้น
หากไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์ มันก็กลายเป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยนโดยปริยาย
สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองก็จงทำสิ่งนั้น
ยามเผชิญหน้ากับศิษย์อาวุโสผู้นี้ ลั่วอวี่เจินเหรินยังอยากโน้มน้าวเพื่อให้กลับมาคืนดี
แต่ฉู่อี้ทราบอยู่แล้วว่านางพยายามยับยั้งชั่งใจเอาไว้ อีกทั้งเขาไม่มีความตั้งใจจะมาพูดเรื่องความรักระหว่างแม่ลูกที่นี่
ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับถูกมารสิงสู่
ฉู่อี้ชำเลืองมองลั่วซินเอ๋อร์ผู้หมดสติ จากนั้นยกขาขึ้นเพื่อยกร่างดังกล่าวให้อยู่ระหว่างขาประหนึ่งกระดานหก ส่วนขาอีกข้างทำการเขย่งแล้วมุ่งหน้าไปนอกประตูขุนขาอย่างรวดเร็ว
น้ำเสียงเย็นชาของเขาดังก้องในอากาศ
“ใครตามข้ามา ตาย!”
เมื่อศิษย์ทั้งหลายเห็นร่างที่ยังอุ่นอยู่ของหลี่กวนเฉาอยู่ไกล จึงพากันตกตะลึงอยู่กับที่โดยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
ลั่วอวี่เจินเหรินยืนหยัดพร้อมกระบี่ขณะขมวดคิ้ว
นางอยากไล่ตาม แต่ก็กังวลว่าฉู่อี้จะทำเรื่องไม่ดีกับลั่วซินเอ๋อร์
การเป็นแม่ต้องเข้มแข็ง การเป็นแม่ต้องโอนอ่อน
แม้โอกาสรอดชีวิตของลั่วซินเอ๋อร์จะน้อยนิด แต่ลั่วอวี่เจินเหรินยังไม่อยากยืนยันว่าศิษย์ผู้คลุ้มคลั่งในตอนนี้จะกระทำเรื่องอุกอาจเช่นนั้นจริงหรือไม่
ในที่สุดผู้อาวุโสคุมกฎทั้งสามจึงฟื้นตัวขึ้นมา
แม้พวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่รากฐานยังไม่ได้รับความเสียหายและยังมีกำลังที่จะสู้ต่อได้
เหตุผลที่ไม่ลงมือก่อนหน้านี้เป็นเพราะกังวลว่าฉู่อี้จะยังสามารถควบคุมวิชาอื่นของมหาปรมาจารย์ได้
แต่ว่า การจากไปของอีกฝ่ายหลังจบการต่อสู้ทำให้พวกเขานึกถึงฉากที่ฉู่อี้ลงมือเมื่อครู่
เทียนเหล่าเป็นคนแรกที่ตอบสนอง "ฉู่อี้ถึงขีดจำกัดต่อสู้แล้ว! ศิษย์ทั้งหลายรับคำสั่ง จงไล่ล่าฉู่อี้ในทันที ไม่ต้องสนว่าเป็นหรือตาย!"
“ศิษย์น้อมรับคำสั่ง!”
แม้ศิษย์ทั้งหลายจะไม่เต็มใจยั่วยุวายร้ายอย่างฉู่อี้ แต่ความโหดเหี้ยมของผู้อาวุโสคุมกฎก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน
พวกเขาไม่อยากไปโถงคุมกฎ ดังนั้นจึงต้องกัดฟันแล้วลงเขาเพื่อออกล่า