ตอนที่ 2: เพื่อฉกฉวยกระดูกกระบี่ ศิษย์จึงโจมตีเข่นฆ่า
ตอนที่ 2: เพื่อฉกฉวยกระดูกกระบี่ ศิษย์จึงโจมตีเข่นฆ่า
เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่อี้ ใบหน้างดงามของลั่วอวี่เจินเหรินจึงแข็งทื่อในทันที
นางเปิดปากอธิบาย "ข้าไม่ได้..."
ฉู่อี้เข้าใจอารมณ์ที่ไม่เด็ดขาดของอาจารย์ และทราบอยู่แก่ใจว่าลั่วอวี่เจินเหรินไม่ใช่คนชั่วร้ายถึงเพียงนั้น
นางไม่เคยแสดงคำพูดไม่เห็นด้วยต่อศิษย์อาวุโสผู้พิการ อีกทั้งยังไม่ได้บอกว่าจะขับฉู่อี้ลงจากเขาเพราะเหตุนี้
เพียงแต่ ผู้คนมักต้องการสิ่งตอบแทนเสมอ
โดยเฉพาะคนที่เป็นเพียงผู้ให้มาโดยตลอด
วันนี้ลั่วซินเอ๋อร์ระบายความไม่พอใจออกมา เป็นเหตุให้ฉู่อี้หยุดคิดเรื่องที่จะอยู่เขากระบี่ผงาดได้อย่างสมบูรณ์
สุดท้าย ยามอ่อนแอจึงช่วยกันปกป้อง ยามมั่งมีจึงร้องขอทุกสิ่งที่ ยามโดดเดี่ยวจึงชี้แนะอย่างจริงใจ…
สุดท้ายกลับไม่หลงเหลือความเมตตา มีเพียงแค่ความขุ่นเคือง
นั่นคือทั้งหมดที่มีตอนนี้
ฉู่อี้ชำเลืองมองอาจารย์แล้วยิ้มบาง
เช่นเดียวกับตอนที่ทั้งสองพบกันครั้งแรก เขาเรียกนางอย่างไร้ยางอายว่า “พี่เทพธิดา”
"อาจารย์รักษาตัวด้วย!"
สิ้นคำ ฉู่อี้จึงยกขาที่ไม่ค่อยคล่องตัวขณะก้าวเดินไปทางประตูขุนเขาทีละก้าว
ลั่วอวี่เจินเหรินตกตะลึงอยู่กับที่
นางไม่คาดคิดว่าฉู่อี้จะถึงกับไปจริง
ลั่วอวี่เจินเหรินยกมือขึ้นโดยไม่รู้ตัว "อี้เอ๋อร์ เดี๋ยวก่อน ... "
ลั่วซินเอ๋อร์ผู้อยู่ด้านข้างวิตกกังวลยิ่งกว่านาง แต่ปากสุนัขไม่สามารถเอ่ยสิ่งดีออกมาได้ก่อนจะตะโกนไปทางศิษย์ที่อยู่ซ้ายขวา
“มัวยืนมองอะไรกันอยู่ รีบไปหยุดเขาเร็ว! ฉู่อี้ตายได้ แต่กระดูกกระบี่ของเขาจะต้องถูกนำกลับมา สิ่งนั้นเป็นของพวกเราเขากระบี่ผงาด!”
“ซินเอ๋อร์ เจ้าพูดเรื่องอะไร!”
ลั่วอวี่เจินเหรินพลันกระวนกระวายใจขณะจ้องมองลูกสาวด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
แม้ลั่วซินเอ๋อร์หวาดกลัวสีหน้าเช่นนี้ แต่ไม่ทราบว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ยังเอ่ยคำอย่างอาจหาญออกมา
“ท่านแม่อย่าหลอกพวกข้าอีกเลย ฉู่อี้อยู่ธรณีประตูตอนอายุแปดขวบ ไปถึงสวรรค์ประทานตอนเก้าขวบ ทะลวงสู่ปรมาจารย์ตอนอายุสิบเอ็ดปีและทะลวงสู่มหาปรมาจารย์ตอนอายุสิบห้าปี มันต้องเป็นการพึ่งพาอาศัยกระดูกกระบี่ไม่ผิดแน่!”
“บัดนี้เขาเป็นคนพิการแล้ว การเก็บกระดูกกระบี่ไว้กับฉู่อี้ย่อมไม่มีประโยชน์อันใด หากถ่ายทอดให้ผู้อื่น เขากระบี่ผงาดของข้าจะต้องให้กำเนิดอัจฉริยะวิถีกระบี่อีกคนอย่างแน่นอน! ท่านแม่ แบบนี้พวกเราจะสามารถใช้ชีวิตได้ดีเหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง”
“ซินเอ๋อร์ เจ้า...”
ลั่วอวี่เจินเหรินอ้าปากเพื่อต้องการตำหนิ แต่เมื่อมองร่างของฉู่อี้ที่กำลังจากไป ด้วยเหตุผลบางอย่าง คำพูดที่เหลือจึงถูกกลืนหายไปจนไม่สามารถเอ่ยคำอะไรได้
เพราะในใจของนางถึงกับคิดเช่นนั้นจริง
ลั่วซินเอ๋อร์ไม่ทราบว่านิสัยไม่เด็ดขาดของผู้เป็นแม่กำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง
ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะลงมือแล้ว
นางมองไปทางซ้ายและขวาก่อนจะพบว่าตอนนี้ศิษย์ที่เพียงมารับชมการแสดงต่างมองฉู่อี้ด้วยสายตาละโมบอย่างเปิดเผย ประหนึ่งมองเห็นสมบัติประเมินค่ามิได้
แน่นอนว่าลั่วซินเอ๋อร์ไม่อยากฉวยโอกาสจากคนเหล่านี้ นางมีความตั้งใจอื่นอยู่เช่นกัน
ลั่วซินเอ๋อร์ในตอนนี้ยังไม่เข้าใจว่าฉู่อี้ใช้วิธีใดถึงเอาชนะปราณกระบี่เมื่อครู่ของนางได้
แต่นางสามารถยืนยันได้ว่าฉู่อี้ผู้เป็นคนพิการไร้แขนยังมีแรงขัดขืนอยู่บ้าง เช่นนั้นก็คงต้องปล่อยให้เซียนเหล่านี้กลืนกินเขาไปสักพักก็แล้วกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลั่วซินเอ๋อร์จึงแสดงท่าทีเย่อหยิ่งเย้ายวนอีกครั้ง "กระดูกกระบี่มีเพียงท่อนเดียว ใครคว้าได้ก่อนก็เอาไปเลย ในเมื่อท่านแม่ของข้าไม่เข้าไปก้าวก่ายแล้ว ใยพวกเจ้ายังไม่รีบลงมือเล่า?"
เหตุผลที่ศิษย์เหล่านั้นยังไม่เคลื่อนไหวเป็นเพราะกังวลว่าลั่วอวี่เจินเหรินจะเข้ามาแทรกแซง
แต่คำพูดของลั่วซินเอ๋อร์เป็นประหนึ่งยาแรงที่ฉีดเข้าที่แขนของพวกเขา
ขอเพียงไม่มีใครปกป้องฉู่อี้ผู้พิการไร้แขนจนไม่สามารถจับกระบี่ได้ อีกฝ่ายย่อมทำได้เพียงร้องขอความเมตตาจากผู้อื่นไม่ใช่หรือ?
“ฆ่าฉู่อี้แล้วชิงกระดูกกระบี่มา!”
ไม่ทราบได้ว่าใครเป็นคนเอ่ยปากคนแรก แต่ศิษย์ผู้ถือกระบี่หลายสิบคนต่างทะยานเข้าหาฉู่อี้
และทันทีที่ลั่วซินเอ๋อร์เอ่ยคำเช่นนั้น ฉู่อี้พลันเข้าใจเจตนา
ช่างเป็นศิษย์น้องหญิงแสนดีของเขาเหลือเกิน!
ตลอดสามปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าสุกรตัวนี้ถึงกับมีหัวใจประหนึ่งอสรพิษซุกซ่อนอยู่
ขณะมองศิษย์ผู้เคยยอมจำนนต่อตนเอง แต่ตอนนี้มีสภาพไม่ต่างกับสัตว์ป่าที่ไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน
หากเขาไม่มีความสามารถปกป้องตัวเองในวันนี้ คนเหล่านั้นจะต้องเข้ามารุมทึ้ง ปลิดชีพและเลาะกระดูกของเขาออกโดยไม่คำนึงถึงมิตรภาพในอดีตที่เคยมีมา
ที่นี่... คือเขากระบี่ผงาดที่เขาอุตส่าห์อุทิศช่วงเวลาอันแสนวิเศษให้
ถึงเวลาแล้ว…
ฉู่อี้หรี่ตา เมื่อสายตาทั้งสองมาบรรจบกัน รอยกรีดแนวตั้งที่ยาวและแคบประหนึ่งรอยกระบี่จึงก่อตัวขึ้น
เขาแค่ไม่มีแขนสองข้าง
แต่ใครบอกเล่าว่าการฝึกกระบี่จำเป็นต้องใช้แขน?
การฝึกฝนวิถีกระบี่ของฉู่อี้ห่างหายไปนานนับตั้งแต่เสียแขนจนเส้นลมปราณแตกออก
แต่เขายังคงรักษาเหล่าความสามารถที่ไม่ต้องใช้แขนและเส้นลมปราณเอาไว้!
ยกตัวอย่างเช่น… อำนาจกระบี่!
วินาทีต่อมา
ฉู่อี้พลันลืมตาขึ้น แล้วอำนาจกระบี่คมปลาบอันยิ่งใหญ่พลันกวาดออกไปขณะพุ่งเข้าใส่ศิษย์ที่ทะยานเข้ามาประหนึ่งกระสุนปืนใหญ่
หลังจากนั้น เสียงระเบิดอันแจ่มชัดจึงดังขึ้น
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!...
ยามกระบี่ในมือของศิษย์เหล่านั้นปะทะเข้ากับอำนาจกระบี่นี้ พวกมันล้วนแตกหักเล่มแล้วเล่มเล่า
คมกระบี่ที่ไม่สมบูรณ์ถูกฝังอยู่ในพื้นก่อนจะก่อเกิดเป็นหนามแหลมคม
หลังจากหนามแทงขึ้นมาบนพื้น ศิษย์ทั้งหลายจึงถูกขวางทางจนไม่อาจเข้าใกล้ได้
ทันทีที่กระบี่หัก ในที่สุดพวกเขาก็ได้สติ
ต่อให้ฉู่อี้พิการ แต่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นมหาปรมาจารย์วิถีกระบี่ที่มีพละกำลังมากพอจะเอาชนะเจ้าขุนเขาได้ มันเป็นความสามารถที่คนไร้พรสวรรค์อย่างพวกเขาไม่สามารถรวมหัวกันกลั่นแกล้งได้
ในที่สุดลั่วอวี่เจินเหรินจึงมั่นใจ
ฉู่อี้ยังคงมีพละกำลังอยู่ แล้วนางจึงเกิดคำถามขึ้นมาว่าหากรับอำนาจกระบี่เมื่อครู่เข้าไป ตนเองยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะต้านทานไหวหรือไม่
ในทำนองเดียวกัน ลั่วซินเอ๋อร์แน่นิ่งอยู่กับที่
นางไม่คาดคิดว่าฉู่อี้จะยังมีพลังที่แก่กล้าถึงขนาดนี้!
ไม่ได้การ ต้องรีบเรียกศิษย์พี่รอง!
ตอนนี้ลั่วซินเอ๋อร์ไม่สนใจสิ่งอื่นใดขณะรีบเอ่ยคำ "ศิษย์พี่รอง รีบกลับมา!"
ในเวลาเดียวกัน
เสียงร้องกระบี่อันหยาบกร้านดังขึ้นในหูของฉู่อี้ ตามมาด้วยเสียงคำรามของคมกระบี่ทะลวงอากาศอันทรงพลัง!
เขาขยับสายตาตามก่อนจะพบใบหน้าอันหล่อเหลาที่คุ้นเคยกำลังเข้ามาใกล้พร้อมกระบี่อย่างรวดเร็ว
ไม่เพียงแค่ฉู่อี้ กระทั่งคนอื่นยังคุ้นเคยกับใบหน้านี้
ชายผู้นั้นคือศิษย์คนที่สองของลั่วอวี่เจินเหริน หลี่กวนเฉา
กลิ่นอายนี้คล้ายกับไปถึงระดับสวรรค์ประทาน
“ศิษย์น้องรอง วันนี้ถือว่าเจ้าเผยความในใจแล้วใช่หรือไม่?”
แขนเสื้อของฉู่อี้ว่างเปล่าจนปลิวไสวไปตามสายลม เป็นเหตุให้ดูดุร้ายและไร้การควบคุม
ราวกับเขายังคงเป็นปรมาจารย์หนุ่มผู้มีจิตใจฮึกเหิม!
กลิ่นอายเช่นนี้ยากที่ผู้อื่นจะเลียนแบบได้
เพราะมันแสดงถึงความมั่นใจอย่างแท้จริงที่อยู่ภายใน!
ในฐานะศิษย์ของลั่วอวี่เจินเหริน หลี่กวนเฉารับไม่ได้กับสีหน้าของฉู่อี้จนไม่อาจหักห้ามการกระทำของเขาได้
ทำไม!
เจ้าเป็นเพียงคนพิการ ทำไมจึงอวดดีถึงเพียงนี้!
เปลวไฟแห่งความอิจฉาที่รุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อนได้แผดเผาอย่างร้อนแรงในใจของหลี่กวนเฉาจนครอบงำเหตุผล
ในตอนนี้ หลี่กวนเฉาลืมเลือนทุกสิ่งและคิดแต่เพียงว่าจะสังหารฉู่อี้ได้อย่างไร!
ด้วยวิธีนี้ เขาสามารถเข้าไปแทนที่จนกลายเป็นอัจฉริยะน่าทึ่งที่สุดของเขากระบี่ผงาดได้!
ไม่ใช่เป็นศิษย์น้องของคนอื่นคนใด!
“หลี่กวนเฉา วันนี้ข้าจะสอนอีกบทเรียนให้แก่เจ้า เพราะขืนยังจิตใจคับแคบเช่นนี้ย่อมไม่มีทางไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวได้”
แม้ฉู่อี้จะถอนหายใจ แต่คราวนี้เขาไม่ได้ใช้อำนาจกระบี่ แต่กลับขยับขาที่เดินกะโผลกกะเผลกแทน
อาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครล่วงรู้ว่าขาของเขาสามารถเดินกะโผลกกะเผลกขึ้นลงเขากระบี่ผงาดได้อย่างไร
คนส่วนใหญ่ย่อมไม่สนใจคนพิการและคิดเพียงว่ามันใช้การไม่ได้เหมือนกับแขน
แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เช่นนั้น
มันไม่ใช่ผลจากการทุบตี แต่เป็นผลจากการฝึกฝนกระบี่
ฉู่อี้พลันกระโดดขึ้นไปขณะขาลอยอยู่ในอากาศ จากนั้นจึงหันไปทางแสงกระบี่ที่ทะลวงผ่านอากาศก่อนจะเหยียบย่ำลงไปประหนึ่งช้างป่า!
ขาพิฆาตกระบี่!