ตอนที่ 1: เกิดมาพร้อมกระดูกกระบี่ อาจารย์ผู้มีข้อบกพร่อง
ตอนที่ 1: เกิดมาพร้อมกระดูกกระบี่ อาจารย์ผู้มีข้อบกพร่อง
เขากระบี่ผงาด เหนือยอดเขาหลัก
เสียงกระบี่พาดผ่านดังก้องขณะแสงสีฟ้าคมปลาบวูบไหวผ่านอากาศ มันทะยานไปไกลกว่าสิบเมตรจนกระแทกกับต้นไม้ซึ่งอยู่ไกลออกไป
แซ่กแซ่กแซ่ก!
ใบไม้ขนาดใหญ่กระจัดกระจาย แล้วรอยกระบี่ตื้นจึงปรากฏบนใบไม้ทั้งหลาย
เมื่อเห็นฉากนี้ หญิงสาวชุดสีม่วงผู้ถือกระบี่ไว้ในมือจึงวูบไหวพร้อมกับลำแสงที่สะท้อนในดวงตา ขับเน้นให้ความงามยิ่งโดดเด่น
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าฝึกฝน ‘ปราณกระบี่พเนจร’ สำเร็จแล้วหรือยัง?”
ผู้อยู่เบื้องหน้าหญิงสาวชุดสีม่วงคือชายหนุ่มผมขาวร่างสูงโปร่ง
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือแขนเสื้อทั้งสองข้างของชายหนุ่มผมขาวผู้นี้ว่างเปล่ากับขาข้างหนึ่งเป็นอัมพาต
เพียงแต่ เขาทำให้ผู้คนรู้สึกสงบเป็นอย่างมาก มันคือความสงบที่ต่อให้ภูเขาจะพังทลายลงมาก็มิอาจแปรเปลี่ยน
ฉู่อี้ที่ได้ยินคำถามของศิษย์น้องหญิงจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยคำ "ความสามารถของศิษย์น้องหญิง ไม่ธรรมดา ถึงกับสามารถสำเร็จ ‘ปราณกระบี่พเนจร’ ได้ในเวลาเพียงแค่สามปี หากขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝนประจำวันมากขึ้น ย่อมมีโอกาสทะลวงสู่สวรรค์ประทานเสมอ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว ฉู่อี้”
หญิงสาวชุดสีม่วงค่อยเงยหน้าขึ้น ไม่เพียงแต่วิธีการเรียกฉู่อี้ที่เปลี่ยนไปเท่านั้น แม้แต่คิ้วกับดวงตาที่ทอประกายประหนึ่งดวงดาวในยามนี้ยังค่อนข้างแข็งกร้าว
นางเก็บกระบี่อย่างเบามือแล้วกอดอก "ข้าสำเร็จแก่นแท้ของกระบี่แล้ว เมื่อถึงเวลา ข้าย่อมสามารถทะลวงสู่สวรรค์ประทานได้ด้วยความพยายามของตัวเอง"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่อี้จึงขมวดคิ้ว กระนั้นก็ยังคงรักษาความสงบบนใบหน้าเอาไว้
“ด้วยทรัพยากรของเขากระบี่ผงาด สวรรค์ประทานอาจไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเจ้า”
“เช่นนั้น หลังจากทะลวงสู่ขอบเขตปรมาจารย์ ก็คงต้องกลายเป็นคนพิการที่เสียแขนทั้งสองข้างเหมือนกับเจ้าใช่หรือไม่?”
หญิงสาวชุดสีม่วงเอ่ยคำประชดประชันขณะจับจ้องแขนเสื้อที่ว่างเปล่าของฉู่อี้ จากนั้นจึงเหยียดหยัน "ข้าเบื่อหน้าเจ้ามานานแล้ว ชายไร้แขนแต่ยังคงนั่งอยู่บนเขากระบี่ผงาดทั้งวันเพื่อแสร้งทำตัวเป็นศิษย์พี่ จะเอาไปอวดใครงั้นหรือ?”
“ยังคิดว่าตัวเองเกิดมาพร้อมกระดูกกระบี่ที่ไม่สามารถสร้างได้หรือไง!”
ฉู่อี้ไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องหญิงลั่วซินเอ๋อร์ที่เขาสอนสั่งมาสามปีจะมีความขุ่นเคืองลึกล้ำถึงเพียงนี้
ไม่ใช่ว่าฉู่อี้ไม่ทราบเรื่องทั้งหมดนี้ เพียงแต่ไม่เต็มใจที่จะยอมรับก็เท่านั้น
เขาอุทิศชีวิตส่วนใหญ่ให้สำนักพร้อมกับใช้กระบี่ในมือพิชิตดินแดนนับไม่ถ้วนเพื่อเขากระบี่ผงาด
ปลายกระบี่ของเขายังเป็นจุดสิ้นสุดของการขยายอำนาจให้กับเขากระบี่ผงาด
แต่หลังจากสูญเสียแขนทั้งสองข้างไปแล้ว
ในสำนักอันกว้างใหญ่นี้ กลับไม่มีมุมใดที่เต็มใจจะรับรองตัวเขา
มันคือการประชดประชันที่ตลกร้าย!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มุมปากของฉู่อี้จึงยกยิ้ม "หมายความว่า... เจ้าอยู่เล่นกับข้าถึงสามปีเชียวหรือ?"
“อะไร อยากขอบคุณข้าหรือไง?”
ความเหยียดหยันในดวงตาของลั่วซินเอ๋อร์ยิ่งลึกล้ำ "แม่ของข้าบอกว่าเจ้าซึ่งเป็นคนพิการมีความเข้าใจเรื่องวิถีกระบี่อยู่บ้าง ขอเพียงติดตามเจ้าก็สามารถสำเร็จปราณกระบี่และเข้าสู่ธรณีประตูวิถีกระบี่ได้โดยไว ตอนนี้ข้าพูดได้เต็มปากว่าเจ้าหมดประโยชน์แล้ว เชิญออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
สีหน้าของฉู่อี้ค่อนข้างซับซ้อนหลังจากได้ยินคำว่า “แม่ของข้า” จากปากของลั่วซินเอ๋อร์
ลั่วอวี่เจินเหริน
แม่ของลั่วซินเอ๋อร์เป็นอาจารย์ของฉู่อี้เช่นกัน
พ่อแม่ของฉู่อี้ตายตั้งแต่ยังจำความได้ก่อนจะถูกลักพาเพื่อนำไปขออาหาร
ซึ่งบังเอิญที่ลั่วซินเอ๋อร์เป็นหนึ่งในเด็กที่ถูกลักพาตัว โดยฉู่อี้ในช่วงวัยหนุ่มเกือบถูกผู้ลักพาตัวอัดจนตายเพียงเพื่อปกป้องนาง
สุดท้ายเป็นลั่วอวี่เจินเหรินเหรินที่เข้ามาคลี่คลายวิกฤติดังกล่าว
เพื่อตอบแทนฉู่อี้ที่ช่วยชีวิตลูกสาวเอาไว้ ลั่วอวี่เจินเหรินเหรินจึงพากลับเขากระบี่ผงาดและให้ที่พักพิง ด้วยเหตุนี้ฉู่อี้จึงไม่ต้องไปต่อสู้กับสุนัขป่าข้างนอกเพื่ออาหารแย่งอาหารจนอดตาย
ฉู่อี้คำนึงถึงความเมตตาที่ได้รับการช่วยชีวิตนี้มาโดยตลอด ดังนั้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เขาจึงทุ่มเทต่อสู้เพื่อสำนักให้กับผู้เป็นอาจารย์
หาไม่แล้ว หากอาศัยเพียงวิชากระบี่ที่ด้อยกว่าของลั่วอวี่เจินเหรินเหรินกับรูปลักษณ์ที่แก่เฒ่าย่อมถือว่าเกิดขีดจำกัดแล้ว
หากนางต้องการครองตำแหน่งเจ้ายอดเขาในวันนี้ ต่อให้ล้มเตียงของเจ้าขุนเขาไปก็ยังไม่มีโอกาส
ฉู่อี้เมินเฉยลั่วซินเอ๋อร์ที่ยังคงเอ่ยคำเสียมารยาท
เขามองไปยังยอดเขาซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างสง่างามตั้งตระหง่าน มันคือที่อยู่อาศัยของเจ้ายอดเขา
แม้จะเห็นเพียงเลือนราง
แต่มีร่างงดงามชุดสีขาวยืนถือกระบี่จนดูสะดุดตาท่ามกลางขุนเขาสายน้ำ ราวกับเทพธิดาผู้งามงดที่ตกลงมาโลกมนุษย์
ฉู่อี้สัมผัสได้ว่าสายตาของผู้หญิงคนนั้นกำลังจับจ้องมาทางตนเอง
เขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วเอ่ยถาม “ท่านอาจารย์ นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการใช่หรือไม่?”
“ฉู่อี้ เจ้ากล้ามาพูดกับแม่ข้าแบบนี้ได้อย่างไร!”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ลั่วซินเอ๋อร์กลับรู้สึกเดือดดาลเมื่อเห็นฉู่อี้กับผู้เป็นแม่กำลังสนทนา นางเพียงกวัดแกว่งกระบี่ยาวในมือ แล้วปราณกระบี่จึงถูกแทงออกไปในพริบตาก่อนจะมุ่งตรงไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย
ความผิดสามครั้งติดต่อกันของนางทำให้ฉู่อี้หมดความอดทน
เขาคิ้วขมวดก่อนคำว่า “ไป” จะเล็ดลอดออกจากปาก
เพี้ยะ!
แรงกดดันเกรี้ยวกราดพลุ่งพล่านออกจากดวงตา แล้วปราณกระบี่ที่ลั่วซินเอ๋อร์สำแดงออกมากลับกระจัดกระจายในการเผชิญหน้าเพียงครั้งเดียว จากนั้นนางจึงถูกแรงดังกล่าวที่ไม่อ่อนกำลังห้อยไว้กับต้นไม้
หญิงสาวผู้งดงามในตอนแรกกลับมีสภาพเหมือนไก่ขนฟู
ฉู่อี้ไม่ได้ละสายตาไปไหนขณะจับจ้องต้นไม้ใหญ่ที่ลั่วซินเอ๋อร์ถูกห้อยเอาไว้ แล้วในตอนนี้ผู้หญิงชุดสีขาวจึงปรากฏตัวก่อนจะอุ้มนางวางตัวลงกับพื้น
ลั่วอวี่เจินเหรินตรวจสอบอาการของลั่วซินเอ๋อร์โดยสังเขป
แม้ทั่วร่างจะมีสภาพน่าอับอาย แต่มันเป็นเพียงอาการหมดสติที่ไร้อาการบาดเจ็บ เห็นได้ชัดว่าศิษย์อาวุโสยังคงมีเมตตา
นางจำแรงกดดันที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ แล้วความคาดหวังจึงปรากฏบนใบหน้า "อี้เอ๋อร์ เรี่ยวแรงของเจ้ากลับมาแล้วหรือ?"
"ยังหรอก"
ฉู่อี้ส่ายหน้า แล้วความคาดหวังในดวงตาของลั่วอวี่เจินเหรินเหรินจึงถูกแทนที่ด้วยความเสียดายในทันที
แต่ประโยคถัดมาของฉู่อี้ทำให้ความเสียดายของนางหายไป
“หากเรี่ยวแรงของข้าฟื้นคืนกลับมาจริง ข้าใช้เพียงกระบี่เมื่อครู่ก็สามารถพรากทุกสิ่งจากนางกลับมาได้”
เห็นได้ชัดว่าทุกสิ่งไม่ได้หมายถึงเพียงปราณกระบี่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงทุกสิ่งที่ฉู่อี้มอบให้กับสองแม่ลูกในอดีต รวมถึง... ชีวิตของลั่วซินเอ๋อร์ที่น่าจะจบสิ้นด้วยน้ำมือของผู้ลักพาตัว
ลั่วอวี่เจินเหรินเหรินตกตะลึงกับความเย็นชาในคำพูดเหล่านี้ ขณะเดียวกันก็มองศิษย์อาวุโสด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“อี้เอ๋อร์ นั่นคือศิษย์น้องหญิงของเจ้า เป็นศิษย์น้องหญิงเพียงคนเดียวของเจ้า!”
“ใช่แล้ว” ฉู่อี้ยิ้มเยาะ “ศิษย์อาวุโสของท่านอาจารย์ไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียวไม่ใช่หรือ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วอวี่เจินเหรินเหรินถูกท้าทายโดยศิษย์ผู้นี้ที่มักเชื่อฟังมาโดยตลอด
ความอับอายและความโกรธทอประกายบนใบหน้าของนางขณะน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเดือดดาล "ฉู่อี้ หากวันนี้เจ้าไม่ขอโทษซินเอ๋อร์ เช่นนั้นข้าจะไม่ถือว่าเจ้าเป็นศิษย์อีกต่อไป!"
ขณะเอ่ยคำ ดวงตาของลั่วอวี่เจินเหรินพลันทอประกายด้วยปัญญา
นางเคยใช้วิธีนี้ไม่ต่ำกว่าสิบหรือร้อยครั้งในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
ทุกครั้งที่ฉู่อี้ได้ยินเช่นนี้ ไม่ว่าลั่วอวี่เจินเหรินเหรินจะพูดถูกหรือผิด เขาจะยอมประนีประนอมโดยไม่มีเงื่อนไข
ฉู่อี้ยังรู้สึกเช่นกันว่าตนเองต้องยอมประนีประนอมเช่นนี้เสมอ
แต่วันนี้ คำพูดของลั่วซินเอ๋อร์กลับทำให้เข้าใจว่าต่อให้พยายามให้ตายแค่ไหน เขายังเป็นเพียงคนนอกในสายตาของผู้อื่นอยู่ดี
เพราะความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์นี้ ทำให้เขาถ่อมตัวมานานเกินไปจนทุกสิ่งที่ทำกลายเป็นเรื่องแน่นอนไม่แปรเปลี่ยน
เขามองไปที่อาจารย์ผู้ยังคงแสร้งทำเป็นโกรธ ส่วนศิษย์ที่มามุงดูด้วยความตื่นเต้นต่างเอ่ยคำอย่างชัดเจน
“ในเมื่อท่านอาจารย์มีเจตนาเช่นนี้ ศิษย์ก็ขอทำตามที่ท่านปรารถนา”