ตอนที่ 40 กลับถึงโรงนา
ตอนที่ 40 กลับถึงโรงนา
หลิ่วเฉิงกระอักเลือดออกมาจากปาก สุดท้ายร่างที่กระเด็นจึงพุ่งไปปะทะกับโขดหินจนไถลลงไปกอง
ลมปราณของหลิ่วเฉิงเริ่มโรยแรง มันไม่ได้ยิ่งใหญ่สะกดข่มเหมือนเช่นเมื่อครู่อีกต่อไปแล้ว
“เป็นไปได้ยังไง? ศิษย์พี่หลิ่วถึงขั้นพ่ายแพ้งั้นหรือนี่” ภาพฉากที่เห็นเป็นเหตุให้หลิวจงที่เดิมมีความมั่นใจล้นพ้น เวลานี้เริ่มแสดงออกว่าเหลือเชื่อ
แม้กระทั่งหลิ่วเฉิงที่เจ็บตัวก็ไม่อาจยอมรับได้
“เป็นไปได้ยังไง… เจ้าไม่น่าจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้…”
หลิ่วเฉิงต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก กระทั่งโขลกไอออกมาเป็นเลือด ขณะเสียงเริ่มแสดงออกถึงความคลุ้มคลั่ง มดปลวกที่เขาไม่เคยเห็นค่าในสายตาเมื่อไม่กี่วันก่อน ไฉนเลยตอนนี้แปรเปลี่ยนอย่างกะทันหัน จนถึงขนาดทำเขาบาดเจ็บได้ในการโจมตีหนึ่งครั้ง
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” จี้เตี๋ยมองตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
และท่าทีเรียบเฉยนี้เองที่เป็นประหนึ่งเข็มเหล็กกล้าทิ่มแทงหัวใจของหลิ่วเฉิง
“อีกครั้ง!” หลิ่วเฉิงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว เพราะถูกหยามกันซึ่งหน้า เขาจึงพุ่งทะยานเข้าหาเป้าหมายประหนึ่งราชสีห์พิโรธ
“พอได้แล้ว!”
แต่แล้วทันใดนี้เองที่เสียงอันสงบนิ่งเสียงหนึ่งกลับดังห้ามปรามเอาไว้
“เขาคือผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่หก เจ้าไม่อาจสู้เขาได้ หากว่าพ่ายแพ้ก็คือพ่ายแพ้ ไม่มีอะไรให้ต้องอับอาย! ความสำเร็จหรือล้มเหลวไม่อาจพิสูจน์สิ่งใด ขณะที่หากเจ้ามีระดับการฝึกตนเทียบเท่า เช่นนั้นก็สามารถสังหารมันประหนึ่งสุกรในโรงเชือด จงกลับไปฝึกฝนให้มากกว่านี้เสีย”
เยี่ยซือเอ่ยคำด้วยความสงบ ขณะเดียวกันก็พิจารณาตัดสินระดับการฝึกตนของจี้เตี๋ยจนกระจ่าง ความพ่ายแพ้ของหลิ่วเฉิงไม่ได้ทำให้เขามีอารมณ์แต่ประการใด
หลิ่วเฉิงทั้งไม่พอใจและไม่ยินดี แม้กระนั้นก็ยังเชื่อฟังคำสั่งจนสุดท้ายยอมถอยไป
“ถึงคราวเจ้าแล้ว”
จี้เตี๋ยไม่คิดเก็บคำพูดของอีกฝ่ายมาเป็นอารมณ์ก็จริง แต่เวลานี้ก็ยังคงชี้นิ้วหมายหัวเยี่ยซือ
เขาไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ก็ไม่คิดสอบถามด้วยเช่นกัน เพราะในเมื่ออีกฝ่ายตั้งใจมาข่มเหง เขาก็พร้อมที่จะสู้!
ขณะที่เยี่ยซือแม้ได้ยินคำท้า เขาก็ไม่ได้คิดลงมือแต่ประการใด
“บอกต่อเจ้า ว่าหาได้คู่ควรให้ข้าลงมือไม่”
น้ำเสียงนี้สงบ ราวกับตอบรับเรื่องราวดินฟ้าอากาศทั่วไปก็ไม่ปาน
เนื่องจากเขาเป็นผู้ทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่หกมาเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นต่อให้จี้เตี๋ยสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่หก มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องเก็บมาใส่ใจอยู่ดี
เรื่องราวเป็นเหตุให้จี้เตี๋ยขมวดคิ้วอีกครั้ง กระทั่งแค่นเสียงขึ้นจมูกตอบคำกลับ “ชักสงสัยว่าฝีมือจะดีเหมือนอย่างปากนั่นหรือเปล่า”
เยี่ยซือยังคงไม่แสดงอารมณ์ใด ทั้งยังตอบรับด้วยเสียงนิ่ง “ยั่วยุข้าถือเป็นแนวทางอันชวนเวทนา เจ้าที่ทำร้ายศิษย์ร่วมสำนักอย่างเปิดเผย ต่อให้ข้าไม่ทำอะไร ผู้อาวุโสเถียนย่อมจัดการผดุงความยุติธรรม”
“ข้าจะรอก็แล้วกัน!” จี้เตี๋ยแค่นเสียงเย้ยหยัน เป็นการแสดงออกว่าไม่หวาดกลัว และภายหลังทิ้งคำกล่าวเอาไว้แล้ว เขาจึงเดินลงจากเขาไปต่อโดยไม่หันกลับมอง
ขณะเดินผ่านหลิ่วเฉิง เขาตระหนักได้ถึงสายตาเย็นเยือกของอีกฝ่าย เพียงแต่เลือกที่จะเมินเฉยและเดินทางลงเขาไปต่อ
หลิ่วเฉิงจ้องมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดห้าม กระทั่งเดินกลับไปหาเยี่ยซือ
“ศิษย์พี่เยี่ย จะปล่อยมันไปเช่นนี้หรือขอรับ?” หลิวจงเกิดร้อนใจขึ้นมา
หลิ่วเฉิงเดินมาจนเข้าใกล้และหยุดยืน สีหน้าของเขาเองก็บ่งบอกว่าสับสนต่อเรื่องราว
“เจ้าเด็กนั่นทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่หกแล้ว วัตถุดิบปรุงยาย้อนฝันก็สมควรถูกใช้ปรุงเป็นตัวยาไปแล้วเช่นกัน จับกุมเขาไปก็เท่านั้น เพียงแค่รายงานเรื่องนี้ไปยังผู้อาวุโสเถียน กล่าวบอกว่าขอให้ช่วยผดุงธรรมก็เพียงพอ” เยี่ยซือมองตอบคนทั้งสอง
ไม่กี่วันก่อนเขาได้ทราบว่าเด็กหนุ่มยังเป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่ห้า แต่ปัจจุบันได้สำเร็จเป็นขั้นที่หกแล้ว
วัตถุดิบสำหรับใช้ปรุงยาย้อนฝันส่วนใหญ่คงถูกปรุงเป็นตัวยาจนหมดสิ้นเรียบร้อย ดังนั้นคิดจับกุมตัวอีกฝ่ายก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
สำหรับศิษย์สำนัก การทะเลาะต่อกันภายในก็มากพอเป็นบทเรียนให้อีกฝ่ายแล้ว
ณ ยอดเขาสรรพสัตว์ นับตั้งแต่จี้เตี๋ยลี้ภัยก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน เพียงแต่นามของเขาไม่ได้เลือนหาย กระทั่งว่ามีการพูดถึงไปทั่วแห่งหน
“เจ้าคนนามจี้เตี๋ยอะไรนั่นหลบซ่อนตัวได้เก่งกาจนัก จนถึงวันนี้ยังไม่มีข่าวคราว เป็นเต่าหดหัวในกระดองซะมิดชิดเลยทีเดียว”
“กล่าวถึงเรื่องนี้ มันก็หาญกล้าไม่ใช่น้อย ถึงขั้นกล้าแอบอ้างเป็นคู่หมั้นของศิษย์พี่หญิงเจียง…”
“หึ! ไอ้เจ้านั่นมันกล้าดี ข้าได้ยินว่ามันพูดออกมาจากปากของตัวเองเลยด้วยซ้ำ! กล่าวว่ามันและศิษย์พี่หญิงเจียงเป็นหวานใจวัยเด็กต่อกัน…”
“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่หญิงเจียงรีบไปที่โรงนาแล้ว แต่เจ้าตัวการนั่นกลับหลบหนีไปซะก่อน!”
“ปากพล่อยก็สมควรโดนแล้ว! สมควรตายด้วยซ้ำไป!”
จี้เตี๋ยฟังเสียงซุบซิบนินทาจากเหล่าคนแปลกหน้าระหว่างทางเดินกลับไปยังโรงนา
ครึ่งเดือนที่ผ่านมา พื้นที่โรงนาไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
เพียงแต่พอศิษย์ในพื้นที่ทุกคนพบเห็นเขาปรากฏตัว พวกเขาถึงขั้นต้องชะงักนิ่งค้างประหนึ่งถูกแช่แข็ง
เพราะพวกเขาได้ทราบแล้ว ว่าศิษย์พี่หญิงเจียงไม่ได้รู้จักกับจี้เตี๋ย และไม่ใช่หวานใจวัยเด็กอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดเป็นเพียงแค่คำคุยโว
หลายคนเกิดความรู้สึกดูแคลนอยู่ในใจ ปัจจุบันจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ทุกคนต่างเลือกเว้นระยะห่างจากจี้เตี๋ย!
เพียงแต่จี้เตี๋ยไม่คิดใส่ใจ เขาเพียงแค่เดินไปยังสวนจนกระทั่งได้พบร่างที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตา
“พี่อู๋!”
“ศิษย์พี่จี้… เหตุใดท่านกลับมากัน…” อู๋ฮั่นชะงักงันพร้อมแสดงสีหน้าแปรเปลี่ยน
“ศิษย์พี่หญิงเจียงออกตามหาตัวท่านแทบพลิกแผ่นดินแล้ว! กระทั่งคิดฆ่าทิ้งเพื่อระบายโทสะเสียด้วยซ้ำ ทางที่ดีท่านควรไปซ่อนตัว!”
“ไม่เป็นไร…” จี้เตี๋ยตบไหล่ของอีกฝ่ายเป็นการตอบรับ “ขอบคุณที่ช่วงครึ่งเดือนมานี้ช่วยข้าดูแลเจ้างูดำแทน”
และตอนนี้เองที่เสียงแหลมดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“จี้เตี๋ย ในที่สุดเจ้าก็กล้าโผล่หน้ามาเสียที ผู้อาวุโสเจิ้งออกคำสั่งให้จับกุมเจ้าข้อหาสังหารศิษย์ร่วมสำนักเฮ่อซง!” บุคคลที่พูดกล่าวคือสิงจง
จี้เตี๋ยหายตัวไปอย่างกะทันหันเป็นเวลาสิบกว่าวัน ทั้งยังหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขาจึงออกตามหาตัวอีกฝ่ายจนทั่ว
จนกระทั่งเมื่อครู่ที่มีศิษย์พบเห็นอีกฝ่ายกลับมายังยอดเขาสรรพสัตว์จึงมารายงาน เขาจึงรีบบึ่งมุ่งหน้ามาถึงที่นี่
“ศิษย์พี่สิง ไฉนเลยความตายของเฮ่อซงไปเกี่ยวข้องกับศิษย์พี่จี้ได้?” อู๋ฮั่นเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน เขาคิดอยากพูดแทน เพียงแต่สิงจงจ้องมองมาด้วยสายตาเย็นเยือกพร้อมแผ่ลมปราณรุนแรง เป็นเหตุให้เขาต้องถอยกลับอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ใครอนุญาตให้เจ้าพูด”
“ท่าน…” อู๋ฮั่นเผยสีหน้าดำมืด ขณะคิดพูดกล่าว จี้เตี๋ยกลับเข้ามาห้ามปรามเอาไว้
“เฮ่อซงตายงั้นหรือ? แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วยกันเล่า?” จี้เตี๋ยหันไปเผชิญหน้าสิงจงพร้อมยกไหล่เป็นการตอบคำถาม
“ทั่วทั้งโรงนาแห่งนี้ มีเพียงแค่เจ้าที่มีข้อพิพาทกับเขา หากไม่ใช่เจ้าแล้วใครกันจะเป็นคนฆ่า?” สิงจงแค่นเสียงขึ้นจมูกตอบ
“แล้วอย่างไร? เพียงเพราะข้าเคยทะเลาะกับมัน ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่าหากมันตายจะเป็นฝีมือข้างั้นหรือ?” จี้เตี๋ยผายมือตอบกลับ
“คนจิตใจต่ำช้าเช่นนั้น ผู้ใดกันทราบได้ว่าแท้จริงไปมีเรื่องกับใครเข้าบ้าง?”
“หยุดวาจาอันไร้สาระของเจ้า! หากข้ากล่าวว่าเจ้าสังหาร เช่นนั้นก็เป็นฝีมือของเจ้า จงมากับข้าและให้ความร่วมมือในขั้นตอนสืบสวน!” สิงจงตะโกนตอบ เพราะเขาไม่คิดฟังคำอธิบายใดทั้งสิ้น เวลานี้จึงพุ่งตัวเข้าหาจี้เตี๋ยหมายคว้าไหล่ของเด็กหนุ่มด้วยนิ้วกรงเล็บทั้งห้า
เขาไม่ทราบว่าเฮ่อซงถูกจี้เตี๋ยฆ่าตายจริงหรือไม่ แต่เหอเฉียงคือพยานพบเห็นว่าผู้ดูแลหวังหายตัวไป ดังนั้นเรื่องราวมันจะต้องเกี่ยวข้องกับจี้เตี๋ยไม่ผิดแน่
และในเมื่อปัจจุบันมั่นใจแล้วว่าจี้เตี๋ยไม่ได้มีสัมพันธ์อะไรกับเจียงโม่หลี ทุกเรื่องราวถูกกุขึ้นมาทั้งสิ้น ในเมื่อไม่มีใครปกป้องอีกฝ่ายแล้ว เขาจึงกล้าที่จะทำการสืบสวนอย่างเปิดเผย
ดังนั้นเรื่องของเฮ่อซงจึงเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง
แต่ทันทีที่เขายื่นมือออกไปหมายคว้า จี้เตี๋ยกลับเป็นฝ่ายจับข้อมือของเขาเอาไว้เสียแน่นแทน
สิงจงรับรู้ถึงความเจ็บปวดจนอยากชักข้อมือกลับ แต่กลับได้พบว่าจี้เตี๋ยมีแรงมากกว่า ทั้งยังแน่นิ่งประดุจมือเหล็กกล้า
“จี้เตี๋ย เจ้าคิดขัดขืนคำสั่งงั้นหรือ…” สิงจงเริ่มเผยสีหน้าบิดเบี้ยว เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าแค่ช่วงที่หลบหน้าไปสิบกว่าวัน จี้เตี๋ยจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นมาได้มากถึงขั้นนี้
“ไสหัวไป! ข้าไม่สนว่าเจ้าหรือผู้อาวุโสจะคิดยังไง แต่ข้าไม่ได้ฆ่าใคร อย่ามายุ่งและสร้างเรื่องราวกวนใจแก่ข้า!” จี้เตี๋ยสะบัดข้อมือนั้นออกด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล จนเป็นเหตุให้สิงจงต้องถอยเท้าไปหลายก้าวอย่างไม่อาจควบคุมร่างกาย
“ไอ้หนู เป็นข้าปรามาสเจ้าเกินไป ในเมื่อปฏิเสธไม่ยอมให้ความร่วมมือ ก็อย่ามากล่าวโทษที่ข้าเสียมารยาท!” สิงจงที่พอประคองร่างตนเองได้แล้ว แม้สีหน้ายังคงบิดเบี้ยว แต่แขนของเขาเริ่มขยายขนาดและแปรเปลี่ยนเป็นหิน
ภายหลังส่งเสียงคำราม เขาจึงบุกทะยานเข้าหาจี้เตี๋ยอีกครั้ง