ตอนที่แล้วตอนที่ 38 ยาย้อนฝันทั้งสามเม็ด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 40 กลับถึงโรงนา

ตอนที่ 39 กลั่นลมปราณขั้นที่หก เบิกทะเลจิตสำนึก


ตอนที่ 39 กลั่นลมปราณขั้นที่หก เบิกทะเลจิตสำนึก

ภายหลังสูดลมหายใจเข้าลึก จี้เตี๋ยจึงตั้งใจมั่น และเทยาย้อนฝันออกจากขวดพร้อมส่งเข้าปากไปเม็ดหนึ่ง

ตู้ม! ฤทธิ์ของยาอันรุนแรงแปรเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำอุ่นที่รุนแรง มันกำลังโลดแล่นไปในกายของเขาประหนึ่งสัตว์ร้ายที่ไม่อาจควบคุม

จี้เตี๋ยนั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขากำลังจมดิ่งไปกับความรู้สึกที่มีพลังอันยิ่งใหญ่แผ่ซัดภายใน ร่างกายในเวลานี้รู้สึกประหนึ่งจะปะทุระเบิดออกมา

ขณะกัดฟันแน่นเพื่ออดกลั้นต่อความเจ็บปวด วิชามหาลึกล้ำภายในกายของเขาก็กำลังโคจรเพื่อขัดเกลาพลัง

จี้เตี๋ยผู้ถือกำเนิดในครอบครัวที่แสนธรรมดา เขาทราบดีถึงแก่นแท้ที่กล่าวว่า มีเพียงผู้อดกลั้นต่อความยากลำบากจึงคว้าผลลัพธ์เอามาได้

ขณะเวลาผันผ่านไป ลมปราณของจี้เตี๋ยเริ่มพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งก้าวไปถึงจุดที่ซูลั่วเคยอยู่เมื่อตอนกลางวัน มันคือการกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าจุดสูงสุด ที่เกือบจะทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่หก และสุดท้ายมันจึงหยุดลง

“เกือบอยู่แล้วเชียว” จี้เตี๋ยเลียริมฝีปากที่แห้งผากขณะมองยาย้อนฝันอีกสองเม็ดที่เหลือในขวดหยก เขาเทออกมาอีกหนึ่งเม็ดและจ้องมอง สุดท้ายจึงกลืนมันเข้าไป

ความรู้สึกร่างกายราวกับจะปะทุระเบิดออกมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่สีหน้าของจี้เตี๋ยยังคงมั่นคง ขณะวิชามหาลึกล้ำยังคงโคจรต่อเนื่อง

กึก กึก! จนกระทั่งถึงช่วงเวลาหนึ่ง ลมปราณภายในกายของเขาก้าวไปถึงขีดสุด เสียงอะไรบางอย่างกำลังแตกร้าวเริ่มดังขึ้นจากด้านในร่างกาย ตามมาด้วยเสียงคำรามอันกึกก้องภายในห้วงจิตใจ

จี้เตี๋ยตื่นเต้นและยินดี เขาตระหนักได้ว่าประสาทรับฟังและมองเห็นกระจ่างชัด ร่างกายเบาประดุจขนนก พลังวิญญาณภายในร่างกำลังไหลบ่า จนเกือบจะรวบเป็นกระแสน้ำขนาดเล็กสี่สาย!

“กลั่นลมปราณขั้นที่หก!” เขาพยายามอดกลั้นความตื่นเต้นยินดี ขณะเริ่มขัดเกลาฤทธิ์ยาส่วนที่ยังเหลือภายในร่าง ถัดจากนั้นจึงค่อยลืมตาขึ้นพร้อมแสดงอาการยินดีออกมา

ปัจจุบันนี้ ทั่วทั้งฝั่งใต้แห่งสำนักเจ็ดลึกล้ำ นอกจากผู้อาวุโสประจำยอดเขาทั้งสอง ก็มีคนเพียงหยิบมือที่จะสามารถข้ามผ่านเหนือไปกว่าเขาได้!

แต่ไม่ช้าจี้เตี๋ยก็เริ่มสงบใจลง เขาไม่หลงยินดีไปกับการทะลวงครั้งนี้จนเกินควร

สุดท้ายเขาจึงมองยาอีกเม็ดหนึ่งที่เหลืออยู่ ก่อนจะตัดสินใจกลืนมันลงท้องด้วยความแน่วแน่

ผ่านไปเพียงไม่นาน ยาย้อนฝันเม็ดสุดท้ายจึงได้รับการขัดเกลาฤทธิ์ยาจนสิ้น พลังวิญญาณภายในกายของเขาไปถึงระดับกระแสน้ำสี่สายได้สำเร็จ อีกไม่นานพลังวิญญาณของเขาจะได้แปรเปลี่ยนเป็นแม่น้ำแล้ว!

จี้เตี๋ยที่ยินดีล้นพ้นจึงออกมาภายนอกถ้ำ เพื่อตระเตรียมหาที่ทดสอบพละกำลังของตนเอง

ตู้ม! นาคาอัคคีหกตัวเผยพลังอำนาจอันแข็งแกร่งถล่มใส่ก้อนหินใหญ่ภายนอกถ้ำ ภายหลังเสียงดังเลือนหาย ก้อนหินใหญ่หนักเกือบหนึ่งพันจินจึงแตกกระจายคาที่!

หากว่าเปลี่ยนเป็นคน ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่ห้า ก็เกรงว่าจะรอดพ้นได้ยาก!

“กลั่นลมปราณขั้นที่หกถึงขั้นแตกต่างได้ขนาดนี้ หากว่าเผชิญหน้ากับหลิ่วเฉิงอะไรนั่นอีกครั้ง อย่างน้อยเราก็มั่นใจว่าจะสามารถคว้าชัยชนะมาได้!” จี้เตี๋ยมองผลงานชิ้นเอกของตนด้วยความพึงพอใจ ตอนนี้เขาสามารถเรียกใช้นาคาอัคคีถึงหกตัวโดยพร้อมกันได้ นอกจากนี้ภายในกายยังมีพลังวิญญาณเหลือเสียด้วย

ตราบเท่าที่ไม่ได้พบผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องหวาดเกรงใครหน้าไหนแล้ว!

“แต่ก็ไม่ควรถือดีจนเกินควร หากว่ามีความมั่นใจล้นฟ้า ถึงตอนนั้นหายนะอาจมาเยือนสู่ตน” เด็กหนุ่มส่ายศีรษะเพื่อเป็นการขับไล่ความรู้สึกตื่นเต้นยินดีที่ทะลวงด่านสำเร็จ

แต่ขณะที่กำลังจะเดินกลับไปยังถ้ำนั้นเอง ภาพฉากหนึ่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา มันเป็นภาพที่ฝูงมดกำลังมองอาหารบนพื้น หรือใบไม้ที่ร่วงหล่นเพราะสายลมพัดพา พวกมันเด่นชัดและคล้ายจะปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา

แม้ว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาพวกมันจะเลือนหาย แต่จี้เตี๋ยก็ยังเกิดความสงสัย

“คิดไปเองหรือยังไงกันนะ?” จี้เตี๋ยเผยสายตาจริงจัง ความรู้สึกอันเลือนรางเมื่อครู่ เขารู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่ภาพหลอน ตอนนี้จึงเริ่มพยายามตรวจสอบรอบด้านเพื่อทำการยืนยัน

และไม่ช้า เพียงก้าวเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาจึงได้เห็นภาพฉากของมดที่เคยเห็นก่อนหน้านี้

“ไม่ใช่ภาพหลอนหรือคิดไปเอง แต่เราตระหนักรู้ถึงสรรพสิ่งรอบด้านได้! แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าใช่มันก็น่าจะเกี่ยวข้องกับพลังจิตที่ปลดปล่อยออกไปและส่งข้อมูลกลับมาสิ” จี้เตี๋ยกำลังคาดเดาอยู่ภายในใจ

การเบิกทะเลแห่งจิตสำนึกไม่มีข้อกำหนด ยามใดที่จิตวิญญาณแข็งแกร่งมากพอ มันจะถูกเปิดออกด้วยตัวมันเอง เพียงแต่ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่มักไปเปิดทะเลแห่งจิตสำนึกกันตอนสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด

มีเพียงการเบิกทะเลแห่งจิตสำนึกจึงสามารถควบคุมและปลดปล่อยพลังจิตออกจากร่างกาย เพื่อรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมในเชิงรายละเอียด เหมือนอย่างที่หลิวจงเคยอธิบายเมื่อครั้งก่อน

เพียงแต่มันเป็นแค่สิ่งที่คาดเดา จี้เตี๋ยจึงหลับตาลงขณะเตรียมทำการยืนยันอีกครั้งหนึ่ง

ทะเลแห่งจิตสำนึก เดิมนั้นมาจากวิญญาณ และยังเป็นส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจ จี้เตี๋ยพยายามเพ่งสมาธิเพื่อรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของทะเลแห่งจิตสำนึก และไม่ช้าเขาจึงได้พบว่าภายในพื้นที่ว่างมิติพิเศษของตนเองมีที่ว่างเหลือ!

ภายในมีหมอกสีขาวลอยล่องอยู่ทั่วบริเวณ ขณะเดียวกันก็มีหม้อปรุงยาสีดำใบหนึ่งลอยล่องอยู่อย่างเงียบงัน

“นี่คือทะเลแห่งจิตสำนึกของเรา…” จี้เตี๋ยเกิดมั่นใจและยินดี ภายหลังตรวจสอบหลายต่อหลายครั้ง สภาพแวดล้อมรอบกายของเขามันปรากฏชัดตรงหน้าแก่สายตา และมันแทบจะปกคลุมพื้นที่รัศมีห้าเมตร

ภายในระยะห้าเมตรนี้ ไม่ว่าจะเป็นมดบนพื้นหรือนกบนฟากฟ้า ทุกสิ่งล้วนดำรงอยู่และรับรู้ได้ผ่านสายตา

“น่าประหลาดอะไรแบบนี้ ไม่นึกเลยว่าเราไม่เพียงแค่ทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่หก แต่ยังเบิกทะเลแห่งจิตสำนึกได้อีกด้วย!” จี้เตี๋ยที่ตื่นเต้นเริ่มพยายามทดลอง ไม่ช้าเขาจึงเชี่ยวชาญการใช้งานพลังจิตและควบคุมมันได้โดยอิสระ

สุดท้ายเขาจึงผ่อนลมหายใจลากยาว และหยุดการฝึกฝน

ปัจจุบันการฝึกตนของเขาสำเร็จถึงการกลั่นลมปราณขั้นที่หกแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาจึงแทบจะเป็นหนึ่งในจุดสูงสุดของทั่วทั้งฝั่งใต้

ส่วนการกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด มันไม่มีทางใช่อะไรที่จะสำเร็จได้ในเวลาเพียงข้ามคืน เว้นแต่จะมียาย้อนฝันจำนวนมหาศาลจึงเป็นไปได้

ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ วัตถุดิบใช้ปรุงยาย้อนฝันหายากจนชวนขนลุก คิดหาซื้อก็ยังแสนจะยากเย็น ต่อให้มีศิลาวิญญาณก็ใช่ว่าจะสามารถหาได้

“ไม่รู้เลยว่าพื้นที่โรงนาในปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ในเมื่อเราสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่หก ก็น่าจะพอไปพบหน้าและอธิบายให้เจียงโม่หลีทราบเรื่องราวทั้งหมดได้…” จี้เตี๋ยครุ่นคิด จนสุดท้ายจึงตัดสินใจกลับไปยังพื้นที่โรงนา

บางเรื่องราวก็จำเป็นต้องเผชิญหน้าโดยไม่อาจหลบเลี่ยง เพราะเขาไม่มีทางหลบหน้าอีกฝ่ายไปตลอดกาลได้…

และยิ่งไปกว่านั้น เพราะปัจจุบันสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่หกแล้ว เขาจึงมีความรู้สึกมั่นใจมากพอเผชิญหน้า!

ภายหลังตัดสินใจเรียบร้อย จี้เตี๋ยจึงออกจากถ้ำเพื่อเดินทางลงจากยอดเขาโอสถ และครั้งนี้เขาไม่คิดปิดซ่อนตัวตนอีกต่อไปแล้ว

และไม่ช้า เรื่องราวก็เป็นไปดังที่คาดคิดเอาไว้ ระหว่างทางเขาได้พบกับหลิ่วเฉิงที่คล้ายจะได้ทราบข่าวจึงมาดักรอ

จี้เตี๋ยยืนนิ่งดุจขุนเขาขณะมองหลิ่วเฉิงที่อยู่ด้านล่างเนิน กระทั่งว่าอยู่ห่างกันหลายสิบก้าว แต่พวกเขาสามารถมองเห็นกันและกันได้ แม้ว่ารอบด้านจะมีแต่ป่ารกทึบและโขดหินก็ตาม

“ไอ้เด็กเวร ข้าอยากได้เห็นนักว่าครั้งนี้เจ้าจะหนีเอาตัวรอดเช่นไร” เพียงอึดใจนี้เองที่เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มที่หน้าตาดีคนหนึ่งก้าวเดินเชื่องช้าเข้ามาหา ทางด้านหลังยังตามมาด้วยหลิวจงที่มองจี้เตี๋ยราวกับผู้เหนือกว่าอย่างยิ่งใหญ่

“ศิษย์พี่เยี่ย!” ศิษย์คนที่สัญจรไปมาตระหนักพบเห็นว่าเป็นเยี่ยซือ พร้อมตระหนักทราบเช่นกันว่าบรรยากาศดูผิดแปลก เวลานี้พวกเขาจึงพยายามถอยเว้นระยะห่าง

“หนวกหูกันซะจริง!” จี้เตี๋ยเปรยสายตามองด้วยความเย็นเยือก ถัดจากนั้นจึงหันมองยังชายหนุ่มข้างเคียง พร้อมได้ตระหนักว่าอีกฝ่ายคือเจ้าภาพจัดงานแลกเปลี่ยนที่ตนเคยไปเข้าร่วม

“มาด้วยกันงั้นสินะ!” จี้เตี๋ยเผยสีหน้าเย็นชา ทั้งยังไร้ซึ่งความหวาดกลัว

“ก็ไม่เชิง อย่างไรเจ้าไม่คู่ควรให้ข้าลงมือด้วยอยู่แล้ว” เยี่ยซือยิ้มตอบด้วยความมั่นใจอันล้นเหลือ ถึงขนาดทำให้จี้เตี๋ยต้องขมวดคิ้ว

“จงคุกเข่าขออภัย และส่งถุงมิติกลับคืนมาซะ!”

เสียงนี้ดังมาจากทางด้านล่าง และหลิ่วเฉิงที่เผยสีหน้าเย็นเยือกมาโดยตลอดไม่ไหวติง เวลานี้กลับพุ่งทะยานเข้ามาหา

“ข้ากล่าวไปแล้ว ไปศึกษาหาคำใหม่มาใช้บ้าง!” จี้เตี๋ยมองตอบด้วยสายตาเย็นเยียบ และเพียงเขาขยับนิ้ว นาคาอัคคีสีชาดพลันทะยานออกมาด้วยความเร็วสูงล้ำ

เสียง “ฟู่” ดังขึ้น หลิ่วเฉิงที่ตอนแรกมองตอบด้วยท่าทีนึกรังเกียจ กลับเป็นฝ่ายเลือดกระอักออกมาจากปากพร้อมร่างกระเด็นลอยลิ่ว

4 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด