บทที่ 12 วิญญาณยุทธ์อันน่าสะพรึง
หลังจากสังหารหมาป่าเกล็ดดำแล้ว หลัวเฉิงก็ทรุดตัวลงกับพื้นราวกับใบไม้ที่ร่วงหล่น
เขาเหนื่อยล้าจากการเผชิญหน้าครั้งนี้จนเรี่ยวแรงแทบไม่เหลือ มือเขาก็เต็มไปด้วยคราบเลือด พร้อมบาดแผลเล็กน้อยที่เกิดจากการชกเกล็ดแข็งของหมาป่า
แต่ทุกอย่างที่เขาทุ่มเทไปเมื่อครู่ก็คุ้มค่ายิ่งนัก
เขารู้สึกว่าร่างกายแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งประสบการณ์ในการต่อสู้และพลังก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน!
“โชคดี ที่ข้าฝึกฝนเพลงหมัดสยบภูผาจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศ มิเช่นนั้น คงไม่สามารถรับมือกับหมาป่าเกร็ดดำตัวนี้ได้เป็นแน่” หลัวเฉิงพึมพำกับตนเอง
จากนั้น เขาก็หันกลับไปมองหมาป่าเกล็ดดำ ก่อนจะลุกขึ้นสืบเท้าเข้าหา เพื่อเก็บชิ้นส่วนซากของมันด้วยหวังจะนำไปขาย
พัฟ!
ระหว่างที่หลัวเฉิงสัมผัสร่างของหมาป่าเกล็ดดำ ก็พลันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันขึ้น
สัญลักษณ์เก้าสีบนฝ่ามือเขา ราวกับมีแรงดูดที่มิอาจมองเห็นได้!
ด้วยแรงดูดนี้ จู่ๆ เงาโปร่งแสงที่ราวกับวิญญาณหมาป่า ก็ปรากฏออกมาจากร่างของสัตว์อสูรเกล็ดดำที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
ในร่างของวิญญาณหมาป่า มันมีดวงดาวส่องแสงอยู่ ซึ่งไม่ถึงเสี้ยวลมหายใจที่มันปรากฏ สัญลักษณ์เก้าสีบนฝ่ามือเขาก็ดูดกลืนมันเข้าไปในทันที
ทันใดนั้น หลัวเฉิงก็รู้สึกถึงพลังอันมหาศาลที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่างขณะนี้ แล้วพลังนั้นยังหลั่งไหลเข้าสู่วิญญาณยุทธ์ของเขาอีกด้วย
ระหว่างที่เขากำลังมึนงงสงสัยกับสถานการณ์ตรงหน้า ดาราจักรอันไร้สิ้นสุดของไข่ลึกลับเก้าสี ก็มีแสงแห่งดาราสว่างวาบอยู่ครู่หนึ่ง!
“นี่คือ……” แสงนี้สะท้อนในดวงตาของหลัวเฉิง พานให้สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความฉงนสงสัยมากขึ้น
ครั้นลองไล่เรียงลำดับเหตุการณ์เบื้องหน้า ไม่ช้า แววตาของหลัวเฉิงก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจยิ่ง
สัญลักษณ์เก้าสี สามารถดูดซับวิญญาณสัตว์อสูรจากซากศพได้งั้นหรือ!
เป็นไปได้ไหม ที่วิญญาณยุทธ์ของข้า จะสามารถดูดกลืนวิญญาณสัตว์อสูรเพื่อใช้ในการเติบโต!
แม้หลัวเฉิงจะเป็นผู้ที่มีจิตใจดีงาม แต่เมื่อได้รู้เช่นนี้ เขาก็เกิดความรู้สึกต้องการฆ่าเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังภายในใจ
เดิมทีเขาไม่รู้วิธีฝึกฝนวิญญาณยุทธ์ของตนเอง แต่ตอนนี้ มันกลับไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอีกต่อไป และเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าที่เขาคิดไว้มาก
หากเขาดูดกลืนวิญญาณสัตว์อสูรมากพอ วิญญาณยุทธ์ของเขาต้องถือกำเนิดได้อย่างแน่นอน!
ตอนนี้ ผลลัพธ์ของการฝึกฝนด้วยวิญญาณยุทธ์ของเขา ดีกว่าวิญญาณยุทธ์ระดับสูง หรือแม้แต่วิญญาณยุทธ์ระดับวิญญาณ!
ซึ่งนี่เป็นวิญญาณยุทธ์ที่ยังไม่ถือกำเนิด หากมันถือกำเนิดโดยสมบูรณ์ พลังของมันจะมีมากขนาดไหนก็ยากนักจะจินตนาการได้!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หัวใจของหลัวเฉิงก็เร่าร้อนราวกับไฟที่ลุกโชนโหมกระหน่ำ ทำเอาความกระตือรือร้นของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“ระดับพลังยุทธ์ของข้า!”
หลังจากโจมตีกับสัตว์อสูรจนเหนื่อยล้า เขายังชื่นชมกับประสบการณ์ที่ได้มาเท่านั้น เมื่อถึงเพลานี้หลัวเฉิงเพิ่งรับรู้ได้ว่าระดับพลังยุทธ์ของเขา ได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเจ็ดแล้ว!
ไม่เพียงเท่านั้น มือที่ชุ่มโชกไปด้วยคราบเลือดและบาดแผลเมื่อครู่ ตอนนี้กลับหายเป็นปกติดั่งมิเคยเกิดสิ่งใดขึ้น!
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วกะทันหันเช่นนี้ ทำเอาหลัวเฉิงนิ่งแข็งเป็นไก่ไม้ด้วยอาการตกตะลึงอยู่นานสองนาน!
เวลาไม่ถึงถ้วยชา ไม่เพียงแต่ระดับพลังยุทธ์ของเขาทะลวงขั้นได้สำเร็จเท่านั้น แต่อาการบาดเจ็บก็หายเป็นปลิดทิ้งเช่นกัน!
นี่มันสุดเหลือจะเชื่อนัก!
จากนั้นไม่นาน หลัวเฉิงก็กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง เขาจ้องไปยังสัญลักษณ์เก้าสีบนฝ่ามือ ทันใดนั้น แววตาแห่งการตรัสรู้ก็ฉายขึ้นในดวงตาของเขา
สัญลักษณ์เก้าสีนี้สามารถดูดกลืนวิญญาณสัตว์อสูรได้ และวิญญาณสัตว์อสูรคือพลังแห่งการบำเพ็ญตบะ ที่ก่อเกิดเป็นปรานแท้ควบแน่นภายในกายของสัตว์อสูร
เมื่อวิญญาณยุทธ์ของเขาดูดกลืนวิญญาณสัตว์อสูร มันย่อมเป็นผลดีต่อตัวเขาอย่างมาก ทั้งในด้านฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ และการเลื่อนระดับพลังยุทธ์ด้วยเช่นกัน!
“วิญญาณยุทธ์ของข้าสามารถดูดกลืนวิญญาณสัตว์อสูรเพื่อใช้ในการเติบโต ด้วยสิ่งนี้มันสามารถช่วยให้ข้าทะลวงระดับได้อย่างรวดเร็ว หากดูดกลืนวิญญาณสัตว์อสูรมากพอ ความเร็วในการฝึกฝนของข้า ก็จะสูงกว่าผู้ที่เป็นถึงอัจฉริยะ!” หลัวเฉิงพึมพำด้วยสีหน้าอันเป็นสุข
ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ หัวใจเขายิ่งสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น
ตั้งแต่ที่เขาสาบานว่า จะไปเยือนตระกูลจีภายในเวลาสิบปี นั่นทำให้เขารู้สึกกดดันจนเป็นทุกข์ เพราะเกรงว่าตนจะมิอาจมีพลังเทียบเคียงกับจีหยวนเฮ่าได้
แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ด้วยความสามารถที่อัศจรรย์ของวิญญาณยุทธ์เขา ทำให้ความมั่นใจกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง!
“ดูท่าว่า ข้าคงต้องล่าสัตว์อสูรเพิ่มเสียแล้ว!” หลัวเฉิงขบคิดกับตนเอง
ครานึกถึงการฝึกฝนอันรวดเร็วของเขายามนี้ หลัวเฉิงก็แทบอดใจรอไม่ไหวอีกต่อไป เขาผลักร่างลุกขึ้นแล้วรุดหน้าสู่ป่าลึกในทันที
หลัวเฉิงไล่ล่าสัตว์อสูรในหุบเขาเมฆาทมิฬอย่างต่อเนื่อง ทั้งดูดกลืนวิญญาณสัตว์อสูร และเก็บซากชิ้นส่วนสำคัญของมันเพื่อนำไปขาย
ไม่ช้าเวลาก็ล่วงเลยไปถึงสี่วัน ในตอนนี้นั้น เขาได้สังหารสัตว์อสูรไปเกือบยี่สิบตัว
สัตว์อสูรเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นสัตว์อสูรระดับกลางหนึ่งดาว อีกทั้งยังมีแม้แต่สัตว์อสูรระดับสูงหนึ่งดาว ซึ่งความแข็งแกร่งของมันเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมกายาระดับแปด!
หลังจากดูดกลืนวิญญาณสัตว์อสูรเหล่านี้แล้ว หลัวเฉิงก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าความสามารถในการดูดซับปราณแห่งสวรรค์และโลก ของวิญญาณยุทธ์เขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
มิเพียงเท่านั้น ตลอดระยะเวลาสี่วันที่ผ่านมา ปราณแท้ของหลัวเฉิงก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งตอนนี้ เขาเกือบจะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับแปดได้แล้ว!
และเพลานี้ เขาสามารถชกหมัดด้วยแรงทั้งหมดที่มากถึงแปดร้อยจิน!
ยิ่งไปกว่านั้น หลัวเฉิงยังได้รู้ว่า ทุกครั้งที่เขาดูดกลืนวิญญาณสัตว์อสูร เขาจะสูญเสียปรานแท้ไปเป็นจำนวนมาก
หากเขาดูดกลืนวิญญาณสัตว์อสูรระดับกลางหนึ่งดาวสามตัวติดต่อกัน มันจะทำให้เขาอ่อนเพลีย
อย่างไรก็ตาม หลัวเฉิงไม่ได้สนใจในเรื่องนี้มากนัก
เพราะในปัจจุบัน พลังยุทธ์ของเขายังไม่สูงมากนัก จึงสามารถดูดกลืนวิญญาณสัตว์อสูรได้เพียงเล็กน้อย หากภายหน้าระดับพลังยุทธ์ของเขาสูงขึ้น จำนวนวิญญาณสัตว์อสูรที่สามารถดูดกลืนได้ก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน