ตอนที่ 290
ตอนที่ 290
ด้วยการล่มสลายของวังพงไพร และวังแสง นิกายพันดาบจึงขึ้นเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของซอยทมิฬเพียงลำพัง
เต๋าซุนมาที่สำนักงานใหญ่ของนิกายพันดาบในเมืองซอยทมิฬ
ทันทีที่เขาเข้าใกล้ ก็มียามสองคนหยุดเขาไว้ที่หน้าประตู
“ข้าต้องการพบหัวหน้านิกายพันดาบของพวกเจ้า ” เต๋าซุน กล่าวเบา ๆ
“เจ้าเป็นใครคิดจะมาพบท่านหัวหน้านิกายของเรา ไสหัวไปซะ” ทหารยามตอบอย่างเย่อหยิ่ง
เต๋าซุนขี้เกียจเกินกว่าจะรอ เขาชักดาบออกมาโดยตรงและสังหารทหารยามคนหนึ่ง
ยามอีกคนก็หวาดกลัว เขาคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว
เขาพูดอย่างสั่นเทา: "ท่านหัวหน้านิกายไม่อยู่ที่นี่
เขาเพิ่งออกไปข้างนอกและน่าจะไปที่ร้านอาหารซอยทมิฬในเมืองขอรับ"
เต๋าซุน ขมวดคิ้วเล็กน้อย ร้านอาหารซอยทมิฬ เป็นร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมือง
ว่ากันว่ามีกองกำลังแอบสนับสนุนพวกเขาอยู่
ไม่เช่นนั้น การทำธุรกิจในพื้นที่วุ่นวายเช่นนี้คงเป็นไปไม่ได้หากไม่มีอำนาจเบื้องหลัง
เต๋าซุนเดินตรงไปยังร้านอาหารซอยทมิฬ
ร้านอาหารถูกจองไว้หมดแล้ววันนี้
เขาเตะยามสองคนที่เฝ้าประตูออกไปแล้วเดินเข้าไปโดยตรง
มีคนนั่งอยู่เพียงโต๊ะเดียวในห้องอาหารขนาดใหญ่ทั้งหมด
ที่ใจกลางร้านอาหาร กลุ่มนักเต้นกำลังร้องเพลง เต้นรำ และหัวเราะ
ด้วยการบุกรุกของเต๋าซุน บรรยากาศก็เงียบลงทันที
สายตาของทุกคนมองไปที่เต๋าซุน
“เจ้าหนู เจ้าเป็นใคร” ชายที่อยู่ข้างๆก็กระแทกโต๊ะแล้วถามอย่างดุร้าย
“จั่วเอ๋อ นั่งลง” ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินข้างๆ ก็พูดพร้อมกับขมวดคิ้วขณะที่เขามองดูชายที่กำลังทุบโต๊ะ
จากนั้นชายร่างใหญ่ก็ยืนขึ้นและเดินไปหา เต๋าซุน ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
“ท่านคงเป็นคุณชายเต๋าใช่หรือไม่ ”
“เจ้ารู้จักข้ารึ” เต๋าซุนถามเบา ๆ
“ไม่มีใครในซอยทมิฬไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องที่วังพงไพรถูกทำลาย และข้าก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน” ชายคนนั้นยิ้มและตอบ
“ข้าเป็นหัวหน้าของนิกายพันทาบ เฉียนเหรินจือ”
“หัวหน้าเฉียน ดูเหมือนนิกายพันดาบของเจ้าจะไม่พอใจข้าสินะ ” เต๋าซุน กล่าวอย่างเย็นชา
“ ข้าไม่กล้า ไม่ทราบว่าพวกเราไปทำอะไรให้คุณชายขุ่นเคืองงั้นหรือ
คุณชายเพียงแค่เอ่ยมา ข้าจะชดใช้ให้อย่างเหมาะสม ” เฉียนเหรินจือ ตอบอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะกลับไปยังทวีปตะวันออก ข้าได้ยินมาว่านิกายพันดาบของเจ้าจะไม่อนุญาตให้เปิดใช้งานอาคมเคลื่อนย้ายในเมือง?” เต๋าซุน ถาม
“ถูกต้องแล้ว เพราะว่าพวกเรานั้นกำลังจับกุมใครบางคนอยู่
นางซ่อนตัวอยู่ในซอยทมิฬ และเรากลัวว่านางจะหนีไปผ่านอาคมเคลื่อนย้าย "
เฉียนเหรินจือก็พูดต่อว่า: "แต่กฎนี้มีไว้สำหรับคนทั่วไปเท่านั้น "
“พี่ใหญ่” เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียนเหรินจือ ชายที่อยู่ข้างๆที่ตบโต๊ะก่อนหน้านี้ก็ก็ตะโกนอย่างกังวล
“หุบปาก เจ้าไม่มีสิทธิ์ขัดจังหวะข้า” เฉียนเหรินจือดุด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ชายทุบโต๊ะก็เงียบไปครู่หนึ่ง และในที่สุดก็นั่งลงอย่างไม่เต็มใจ
“เจ้าคุมคนได้ดีหนิ” เต๋าซุน พูดด้วยรอยยิ้มจางๆ
“แต่เดิม ข้าเองก็คิดจะทำลายนิกายพันดาบของเจ้าเหมือนกับวังพงไพรเช่นกัน
แต่ถือว่าเจ้าโชคดี ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองฆ่าคนมากเกินไปหน่อย
ดังนั้นจึงเหนื่อยเล็กน้อย"
“ขอรับ เป็นพระคุณอย่างยิ่งขอรับคุณชายเต๋า” เฉียนเหรินจือพยักหน้าอย่างรวดเร็วและยิ้ม
“ข้าจะอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวัน อย่าได้คิดสร้างปัญหาให้ข้าเด็ดขาด ”
เต๋าซุนเตือนเล็กน้อยแล้วจากไป
-
เมื่อมองดูร่างที่จากไปของเต๋าซุน ชายตบโต๊ะก็พูดอย่างไม่อยากเชื่อ: "พี่ใหญ่ เหตุใดท่านต้องกลัวเขาด้วย ?
แม้ว่าเขาจะทำลายวังพงไพรได้ แต่นิกายพันดาบของเราก็หาใช่ใครจะมาข่มขู่ได้นะ "
“เจ้าจะรู้อะไร ?” เฉียนเหรินจือพูดเบาๆ: “เจ้ารู้ไหมว่าก่อนหน้านี้เขาเพิ่งไปทำอะไรมา”
"อะไรรึ?"
“เมื่อไม่กี่วันก่อน นิกายจื่อเทียนแห่งภูมิภาคเชิงหัวของเราซึ่งเป็นนิกายที่มีจักรพรรดิสองคนได้ล่มสลายลงแล้ว
และนั่นก็เป็นฝีมือของเขา ”เฉียนเหรินจือกล่าวอย่างเย็นชา
“เจ้ากล้าดียังไงไปหาเรื่องเขา? เจ้าคิดไหมว่าจะมีอีกกี่ชีวิตกันที่ต้องตายเพราะเจ้า?”
“นิกายจื่อเทียนถูกทำลายแล้วรึ?” ชายที่ตบโต๊ะหน้าซีดเล็กน้อย ราวกับว่าเขายังไม่อยากจะเชื่อ
“อย่ามองใครที่เปลือกนอกเด็ดขาด โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว” เฉียนเหรินจือพูดอย่างใจเย็น
“เจ้าจะทำอวดโอ้ยังไงก็ได้ในเมืองซอยทมิฬแห่งนี้ แต่บางครั้งเจ้าก็ต้องระวังไว้ด้วย
จะเป็นยังไงหากวันหนึ่งเจ้าไปหาเรื่องคนที่ไม่อาจแตะต้องได้เข้า ถึงตอนนั้นคิดบ้างไหมว่าชีวิตเจ้าจะเป็นยังไง "
“พี่ใหญ่ ขอบคุณที่สอนบทเรียนให้ข้า” ชายตบโต๊ะพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
หลังกลับมาที่โรงน้ำชาของตระกูลโม่ เขาก็สั่งให้โม่ซานจัดเตรียมอาคมเคลื่อนย้าย ซึ่งมันต้องใช้เวลาเจ็ดวัน
เต๋าซุนก็เตรียมที่จะพักผ่อนที่นี่ชั่วคราวสักสองสามวันก่อน
ตอนนี้เขาได้มาถึงจุดสูงสุดของระดับ 6 แล้ว และจวนจะใกล้จะก้าวผ่านสู่ระดับ 7 แล้ว
อีกไม่ไกลประตูชีพจรเส้นที่เจ็ดก็จะเปิดออก
หลังจากที่เขาควบแน่นพลังจิตวิญญาณได้เพียงพออย่างสมบูรณ์ เขาก็ได้ก้าวเข้าสู่ครึ่งก้าวระดับ 7 แล้ว
แต่ก่อนหน้านั้น เต๋าซุนก็เริ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีลับในการหลอมร่างนักรบแฝดจากเผ่าปีศาจเสียก่อน
นอกจากการหลอมร่างนักรบเข้ากับร่างกายแล้ว วิธีการลับนี้ยังสามารถทำให้เขาหลอมรวมวิญญาณของเขาเข้ากับร่างนักรบได้ด้วย
การเลือกร่างนักรบที่เหมาะสมกับวิญญาณนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ร่างที่มีอันดับสูงนัก เพียงเลือกร่างที่เหมาะสมย่อมดีที่สุด
เป้าหมายของเต๋าซุนคือร่างนักรบลำดับที่ 9 ซึ่งก็คือ ร่างเก้าอาราม
ร่างนี้เป็นร่างที่สมดุลอย่างสมบูรณ์
ร่างเก้าอาราม อาจกล่าวได้ว่าเป็นทั้งร่างที่สมดุลทั้งการโจมตีและการป้องกัน และถือได้ว่าเป็นร่างที่เหมาะที่สุดสำหรับวิญญาณ
เพียงแต่ร่างนักรบนี้ถูกซ่อนอยู่ในวัดพุทธฝังศพ และมันยากมากที่จะเอาออกมาได้
ถ้า เต๋าซุน เลือกที่จะใช้กำลังบังคับ มันก็ย่อมเอามาได้ไม่ยาก
แต่….โชคชะตาของยุคนี้ยังไม่ปรากฏ และยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเลยกว่าจะถึงสงครามแย่งชิงโชคชะตาครั้งสุดท้าย
เขาไม่อาจทำตัวให้ตกเป็นเป้าหมายของตัวตนที่คอยเฝ้าดูชะตากรรมของเขาได้
บางครั้งเขาเอาแต่ใจและทำอะไรตามต้องการก็จริง แต่เต๋าซุนก็รู้ขอบเขตดีว่าควรพอตอนไหน
-
ค่ำคืนอันมืดมิดมาเยือน และท้องฟ้าก็มืดมิดราวกับว่ามันถูกสัตว์ร้ายขนาดยักษ์กลืนกิน โดยไม่มีแสงดาวแม้แต่ดวงเดียวให้มองเห็น
เต๋าซุนไม่ได้อาศัยอยู่ในโรงน้ำชาของตระกูลโม่ แต่มาที่โรงแรมแห่งหนึ่งในซอยทมิฬเพื่อพัก
ในห้องเงียบๆ เสียง "ปัง" ก็ดังขึ้นเบาๆ
ประตูถูกผลักให้เปิดออก และมีร่างหนึ่งวิ่งเข้ามาจากด้านนอก
แม้ในความมืด เต๋าซุนก็ยังมองเห็นใบหน้าของบุคคลที่มาได้อย่างชัดเจน
นางคือเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง
ใบหน้าและร่างกายของนางเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก แต่ดวงตาสีดำโตของนางนั้นมีเสน่ห์และชัดเจนมาก
“เจ้าเป็นใคร” เต๋าซุนมองไปที่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ และถามอย่างสงสัย
“นายท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย”
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ส่งเสียงร้อง และเสียงของนางก็เหมือนกับเสียงร้องของนกขมิ้น มันไพเราะและฟังดูสบายใจเป็นอย่างมาก
“เจ้ารู้จักข้ารึ” เต๋าซุนถามอย่างสงสัย
“ข้าเองก็อยู่ที่นั่นเหมือนกันในวันที่ท่านทำลายวังพงไพร” เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คุกเข่าลงและตอบ
“ตอนนี้ที่ซอยทมิฬแห่งนี้มีท่านเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ช่วยข้าได้”
“ข้าดูเหมือนคนดีที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นรึ?” เต๋าซุนถามด้วยรอยยิ้ม
“ข้ารู้แค่ว่าคุณชายมีความสามารถพอจะช่วยข้าได้ ได้โปรดเถอะเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อ้อนวอน
“การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นย่อมต้องมีของตอบแทนไม่ใช่รึ?” เต๋าซุน ถามด้วยรอยยิ้ม
“ข้ายอมเป็นวัวหรือม้าให้ท่านได้”
“ข้าไม่สน” เต๋าซุนขัดจังหวะเด็กหญิงตัวเล็กทันที จากนั้นก็โบกมือเบาๆ
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ก็สะดุ้ง และนางก็ยืนอยู่เงียบ ๆ กลางห้อง
ความมืดเริ่มปกคลุมไปทั่วร่างกายของนาง และนางก็ก้มศีรษะลงและไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่