บทที่ 175 เขาเสร็จแล้วหรือ?
“นี่!”
เฉิงเป้ยเป้ยซึ่งลุกยืนมองพี่ใหญ่ตนอยู่ขอบอัฒจันทร์ พลันสะดุ้งถอยตัวกลับกระทั่งล้มลงด้วยหวาดกลัว เมื่อต้องเผชิญกับเปลวไฟอันโหมแรงจากสวรรค์และโลก
นางนิ่งค้างในท่านั่งจมไปกับกลุ่มคนที่กำลังยืน ขณะดวงตาเบิกกว้างประหนึ่งเห็นวิญญาณร้ายตอนกลางวันมิมีผิด ขนทั่วสารพางค์กายก็พลางลุกชันหนาวยันสันหลังกระดูก
อาการนี้ ไม่เพียงมีแค่นางเท่านั้น แต่เหล่าองครักษ์ผู้คอยเอาใจถือท้ายความหยิ่งทะนงอยู่เป็นนิจ ยังประสบความรู้สึกเดียวกัน จนหลงลืมหน้าที่ปล่อยผู้เป็นนายนั่งคลุกอยู่กับพื้นนานสองนานก่อนทันรู้สึกตัว
“อง องค์หญิง!” ทั้งหมดต่างรีบปรี่เข้าพยุงร่างเล็กให้ยืน ขณะก้มหน้าเตรียมใจรับเสียงก่นด่าทว่ากลับไม่มี ด้วยเพลานี้สตินางเอาแต่จดจ้องอยู่กับภาพเบื้องหน้ายังมิคลาย
นางเพียงสลัดแขนทั้งสองที่บรรดาองครักษ์พยุง ให้หลุดจากการเหนี่ยวรั้งตัว ก่อนค่อยๆ ย่างกรายเข้าเกาะขอบอัฒจันทร์ดังเดิม ระหว่างสายตาเขม็งจ้องเปลวไฟเหล่านั้นอย่างพรั่นกลัวอีกหน
ส่วนเฉินหยวนผู้เพิ่งมาถึง และทันการแข่งรอบสองพอได้ประจักษ์กับสิ่งนี้ด้วยตนเอง ก็พานตัวสั่นเทาด้วยตื่นเต้นมิต่างเช่นกัน
“ปรากฎว่าสิ่งที่เจ้าตำหนักกล่าว เป็นเรื่องจริง!” เขาพึมพำ ขณะยกมือขึ้นลูบแขนทั้งสอง
สี่เดือนที่แล้ว ระหว่างเขาพาหยางเสี่ยวเทียนเดินทางมายังสำนักเสินเจี้ยน เด็กน้อยเคยกล่าวว่าตนสามารถสัมผัสถึงไฟแห่งสวรรค์และโลกรอบตัวกว้างร้อยห้าสิบฉื่อ แต่เพลานั้นเขายังไม่เชื่อ ด้วยคิดว่าเป็นเพียงวาจาถือดีของเด็กไร้เดียงสา
ทั้งยังตามืดบอดแลหลงผิดอยู่หลายครา ด้วยเขาเก่งกาจกว่าศิษย์ที่ตนตัดสินใจเลือก ถึงหยางเสี่ยวเทียนจะแสดงให้เห็นความอัศจรรย์ใจตั้งมากหน แม้หลังจากที่เขา ได้เข้าเป็นศิษย์สำนักเสินเจี้ยนจนทำให้เฉินหยวนเปลี่ยนความคิดแย่ๆ เป็นภาคภูมิในตัวเขาไปทั้งหมดแล้ว
แต่เมื่อได้นึกถึงสิ่งแย่ๆ ที่ตนเคยไร้ซึ่งความศรัทธาในตัวหยางเสี่ยวเทียนแล้ว เฉินหยวนก็พลันรู้สึกเสียใจกระทั่งโทษตัวเอง ที่เป็นถึงรองเจ้าสำนักแต่แววตานั้นหามีไม่
“อภัยข้าด้วย เสี่ยวเทียน…” น้ำเสียงสั่นเครือเฉินหยวน ขณะคร่ำครวญด้วยรู้สึกผิดอยู่เต็มประดาอกต่อเรื่องคราก่อน
ส่วนหลี่เหวิน อู๋ฉี เฟิงซิง โม่หลิงข่าย พร้อมเหล่าคนที่อยู่บนปะรำพิธีอย่างเจ้าเมือง ที่เพิ่งนั่งลงก็ต่างลุกขึ้นยืนกันอีกครั้ง ด้วยตกใจเกินบรรยายเมื่อเห็นไฟอันท่วมท้นจากสวรรค์และโลก
“อะไรกัน!”
หลี่เหวินและคนทั้งสาม ต่างเป็นนักปรุงโอสถผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรเสินไห่ ที่ล้วนรู้จักแลสัมผัสถึงพวกมันเป็นอย่างดี เพียงประหลาดใจด้วยไม่คาดว่าเด็กอายุเท่าเขา จะสามารถขับเน้นไฟจากสวรรค์และโลกออกมาได้มากขนาดนี้
แม้พวกเขาจะสามารถขับเน้นไฟแห่งสวรรค์และโลกได้ในระยะร้อยห้าสิบฉื่อ แต่ก็ไม่พุ่งพล่านกระทั่งออกมาหลอมรวมกันรวดเร็วราวทะเลเพลิงปานนี้
แตกต่างจากหยางเสี่ยวเทียนเพลานี้โขนัก ที่ทั้งรุนแรงแลรวดเร็วยิ่งกว่า ประหนึ่งเขาเป็นตัวก่อกำเนิดไฟเหล่านั้นเสียเอง
“ข้าไม่หวัง ว่าพลังทางจิตวิญญาณของนายน้อยจะแข็งแกร่งมากเพียงนี้” อูฉีเปิดปาก ขณะดวงตายังค้างแข็งกับความรู้สึกตื่นตาเคล้ายินดีที่ได้พานพบ
“พลังทางจิตวิญญาณของนายน้อยแข็งแกร่งจริงๆ ภายภาคหน้า ข้าเกรงว่าเขาจะสามารถหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสูงได้แน่!” หลิวอันเสริม พลางยิ้มอย่างสำราญ
อูฉีพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมแสดงรอยยิ้มบนใบหน้าเหี่ยวย่น หากเพลานี้ บรรดาศิษย์เขาไม่เอาแต่จับจ้องเด็กน้อยผู้ยืนนิ่งกลางลานแข่ง พวกเขาคงได้ผงะตกใจกับใบหน้าอาจารย์ตน ผู้ไร้ซึ่งอาการใดๆ กับพวกตนเสมอมา โดยเฉพาะความรู้สึกปลาบปลื้มเช่นนี้
ส่วนการแสดงออกของหยางเสี่ยวเทียนกลางลานยังคงเหมือนเดิม ระหว่างเขาเริ่มโบกมือขวา สมุนไพรทั้งสิบสี่ชนิดที่วางอยู่บนโต๊ะหินอ่อนขาว ก็พลันลอยขึ้น พร้อมล่องไปหยุดอยู่เหนือปากเตาหลอม
“ไป!”
สิ้นเสียง หนึ่งในสมุนไพรทั้งสิบสี่ชนิดก็ตกลงในเตาหลอมทันที ไฟของสวรรค์และโลกที่กำลังลุกโชติช่วงขณะเขาผลักมือทั้งสองข้างไปข้างหน้า ก็พร้อมโถมเปลวเพลิงเข้าใส่เตาหลอมอย่างคล่องแคล่ว
ผู้คนต่างได้ประจักษ์เห็นเปลวคลื่นของไฟจากสวรรค์และโลก เทลงในเตาหลอมโอสถทีละระลอกคลื่น คงความสมบูรณ์แบบไม่มีขาดมีเกินไปสักช่วงระหว่างมันโถมใส่
หลังสมุนไพรชนิดแรกใกล้ละลายได้ที่ หยางเสี่ยวเทียนก็เติมชนิดสอง สาม สี่ไปเรื่อยๆ กระทั่งครบทั้งหมด ซึ่งแต่ละระลอกเปลวไฟของสวรรค์และโลก สมุนไพรในเตาหลอมเหล่านั้น จะเริ่มละลายเกือบทุกส่วน
ผ่านไปอยู่หลายระลอกคลื่นจากไฟ ครึ่งหนึ่งของสมุนไพรทั้งสิบสี่ชนิด ก็ละลายเป็นของเหลว ซึ่งถือว่าเร็วมากนัก
เมื่อเหล่านักปรุงโอสถหลายคนผู้คอยเฝ้าดูการแข่งนี้ ประสบเห็นภาพที่เกิดขึ้น พวกเขาทุกคนถึงกับเริ่มส่งเสียงฮือฮา พร้อมพินิจพิเคราะห์ต่อความเร็วอันน่าทึ่งกันต่างๆ นาๆ ว่าเป็นไปได้อย่างไร เขาทำได้อย่างไร สิ่งเช่นนี้ใช่ฝีมือเด็กกระทำจริงหรือ
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นการหลอมสมุนไพรทำโอสถด้วยวิธีอันรวดเร็วเช่นนี้
สำหรับพวกเขา ที่คิดจะทำการหลอมโอสถแต่ละครา ยังต้องเค้นพละกำลังอยู่หนักมากกว่าจะขับไฟแห่งสวรรค์และโลกออกมาทำการหลอมโอสถได้สำเร็จ
เพราะหากสมาธิอันตั้งมั่นพลังทางจิตวิญญาณไม่เสถียรหรือแข็งแกร่งมากพอ เพียงพลั้งเผลอคลาดเคลื่อนไปชั่วแล่น พวกเขาก็จะสูญเสียการควบคุมไปโดยปริยาย
แต่ไฟจากสวรรค์และโลกขณะนี้ กลับเชื่อฟังหยางเสี่ยวเทียนประหนึ่งพวกมัน ยอมสยบให้แก่เขาผู้เดียวได้ใช้
ขณะหยางเสี่ยวเทียนผลักมือดันคลื่นเปลวไฟระลอกแล้วระลอกเล่าไปยังเตาหลอม ช่วงตอนของไฟมิมีขาดหาย หรือทิ้งร่องรอยความผิดพลาดใดให้ติได้เลย พวกมันทั้งสมบูรณ์แลคงความเสถียรได้อย่างน่าอัศจรรย์
หลี่เหวินและหลินหยวนเพลานี้ ก็พานประหลาดใจเช่นกันเมื่อเห็นทักษะการหลอมโอสถของหยางเสี่ยวเทียน
แม้สิ่งที่หยางเสี่ยวเทียนใช้อยู่ตอนนี้ จะไม่ใช่ทักษะวายุคลั่งก่อนหน้า แต่มันก็เป็นทักษะฝ่ามือผันกระแสและฝึกฝนยากสุดในบรรดาทักษะเหล่านี้
ซึ่งการผลักคลื่นเปลวไฟของเขาทุกระลอกโถมใส่เตาหลอม ทำให้สมุนไพรแต่ละชนิดละลายเร็วมาก
อย่างไรก็ตาม การใช้ทักษะชั้นสูงพวกนี้ล้วนผลาญพลังทางจิตวิญญาณอยู่มาก โดยทั่วไปแล้ว หลังผลักคลื่นไฟเพียงสิบระลอก คนผู้นั้นก็จะหมดเรี่ยวแรงและจำต้องเปลี่ยนทักษะอื่นใช้ควบคู่จนกว่าจะหลอมเสร็จ
แต่สิ่งที่กล่าวมานั้น กลับไม่ใช่กับหยางเสี่ยวเทียนเพลานี้ เพราะตั้งแต่เขาเริ่มใช้ทักษะฝ่ามือผันกระแสผ่านมาสิบระลอกคลื่นแล้ว พวกเขายังไม่ปรากฏเห็นเจ้าเด็กตัวน้อย มีทีท่าหมดแรงเลยสักนิด
หลังคลื่นเปลวไฟยี่สิบระลอกผ่านไป กลิ่นหอมของโอสถภายในเตาหลอม ก็เริ่มฟุ้งกระจายออกมา ตลบอบอวลไปในอากาศ
ซึ่งหลังผ่านระลอกไฟที่สามสิบ หยางเสี่ยวเทียนก็หยุดการเคลื่อนไหวของมือทั้งสองลง พร้อมหันกลับมายืนนิ่ง รอให้นักปรุงโอสถทำการตรวจสอบระดับ เข้ามาพิสูจน์ก่อนประกาศผลทันทีขณะสายตาผู้ยังคอยจับจ้อง ต่างฉงนด้วยเขาหยุดกะทันหัน
เตาหลอมชั่วเวลานี้ ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของโอสถส่งออกมา เข้มข้นกว่ากว่าครู่ที่แล้ว จนทำให้ผู้คนโดยรอบจัตุรัสได้กลิ่นหอมอันน่าหลงใหลจากมัน
“เขาเสร็จแล้วหรือ” ทุกคนแทบไม่อยากเชื่อ
พวกเขาต่างพร้อมใจกันยืดคอดู ว่าโอสถสร้างฐานวิญญาณได้รับการขัดเกลาในเตาหลอมโอสถจริงหรือไม่ ด้วยเวลามันผ่านไปเร็วกว่าปกติ จนไม่น่าหลอมให้สำเร็จได้
ระหว่างผู้คนกำลังส่งเสียงฮือฮาแปลกใจอยู่นั้น หลินหยวนก็กระโจนปราดลงจากแท่นอีกครั้งและเดินตรงไปยังเตาหลอมโอสถที่อยู่ตรงหน้าหยางเสี่ยวเทียนด้วยใจอันจดจ่อ