ตอนที่ 36 การแสดง
ตอนที่ 36 การแสดง
“ถึงคราวข้าแล้ว!” หลิ่วเฉิงหัวเราะตอบด้วยสายตาอันเย็นเยือก พร้อมกันนี้จึงพุ่งตัวตรงเข้าหาซูลั่วด้วยร่างอันใหญ่ยักษ์เปี่ยมด้วยกำลัง!
ใบหน้าอันงดงามของซูลั่วกลายเป็นเย็นเยือก นางเองก็ไม่มีทางนิ่งเฉยรอคอยความตาย ขณะนี้จึงยกมือขึ้นเรียกเถาวัลย์นับไม่ถ้วนขึ้นมาจากพื้น จนก่อเกิดเป็นกำแพงหนาสองชั้นตรงหน้าขวางเส้นทางหมัดเอาไว้
เสียงกำแพงเถาวัลย์แตกพังดังขึ้นในชั่วพริบตา ร่างของซูลั่วถูกแรงอัดอากาศซัดจนต้องล่าถอยไปยังทิศทางที่จี้เตี๋ยคิดใช้หลบหนี
“นางยังเทียบไม่ได้เลยงั้นหรือ?” จี้เตี๋ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เพราะเขาเพิ่งได้ประสบกับตนเอง ว่าวิธีการต่อสู้ของนางคือเถาวัลย์อันแข็งแกร่งชวนสะพรึง ทั้งยังพร้อมปรากฏขึ้นมาจากทั่วแห่งหนอย่างเงียบงัน!
คล้ายว่าหลิวจงจะหาคนมาช่วยเหลือได้ดีไม่ใช่น้อย
จี้เตี๋ยกัดฟันขณะยอมทิ้งความคิดเผ่นหนี เขาย่อตัวก่อนจะพุ่งทะยานกลางอากาศไปช่วยคว้าร่างนางเอาไว้
หากว่าไม่คว้าเอาไว้และปล่อยนางร่วงหล่นกระแทกพื้น ต่อให้ไม่ตายก็คงบาดเจ็บหนักอยู่พอสมควร
แต่ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อไม่ให้นางเจ็บตัว คือการที่เขาต้องแบกรับเอาไว้แทน เพราะยามคว้าร่างนั้นเอาไว้ได้จนร่วงหล่นกับพื้น เขาต้องกลิ้งไปมาหลายตลบกว่าจะหยุด
“อูย…” ก่อนจี้เตี๋ยจะทันร้องบ่น เขากลับได้ตระหนักว่าฝ่ามือกำลังวางอยู่บนอะไรสักอย่างที่นุ่มนิ่ม
จี้เตี๋ยชะงัก แต่แล้วสติสัมปชัญญะกลับสั่งให้ลองบีบคลึงดูเสียอย่างนั้น สุดท้ายเขาจึงต้องกระเด็นออกมาเพราะแรงโทสะใต้ร่าง
เมื่อครู่ก็เจ็บตัวไปแล้ว ขณะนี้ยังต้องกลิ้งกับพื้นอีกหลายตลบ มันยิ่งส่งเสริมให้อาการบาดเจ็บของเขาเลวร้ายลง!
“เจ้าเป็นบ้าอะไร? ข้าเสี่ยงบาดเจ็บมาช่วยแล้ว นี่หรือวิธีตอบแทน?”
จี้เตี๋ยลุกพรวดขึ้นมาด้วยความโกรธ กระทั่งตะโกนถามหาเหตุผล แต่ตอนนี้เองที่เขาได้ตระหนักว่าสายตาของนางเปี่ยมด้วยความโกรธเคืองและอับอาย กระทั่งดูจงเกลียดจงชัง ตอนนี้เองที่เขาชะงักและนึกอะไรขึ้นมาได้
“มันเป็นอุบัติเหตุ ข้าไม่ได้ตั้งใจ!” จี้เตี๋ยเร่งร้อนอธิบาย
“ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน!” ซูลั่วไม่คิดรับฟังแม้แต่น้อย ดวงตาของนางกำลังเปี่ยมล้นด้วยความอับอายและโกรธเคือง จนถึงขนาดอยากสู้จนกว่าตัวตายเพื่อล้างอาย
เพียงแต่พลังวิญญาณในกายของนางแทบจะแห้งเหือด เพราะเมื่อครู่เพิ่งใช้คาถาไปชุดใหญ่ ทั้งนี้ยังบาดเจ็บจนแรงกายแทบไม่หลงเหลือ สุดท้ายพอพยายามฝืนลุกขึ้นมาได้ เพียงขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็แทบจะล้มลง
“มันเป็นอุบัติเหตุจริง ๆ ข้าไม่ได้…” จี้เตี๋ยเร่งร้อนเข้าไปช่วยประคอง
“ข้าจะลากเจ้าตายตาม!” ดวงตาของซูลั่วปรากฏรื้นน้ำตาขณะพยายามแยกเขี้ยวขู่
จี้เตี๋ยตระหนักได้แล้ว เวลานี้จึงกระตุ้นพลังวิญญาณของตนเองขึ้นมาอย่างทันท่วงที สุดท้ายจึงใช้ฝ่ามือฟาดที่หลังคอของนางทำให้สิ้นสติไป
“จงคุกเข่าขออภัย และส่งถุงมิติมาได้แล้ว!” ผ่านไปแค่ชั่วครู่ หลิ่วเฉิงเร่งรุดเข้ามาประชิดอีกครั้งพร้อมเสียงคำราม!
“ข้าบอกไปแล้วไง ว่าข้าคร้านจะฟังวาจาไร้สาระพวกนี้!” จี้เตี๋ยคว้าร่างซูลั่วพร้อมพยายามเร่งร้อนถอย ขณะเดียวกันก็เตะก้อนหินใหญ่ขนาดครึ่งตัวคนพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วย
“ไม่ประมาณตน!” หลิ่วเฉิงแค่นเสียงเย้ยหยัน ขณะกำลังจะต่อยหมัดซัดก้อนหิน ตอนนี้เองที่ได้ตระหนักว่ามันมีนาคาอัคคีพุ่งตามก้อนหินมา
เสียงดังสนั่นเลือนลั่น หินขนาดใหญ่ราวครึ่งตัวคนระเบิดแตกกระจายคาที่ เศษหินนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายทั่วแห่งหน หลิ่วเฉิงที่อยู่ใกล้สุดต้องเร่งร้อนยกแขนขึ้นมาบังใบหน้าเอาไว้
ภายหลังจี้เตี๋ยลงมือโจมตี เขาไม่ได้ลงมือซ้ำ แต่เลือกที่จะหันกลับวิ่งหนีไปอีกทิศทางจนทิ้งระยะไกลห่าง
หลิวจงเร่งร้อนตะโกนดังขึ้น “ศิษย์พี่หลิ่ว มันหนีไปแล้วขอรับ!”
“ตามไป!” หลิ่วเฉิงเผยสีหน้าดำมืด ขณะนี้เขาลดแขนลงจนได้เห็นเพียงแผ่นหลังของจี้เตี๋ยที่เผ่นหนีไปด้วยความเร็วสูงล้ำ
ส่วนทางด้านจี้เตี๋ยที่วิ่งหนี ปัจจุบันกำลังขมวดคิ้วไปมาขณะก้มลงมองบุคคลในอ้อมแขน
นางเป็นคนร่างเล็กที่สูงเพียงแค่ช่วงคอของเขาเท่านั้นเอง ร่างกายก็ไม่ได้หนักอะไร กระทั่งว่าอุ้มได้ง่ายเลยด้วยซ้ำ
“สตรีผู้นี้ไม่รู้จักประเมินคู่ต่อสู้เอาเสียเลย ไม่รู้เลยว่านางบาดเจ็บหนักมากหรือไม่” จี้เตี๋ยพึมพำกับตนเอง ขณะเดียวกันก็ตระหนักทราบว่ามีคนไล่ตามมา เขาแค่นเสียงอยู่ภายใน ก่อนจะปะทุพลังวิญญาณออกมาเร่งความเร็วเพื่อหาทางหลุดพ้นจากการไล่ล่า จนสุดท้ายเขาจึงกลับถึงถ้ำของตนเองก่อนจะปิดประตูหิน
“แล้วนี่นางจะหลับไปถึงเวลาไหนกันล่ะเนี่ย” จี้เตี๋ยก้มมองสตรีในอ้อมแขน จนสุดท้ายค่อยวางร่างนางลงกับพื้น
และคล้ายว่ายามนี้ฤทธิ์ยาจะผ่านพ้นไปแล้ว คางเรียวของนางเริ่มกลับมากลมรูปไข่อีกครั้ง จมูกและดวงตาก็เปลี่ยนกลับคืนเป็นรูปลักษณ์ดังเดิม เพียงแต่เวลานี้ยังหลับตาอยู่ ทำให้สีหน้าท่าทีดูเล่ห์ร้ายน้อยลง กระทั่งว่าเงียบไม่มีปากมีเสียง
จี้เตี๋ยหันมองยังถุงมิติที่เอวของนางอย่างไม่รู้ตัว
หากเขาจำไม่ผิด ด้านในจะต้องมีหญ้าจักรพรรดิหยกอยู่!
เพียงแต่ถุงมิติมีรอยพันธะกับเจ้าของ เขาไม่อาจเปิดมันออกได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่มอง
และต่อให้ได้หญ้าจักรพรรดิหยกมา ลำพังแค่เขาก็ไม่อาจปรุงยาได้
และเพื่อไม่ให้นางตื่นจนไล่ล่าพาตนเองกลับไปหาเจียงโม่หลีอีกครั้ง จี้เตี๋ยลอบเผยประกายในดวงตาก่อนจะแอบย่องออกไปนอกถ้ำ
ผ่านไปสักพักหนึ่ง เขากลับมาพร้อมผลไม้สีแดงจำนวนหนึ่ง กระทั่งแปะมะนาวไว้บนใบหน้าเพื่อทำให้สีหน้าดูซีดเซียวลง
ภายหลังผ่านไปสักพัก ซูลั่วที่อยู่บนพื้นลืมตาตื่น ยามพบเห็นว่าตนเองนอนอยู่ในถ้ำ นางจึงสำรวจมองรอบด้านด้วยความสงสัย
นางจำได้แค่ว่าก่อนหมดสติจี้เตี๋ยเป็นคนลงมือทำให้นางสิ้นสติ และหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นก็จำไม่ได้แล้ว
ยามนึกได้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น นางจึงเริ่มตรวจสอบอาการของตนเอง
ทุกอย่างเรียบร้อยดี
เสื้อผ้ายังอยู่ครบถ้วน ไม่มีร่องรอยการแตะต้อง…
“ตื่นแล้วหรือ? ก่อนหน้านี้มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันจริง ๆ นะ…”
ตอนนี้เองที่เสียงหนึ่งดังขึ้นจนนางต้องสะดุ้ง
“กล้าพูด! ภายหน้าอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีก หากไม่แล้วข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย!” ซูลั่วกวาดสายตาหาจนพบคนต้นเสียง
“ทราบแล้ว ไม่เอ่ยถึงแล้ว แค่กแค่ก…” หาได้คาดคิดไม่ ว่าก่อนจะทันพูดจบ เขากลับโขลกไอออกมาพร้อมร่องรอยสีแดงที่มุมปาก
“เจ้า…” ซูลั่วชะงัก
จี้เตี๋ยปาดเช็ดคราบน้ำผลไม้สีแดงจากมุมปาก สุดท้ายจึงมองนางด้วยสายตาอิดโรย
“ไม่เป็นไร ก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อย ท่านไม่ต้องรู้สึกผิดไปแต่อย่างใด ข้านำท่านมาที่นี่ก็เพื่อพาหลบหนี แค่กแค่ก! อาการบาดเจ็บท่านเป็นเช่นไรบ้าง? แค่กแค่ก!”
ซูลั่วรู้สึกประหนึ่งมีหนามทิ่มแทงลำคอ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายพูดเรื่องจริง เป็นเหตุให้ใจนางเกิดความรู้สึกอันซับซ้อน ภายหลังพูดไม่ออกไปชั่วขณะจึงตอบกลับ “ไม่ได้รุนแรงอะไร”
นางสัมผัสถุงมิติก่อนจะเรียกขวดหยกใบหนึ่งออกมา สุดท้ายจึงเทยาออกมาจากขวดและกลืนลงไป ไม่ช้าสีหน้าจึงค่อยดูมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง
จี้เตี๋ยลอบมอง ไม่ช้าจึงได้เห็นว่าซูลั่วโยนขวดหยกมาให้
“ยานี้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บได้”
“ข้าไม่เป็นไร” จี้เตี๋ยโขลกไออีกครั้ง ของเหลวสีแดงเยิ้มออกจากมุมปากอีกรอบหนึ่ง เพราะเขาทราบดีว่าตนเองกำลังแสดงละครฉากหนึ่ง ดังนั้นจึงโยนขวดหยกกลับคืน
“เจ้า…” ซูลั่วขมวดคิ้ว
“ศิษย์พี่หญิงซู ท่านเชื่อข้าหรือไม่?” จี้เตี๋ยมองนางด้วยรอยยิ้มที่ซีดเซียว เขากำลังแสดงเสแสร้งทำเป็นอ่อนเรี่ยวแรงให้นางพบเห็น
“ข้าไม่เคยพูดเลยว่าตนเองหมั้นหมายอะไรกับศิษย์พี่หญิงเจียง เป็นข้าถูกใส่ร้าย…”
“เรื่องนี้…”
“แค่ก แค่ก…”
“ข้าเชื่อเจ้า” ซูลั่วขมวดคิ้ว สุดท้ายจึงส่งยาให้อีกครั้งก่อนจะเอ่ย “กินยาเสียก่อน”
จี้เตี๋ยแอบยิ้มยินดีอยู่ภายใน ยามพบเห็นว่าถึงเวลาอันเหมาะสม ครั้งนี้เขาไม่ปฏิเสธ
“หากเจ้าไม่ได้เป็นคนทำ ไฉนไม่ไปอธิบายให้ศิษย์พี่โม่หลีทราบกันเล่า?” ซูลั่วถาม
“หากข้าพูดแล้วนางจะฟังงั้นหรือ? ข้าอยากอธิบายแทบขาดใจ แต่ท่านเองก็เห็น แม้แต่ท่านเองยังไม่เชื่อ ด้วยสถานะคนที่เกี่ยวข้องและเหมือนจะเป็นต้นตอเช่นข้า เกรงว่าศิษย์พี่หญิงเจียงคงได้ฆ่าตายตั้งแต่แรกพบเห็นหน้าด้วยโทสะ ดังนั้นข้าจึงอยากทะลวงสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่หกเสียก่อนจึงค่อยไปอธิบาย ศิษย์พี่หญิงซูพอจะเก็บความลับนี้เอาไว้ อย่าเพิ่งบอกแก่ศิษย์พี่หญิงเจียงได้หรือไม่ขอรับ?” จี้เตี๋ยเผยยิ้มอันขื่นขมขณะมองอ้อนวอน