ตอนที่ 35 จับตัว
ตอนที่ 35 จับตัว
“ศิษย์พี่หญิงซู ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ขอรับ ข้าไม่ทราบด้วยซ้ำว่าศิษย์พี่หญิงโม่หลีเป็นใคร! รวมถึงไม่ทราบด้วยว่าท่านกล่าวถึงเรื่องอะไรอยู่ขอรับ!” จี้เตี๋ยตะโกนตอบพร้อมแสดงท่าทีบริสุทธิ์ใจ เพื่อหาทางรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับนาง
เพราะทั้งยอดเขาโอสถในปัจจุบัน หนึ่งเดียวที่สามารถปรุงยาย้อนฝันได้โดยไม่นับสตรีตรงหน้า ก็มีเพียงแต่ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาโอสถ
หากว่าไม่อธิบายแถลงไขความกระจ่างให้ตนเอง ต่อให้รวบรวมวัตถุดิบได้ครบ เขาก็คงไม่มีปัญญาไปปรุงยาย้อนฝัน!
“เสแสร้ง! เป็นเจ้านั่นแหละ!” ซูลั่วแค่นเสียงขึ้นจมูกก่อนจะโยนกระดาษภาพเหมือนออกมา มันปลิวไปจนหล่นตรงหน้าจี้เตี๋ย
วันนั้นที่เจียงโม่หลีฝากฝังนางให้ช่วยหาตัวจี้เตี๋ยในยอดเขาโอสถ ภายหลังจึงส่งภาพเหมือนของจี้เตี๋ยมาให้
และเพียงนางพบเห็นอีกฝ่าย ก็จดจำได้ทันทีว่าเป็นคนที่มาทำการค้าแลกเปลี่ยนกับยาทะลวงขอบเขต และเพื่อระบายโทสะแทนมิตรสหาย นางจึงออกตามหาเขาอยู่หลายวันเสียด้วยซ้ำ!
แต่ก็ไม่นึกว่าจะบังเอิญมาพบเจอที่นี่!
จี้เตี๋ยเองก็ประหลาดใจเช่นกัน เพราะเขาได้เห็นภาพเหมือนของเด็กหนุ่มในกระดาษแล้ว เก้าในสิบคือตัวเขาอย่างเห็นได้ชัด
“ขอรับ เป็นข้าเองขอรับ ไฉนเลยศิษย์พี่หญิงซูมีภาพเหมือนของข้าได้กัน? นี่มันดูเหมือนข้ามากเลยทีเดียว…”
“ยังคิดเสแสร้งอีกงั้นหรือ ข้าคิดอยากได้เห็นนักว่าเจ้าจะเสแสร้งแกล้งทำไปได้ถึงขนาดไหน!” ซูลั่วแทบถลึงตามองตอบ
“ศิษย์พี่หญิงซู ข้าไม่ทราบจริง ๆ ว่ามันเป็นเรื่องราวใดขอรับ ข้าเองก็ถูกปรักปรำ! ข้าไม่เคยกล่าวเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นคู่หมั้นหมายกับศิษย์พี่หญิงเจียง! ขอท่านเชื่อข้านะขอรับ!” พบเห็นว่าไม่อาจกลบเกลื่อนได้อีก จี้เตี๋ยจึงต้องหาทางอธิบาย
เพียงแต่ซูลั่วกำลังมีอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล นางไม่มีทางเชื่อคำของเขา
“ปลอมเปลือกสิ้นดี! หากไม่ใช่เจ้าเป็นคนพูด ถ้าอย่างนั้นใครกันมันเบื่อโลกถึงขนาดเปิดเผยเรื่องราวพวกนี้ออกมา?! พอดีเลย วันนี้ศิษย์พี่หญิงโม่หลีมีนัดมายอดเขาโอสถ ข้าจะจับกุมตัวเจ้าไปให้นางจัดการ!” ซูลั่วเชิดหน้าขึ้นพร้อมตะโกนดังตอบ
จี้เตี๋ยมองท่าทีเย้ยหยันของนางพร้อมประกายในดวงตาอันเจิดจ้า
หากว่าต้องไปพบเจียงโม่หลีจริง ผู้ใดกันทราบได้ว่านางจะทำอะไรต่อ นางจะยอมฟังที่เขาอธิบายงั้นหรือ?!
“ศิษย์พี่หญิงซู ศิษย์พี่หญิงเจียงมาถึงที่ถ้ำของท่านแล้วขอรับ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากอีกด้าน ผู้พูดกล่าวเป็นศิษย์สำนักคนหนึ่ง อีกฝ่ายไม่ได้เข้ามาใกล้ เพียงแค่ยืนไกลพร้อมเอ่ยบอกด้วยท่าทีนอบน้อม
“ดี เจ้ากลับไปก่อน” ซูลั่วหันไปตอบคำ
จี้เตี๋ยใช้โอกาสนี้ที่นางละสายตาเร่งร้อนออกไปจากถ้ำ เพราะตอนนี้เขาไม่คิดสนใจเรื่องหญ้าจักรพรรดิหยกอีกต่อไปแล้ว
“คิดหนีงั้นหรือ!” แต่ขณะที่กำลังจะไปถึงปากถ้ำ ซูลั่วกลับแค่นเสียงดังขึ้นพร้อมยกฝ่ามือ เถาวัลย์พลันปรากฏขัดขวางเส้นทางของจี้เตี๋ย พร้อมเข้าพันธนาการขาขวาด้วยความเร็วประหนึ่งสายฟ้า
จี้เตี๋ยลอบตื่นตระหนก เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่านางจะมีอุบายเช่นนี้ให้ใช้งาน ยามนี้เขาจึงปะทุพลังวิญญาณจากทั้งร่างออกมาเพื่อหลุดพ้นจากพันธนาการบริเวณเท้าขวา
ผู้ใดกันคาดคิด ว่าเถาวัลย์นี้จะเหนียวถึงขนาดที่ไม่ว่าเขาดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่มีท่าทีสะเทือนแม้แต่น้อย! มันพันธนาการเขาเอาไว้แน่นจนทำให้ไม่อาจหลบหนีไปจากที่นี่
“อย่าเสียแรงเปล่าเลย เว้นแต่เจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่หก ก็ไม่มีทางอื่นใดจะหลุดพ้นจากเถาวัลย์ของข้าได้ ดังนั้นติดตามข้ากลับไปพบศิษย์พี่หญิงโม่หลีแต่โดยดี” ซูลั่วแค่นเสียงขึ้นจมูกเย้ยขณะเมินเฉยสีหน้าขื่นขมของจี้เตี่ย และตอนนี้เองที่นางโยนขวดหยกไปทางหวังซื่อที่ยังยืนนิ่งอยู่
“หญ้าจักรพรรดิหยก!”
“เชิญศิษย์พี่หญิงซูรับขอรับ” หวังซื่อที่รับชมเรื่องราวอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ยามนี้พอได้ยินเสียงบอกตนเอง เขาจึงเร่งร้อนนำเอาสมุนไพรวิญญาณสีเหลืองออกมาจากถุงมิติและส่งมอบให้แก่นางด้วยมือทั้งสองข้าง
ซูลั่วยืนยันความถูกต้อง สุดท้ายจึงเก็บใส่ถุงมิติก่อนจะหันมองกลับมามองจี้เตี๋ย
“ข้าขอเตือนว่าอย่าคิดหนี หากว่าไม่เชื่อฟัง ข้าจะพันธนาการเจ้าทั้งมือและเท้า!” ซูลั่วขึ้นเสียงข่มขู่ เถาวัลย์ที่พันธนาการเท้าจี้เตี๋ยเริ่มส่องประกายแสงสีเขียวและเริ่มหดขนาดเล็กลงสู่ดิน จนสุดท้ายหายวับไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“นำไป!”
ภายหลังได้ยินคำกล่าวบอก จี้เตี๋ยจึงเดินไป แม้ว่าเถาวัลย์ที่พันธนาการขาขวาเอาไว้จะหายไปแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะกล้าหลบหนีอย่างบุ่มบ่าม
เถาวัลย์ดังกล่าวถือว่าร้ายกาจ มันแทบจะปรากฏขึ้นจากพื้นในชั่วพริบตา หากเขาพยายามหลบหนี เกรงว่าขยับได้ไม่กี่ก้าวก็คงถูกจับตัวเอาไว้ได้เช่นเดิม
“ศิษย์พี่หญิงซู ภายหลังจากนี้หากพบเจอศิษย์พี่หญิงเจียง ขอท่านช่วยพูดแทนข้าด้วยขอรับ ข้าไม่เคยกล่าวเลยว่าหมั้นหมายกับศิษย์พี่หญิงเจียง! ท่านจะต่อว่าข้าอย่างไรก็ได้ แต่ท่านไม่ควรทำให้ชื่อเสียงของศิษย์พี่หญิงเจียงต้องเสื่อมเสียไปด้วยขอรับ และหากทราบว่าไอ้คนที่ปล่อยข่าวเป็นใคร ข้าจะไม่มีทางปล่อยมันเอาไว้แน่ขอรับ”
เขาพยายามใช้คำพูดที่ดึงความสนใจของอีกฝ่าย แต่ในใจนั้นกำลังวางแผนหลบหนี
“เจ้าโจรปลิ้นปล้อน คิดหรือว่าข้าจะเชื่อ? ไปได้แล้ว!” เพียงแต่ซูลั่วเดินตามเขาทุกย่างก้าว ทั้งยังจับตามองใกล้ชิด ราวกับกำลังควบคุมตัวนักโทษไม่มีผิดเพี้ยน
“ศิษย์พี่หญิงซู ข้าไม่ได้หาข้อแก้ตัวขอรับ ท่านต้องเชื่อข้านะ!” จี้เตี๋ยพยายามฝืนยิ้มอันลำบากใจออกมา ขณะเดียวกันก็พยายามดึงสมาธิของนางด้วยคำพูด…
กระนั้นซูลั่วคล้ายรู้เห็นและคาดการณ์ ท้ายที่สุดแล้วนางเลือกอดกลั้นทำหูทวนลมและเมินเฉย
“ศิษย์พี่หลิ่ว หลิวเหวินปินพบเห็นไอ้ตัวบัดซบนั่นมุ่งหน้าไปที่ถ้ำของหวังซื่อขอรับ! พวกเรารีบตามไป มันจะได้หนีไม่ได้ขอรับ!” ขณะเวลาเดียวกัน ไม่ไกลห่างจากคนทั้งสอง ร่างของคนสองคนกำลังเร่งรีบไล่ตามมา
หนึ่งคือหลิวจง และอีกคนข้างกันย่อมเป็นหลิ่วเฉิง พวกเขาที่เร่งรุดมายังถ้ำของหวังซื่อ ไม่ช้าทั้งสองฝ่ายจึงมาบรรจบพบเจอกันกลางทาง
“เป็นมันขอรับ!” หลิวจงหยุดเท้าขณะชี้ไปทางจี้เตี๋ย
“ไอ้หมอนั่นงั้นหรือ!” หลิ่วเฉิงยืนนิ่งไม่ไหวติงประหนึ่งกำแพงหนา
เขากำลังมองไปยังคนทั้งสองขณะเอ่ยบอกอย่างสั้นกระชับ
“ไอ้หนู ข้าจะพูดเพียงหนึ่งครั้ง ส่งถุงมิติกลับคืนมาและคุกเข่าขออภัยเสีย”
“มากันไม่จบไม่สิ้น ข้าได้ยินคำเช่นนี้มาแล้วไม่ต่ำกว่าสามครั้ง! ไม่คิดจะเปลี่ยนคำข่มขู่ให้มันแปลกใหม่เลยหรือยังไง?!” จี้เตี๋ยที่ถูกซูลั่วบีบบังคับเดินไปยังถ้ำของนาง ยามนี้พบเห็นคนทั้งสอง ตอนแรกเขาชะงักไปชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ขมวดคิ้วเป็นการตอบรับ
“เหอะ! ในเมื่อไม่ให้ความร่วมมือ งั้นข้าจะทำให้เจ้าคุกเข่าลงด้วยมือคู่นี้เอง!” หลิ่วเฉิงเย้ยตอบก่อนจะเร่งรุดบุกเข้าไปใกล้ เรื่องราวเกินคาดคิดคือก่อนจะทันเข้าใกล้อีกฝ่าย เถาวัลย์สองเส้นพลันปรากฏจากใต้เท้าของเขาพร้อมเข้าพันธนาการขาเอาไว้
คนที่ลงมือย่อมเป็นซูลั่ว เพราะร่างที่ค่อนข้างเล็กจนกะทัดรัดของนาง จึงทำคนทั้งสองมองข้ามไป
“ข้าไม่คิดสนว่าพวกเจ้ามีข้อพิพาทอะไรต่อกัน แต่จงไสหัวไป ข้าต้องพาตัวมันไปก่อน!”
เนื่องจากนางเพิ่งใช้ยาจำแลงกาย ผลลัพธ์จะยังคงอยู่ราวครึ่งชั่วโมง ดังนั้นคนทั้งสองจึงไม่อาจทราบว่านางเป็นใคร
“โอหัง! อวดดีซะจริง!” หลิวจงที่ชะงักไปชั่วครู่พลันต้องหัวเราะออกมา “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร? กล้าดียังไงมาบอกให้พวกเราถอยทาง?! คิดว่าตัวเองเป็นศิษย์พี่หญิงซูลั่วหรืออย่างไร?”
“ข้าคือซูลั่ว!” นางตอบกลับโดยเถรตรง
“ก่อนจะเห่าหอนจงไตร่ตรองเสียก่อน คิดหรือว่าพวกเราไม่เคยพบศิษย์พี่หญิงซูลั่ว? ทั้งยังกล้าดีสั่งให้พวกเราไสหัวไปงั้นหรือ!” หลิวจงเย้ยตอบ
จี้เตี๋ยมองภาพฉากตรงหน้าก่อนจะเผยยิ้มออกมา
“ศิษย์พี่หญิงซูลั่ว เหมือนว่าพวกมันจะไม่เชื่อท่านนะขอรับ”
หากทั้งสองฝ่ายเปิดศึกปะทะต่อกันก็เป็นเรื่องน่ายินดี เพราะมันจะเป็นโอกาสให้เขาได้ใช้เพื่อหลบหนี
ซูลั่วย่อมได้เห็นความยินดีบนความโชคร้ายของผู้อื่นของจี้เตี๋ย ทันใดนี้เองที่นางส่งเถาวัลย์ทั้งสองเส้นเข้าพันธนาการหลิ่วเฉิงเอาไว้ ถัดจากนั้นเสียงแตกร้าวจึงเริ่มดังขึ้น…
“มีฝีมือเหมือนกันนี่ แต่ยังไม่มากพอ!” หลิ่วเฉิงบิดคอเล็กน้อย ขยับร่างกาย สุดท้ายจึงพุ่งทะยานออก,k
“กลั่นลมปราณขั้นที่ห้าจุดสูงสุด! ทั้งยังเด่นด้านการใช้พละกำลัง เจ้าคงเป็นหลิ่วเฉิงงั้นสินะ!”
พบเห็นอีกฝ่ายสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของตนเอง ซูลั่วเริ่มขมวดคิ้วขณะตระหนักทราบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จนตอนนี้นางยกมือขึ้นอีกครั้ง เถาวัลย์นับไม่ถ้วนพลันปรากฏจากพื้นดินก่อเกิดถักทอเป็นกรงขังขึ้นมา
“จำอวด!” หลิ่วเฉิงตะโกนตอบ มัดกล้ามบนกายของเขาราวกับหดเกร็งจนขมวดหากันแทบเป็นปม พวกมันราวกับมีชีวิตเสียด้วยซ้ำ พละกำลังของการกลั่นลมปราณขั้นที่ห้าจุดสูงสุดปะทุออกมาพร้อมหมัดที่ซัดออก!
กรงขังที่ถักทอขึ้นจากเถาวัลย์จึงแตกสลายหายในชั่วพริบตา!
ขณะเวลาเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มทุ่มสมาธิสนใจคู่ต่อสู้ จนไม่ได้ตระหนักทราบเลยว่าจี้เตี๋ยกำลังลอบถอยไปอย่างเงียบงัน