บทที่ 9 เพลงหมัดสยบภูผา!
หลัวเฉิงเข้าไปในศาลาวรยุทธ ข้างในมีชั้นคัมภีร์โบราณเรียงรายอยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยคัมภีร์วรยุทธมากมาย
บนหน้าปกคัมภีร์วรยุทธแต่ละเล่ม มีเครื่องหมายรูปดาว ซึ่งดาวแต่ละดวงจะบ่งบอกระดับของวรยุทธนั้น
วรยุทธ จะเหมือนกับวิญญาณยุทธ์ เพราะมันมีระดับด้วยเช่นกัน ซึ่งระดับของมันนั้นจะเป็นตัวกำหนดว่าเหมาะสมกับผู้ฝึกฝนระดับใด
หนึ่งถึงสามดาวเป็นวรยุทธระดับต่ำ สี่ถึงหกดาวเป็นวรยุทธระดับกลาง และเจ็ดถึงเก้าดาวเป็นวรยุทธระดับสูง
ที่ชั้นหนึ่งของศาลาวรยุทธ จะมีเพียงคัมภีร์วรยุทธระดับต่ำเท่านั้น
วรยุทธระดับกลางทั้งหมดอยู่บนชั้นสอง สำหรับวรยุทธระดับสูงนั้น ในศาลาวรยุทธของตระกูลหลัวไม่มีแม้เพียงเล่ม
เมื่อได้ศึกษาคัมภีร์วรยุทธต่างๆ แล้ว เขาก็ต้องการฝึกเพลงหมัด เขาจึงเลือกคัมภีร์มาสามสี่เล่ม
“เพลงหมัดวายุ”
“เพลงหมัดกระเรียน”
“เพลงหมัดรอบทิศ”
“เพลงหมัดสยบภูผา”
เพลงหมัดทั้งสี่ล้วนเป็นวรยุทธระดับสามดาว
หลัวเฉิงเริ่มเปรียบเทียบเพลงหมัดทั้งสี่อย่างละเอียดถี่ถ้วน และสุดท้ายก็เลือกเพลงหมัดสยบภูผา
ซึ่งเพลงหมัดนี้มีเพียงสามกระบวนท่าเท่านั้น แต่ละท่านั้นเรียบง่ายและทรงพลัง อีกทั้งยังใช้แค่พลังทางกายก็สามารถฝึกฝนให้เชี่ยวชาญได้ มันจึงเหมาะกับเขามากที่สุด
หลังจากเลือกคัมภีร์วรยุทธแล้วลงทะเบียนเรียบร้อย หลัวเฉิงก็หันหน้าออกจากศาลาวรยุทธทันที เพราะเขาต้องรีบกลับไปฝึกฝนมันให้เชี่ยวชาญ
ไม่ไกลนัก บรรดาศิษย์ชายและหญิงหลายคน ก็เดินสวนเขาเข้ามายังศาลาวรยุทธ ระหว่างนั้นก็พลันมีศิษย์คนหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน
“พวกเจ้าดูสิ นั่นมันเพลงหมัดสยบภูผา! หานซานดูเหมือนว่าเจ้าก็ฝึกเพลงหมัดนี้มิใช่หรือ”
ศิษย์คนนั้นสังเกตเห็นคัมภีร์วรยุทธในมือของหลัวเฉิง แล้วจึงหันไปกล่าวกับชายหนุ่มร่างใหญ่ ที่เดินอยู่ข้างๆ เขาในตอนนี้
ใบหน้าของชายหนุ่มร่างใหญ่เข้มขึ้น เขายื่นมือออกไปหยุดหลัวเฉิงก่อนแผดเสียง “หลัวเฉิง นำคัมภีร์วรยุทธนี้กลับไปคืนซะ!”
“ทำไม” หลัวเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มรูปร่างใหญ่นั้นคือหานซาน ซึ่งเป็นญาติห่างๆ ของหลัวเฉิง เขาได้ปลุกวิญญาณยุทธ์ระดับหนึ่งดาวขึ้นมาเมื่อปีที่แล้ว และเป็นเพียงขั้นหลอมกายาระดับสี่เท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นผู้มีความสามารถต่ำสุดของตระกูล
ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในอดีต แต่เนื่องจากหลัวเฉิงปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะ หานซานก็เริ่มสนิทกับหลัวฉีมากขึ้น และเขาเป็นหนึ่งในคนที่เหยียดหยามหลัวเฉิงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
หานซานยกหมัดขึ้นพลางตะคอกลั่น “ข้าฝึกเพลงหมัดสยบภูผา! และข้าไม่อยากฝึกฝนวรยุทธเดียวกับเจ้า!”
หลัวเฉิงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วเยาะเย้ย “เจ้าคิดได้อย่างไร เพียงเพราะเจ้าฝึกฝนวรยุทธนี้ จึงมิให้ข้าฝึกงั้นหรือ เจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
“เจ้าขยะ! เจ้าว่าอะไรนะ!” หานซานอุทานเสียงดัง พร้อมก้าวขาไปข้างหน้าข้างหนึ่ง
แววตาของหานซานประกายแสงเย็นวาบ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้าจะเตือนเจ้าอีกแค่ครั้งเดียว นำคัมภีร์วรยุทธนี้ไปคืนซะ! ไม่เช่นนั้น อย่าได้หาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
น้ำเสียงของหลัวเฉิงก็เย็นชาเช่นกัน “จริงหรือ ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีปัญญาสักแค่ไหน!”
“ลนหาที่ตาย! วันนี้เขาจะสอนบทเรียนให้เจ้าแทนหลัวฉี!” หานซานแผดเสียงคำรามด้วยบันดาลโทสะ
ทันใดนั้น ภาพธรรมสุนัขหินปรากฏขึ้นเบื้องหลังของเขาทันที ไม่ช้า ก็พลันพุ่งหมัดเข้าหาหลัวเฉิงด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
“สะท้านขุนเขา!” นี่คือกระบวนท่าแรกของเพลงหมัดสยบภูผา
นี่เป็นกระบวนท่าแข็งแกร่งที่สุดของหานซาน คือกระบวนท่าแรก อาจกล่าวได้ว่าเขาพยายามจะล้มหลัวเฉิงให้ได้ในหมัดเดียว
หลัวเฉิงเหยียดยิ้มเยาะ แล้วชกหมัดสวนออกไปทันที
ปัง!
ทั้งสองหมัดพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง ส่งเสียงดังสนั่นเลื่อนลั่น
อ๊าก!
หานซานถอยไปห้าหรือหกก้าว เขากุมมือขวาแล้วตะโกนอย่างเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมกับใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาที่กำลังไหลรินในยามนี้
เมื่อคนอื่นเห็นฉากนี้ ดวงตาของพวกเขาก็แข็งค้างด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด
หานซานปลุกวิญญาณยุทธ์ของเขาเมื่อปีที่แล้ว มิหนำซ้ำยังอายุมากกว่าหลัวเฉิงหนึ่งปี อีกทั้งเขายังตั้งใจฝึกฝนเพลงหมัดสยบภูผาอย่างขยันขันแข็ง แต่กลับพ่ายแพ้ด้วยหมัดเดียว!
“บางทีเขาอาจจะดูถูกคู่ต่อสู้มากเกินไป ถึงแม้หลัวเฉิงจะมีวิญญาณยุทธ์ขยะ แต่เขาก็อยู่ในขั้นหลอมกายาระดับสี่แล้วเช่นกัน”
ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ ต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานา โดยไม่ได้รู้เลยว่าหลัวเฉิงนั้นทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับหกแล้ว
“นี่ใช่เพลงหมัดสยบภูผาจริงน่ะหรือ” หลัวเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา
ก่อนเหลือบมองหานซานด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
คำชี้แนะจากคัมภีร์เพลงหมัดสยบภูผา ทักษะเพลงหมัดนี้เน้นความมั่นคงและการเคลื่อนไหวมากกว่ารูปร่างที่ใหญ่โต ซึ่งทุกหมัดที่ชกออกไปจะต้องมีความรุนแรงมั่นคง
กระบวนท่าของหานซานเมื่อครู่ มันขาดทั้งการเคลื่อนไหวและความมั่นคง และอาจกล่าวได้ว่ามีฝีมือไม่เข้าขั้นก็มิผิดแต่อย่างใด
“เจ้า!” ใบหน้าของหานซานเต็มไปด้วยความอับอาย
จากนั้นเขาก็เหยียดยิ้มแล้วกล่าวเยาะเย้ย “หลัวเฉิง เจ้าอย่าได้ลำพองใจนัก! จากที่ข้ารู้มา แม่ของหลัวฉีใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อโอสถหลอมกายาให้เขาหลายเม็ด อีกไม่นานหลัวฉีต้องทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับห้าได้เป็นแน่!”
“หลัวฉีบอกว่าเขาจะทุบตีเจ้า จนกว่าเจ้าจะคุกเข่าร้องขอความเมตตา ข้าอยากเห็นนักว่า เจ้าจะผยองได้อีกนานแค่ไหน!” หารซานกล่าวด้วยรอยยิ้มเคล้าน้ำตา
ครั้นหลัวเฉิงได้ฟังเช่นนั้น ก็พลันขมวดคิ้วกล่าวว่า “ทุบตีข้าจนคุกเข่าร้องขอความเมตตางั้นหรือ ได้ แต่ต้องดูว่าเขามีความสามารถนั้นรึไม่!”
หลังกล่าวเช่นนั้นแล้ว เขาก็หันหลังจากไปในทันที