ตอนที่แล้วบทที่ 7 นัดหมายในครึ่งเดือน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9 เพลงหมัดสยบภูผา!

บทที่ 8 ขั้นหลอมกายาระดับหก!


ผ่านไปสองวัน หลัวเฉิงก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง โดยหาได้เคลื่อนตัวออกจากลานฝึกยุทธ์ไม่

เมื่อเข้าวันที่สาม เขาจึงขยับร่างออกจากลานฝึก เพื่อไปเยี่ยมหลัวหมิงซานปู่ของเขาอีกครั้ง โดยหวังในใจว่าอาการของปู่เขาคงดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย

อย่างไรก็ตาม ครั้นเขาไปถึง ก็เห็นว่าปู่ของเขายังคงนอนอยู่บนเตียง ด้วยอาการสาหัสเช่นเคย และไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นแม้แต่น้อย

ย่างเข้าวันที่สี่

ในลานฝึกยุทธ์เล็กๆ นั้น กลับมีเสียงลมพัดอย่างรุนแรง และมันดังขึ้นเป็นระรอก

หลัวเฉิงยกแผ่นศิลาที่มีน้ำหนักห้าร้อยจินขึ้นและลง ทำให้อากาศรอบข้างสั่นสะเทือน มาตรว่าฝึกพอแล้วเขาจึงวางแผ่นศิลาไว้ทางด้านข้าง

ตุบ!

ครั้นวางแผ่นศิลาลง ดวงตาของหลัวเฉิงก็เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

“ขั้นหลอมกายาระดับหก!” หลัวเฉิงพึมพำด้วยความประหลาดใจ

ในเวลาเพียงสี่วันเท่านั้น เขาสามารถเลื่อนระดับพลังยุทธ์ได้สำเร็จ!

ความเร็วในการฝึกฝนขนาดนี้ มันไม่ใช่ธรรมดาเลย เขาเบิกตากว้างตะลึงลานอยู่กับที่ ไม่คิดว่าตนนั้นจะสามารถทะลวงได้รวดเร็วเช่นนี้

โดยปกติ คนทั่วไปใช้เวลามากกว่าครึ่งปี ในการทะลวงจากขั้นหลอมกายาระดับห้าไปสู่ระดับหก!

แม้หลังจากปลุกวิญญาณยุทธ์แล้ว จะมีช่วงเวลาที่กระตุ้นการฝึกฝน แต่นี่มันเร็วเกินไป!

“หรือจะเป็นผลของโอสถหยกเย็นหลอมกายา…” หลัวเฉิงยกมือขึ้นแตะปลายคางพลางพึมพำด้วยความฉงนสงสัย

หลัวเฉิงคาดเดาว่าการทะลวงระดับที่รวดเร็ว นอกเหนือจากวิญญาณยุทธ์ระดับสูงแล้ว โอสถหยกเย็นหลอมกายาก็สำคัญเช่นกัน

โอสถหยกเย็นหลอมกายามาจากตระกูลจี ซึ่งเป็นตระกูลลึกลับ ดังนั้นพลังของมันต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่

“ข้าไม่แปลกใจเลย ที่จีหยวนเฮ่ามีระดับพลังยุทธ์สูงส่งเช่นนั้นตั้งแต่อายุยังน้อย หากใช้พลังของโอสถ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะสามารถทะลวงได้อย่างรวดเร็ว” เขากล่าวกับตนเองอย่างเงียบๆ

มาบัดนี้หลัวเฉิงเริ่มรับรู้ถึงความแข็งแกร่ง และอำนาจของตระกูลจีมากขึ้น เขาเกรงว่าสิ่งที่คิดก่อนหน้านั้นคงไม่ง่ายเสียแล้ว

ระหว่างที่เขาขบคิดอยู่นั้น หูก็แว่วได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น ไม่ช้าเสียงนั้นก็มาถึง เมื่อหันไปมองจึงรู้ว่าเป็นบิดาตนหลัวหง

“เฉิงเอ๋อร์ เจ้าทะลวงระดับได้สำเร็จอีกแล้วงั้นหรือ” หลัวหงกล่าวน้ำเสียงสั่นเครืออันเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น

เมื่อเห็นแผ่นศิลาหนักห้าร้อยจินวางอยู่ข้างๆ บุตรชายเขาขณะนี้ แววตาของหลัวหงพลันประกายสว่างวาบด้วยความดีใจเป็นที่สุด

หลัวเฉิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มให้กับบิดาตนโดยมิได้ปริปากแต่อย่างใด

“เป็นการดี ที่เจ้าสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับห้า ได้รวดเร็วถึงปานนี้” หลัวหงรีบกล่าวอย่างกระตือรือร้น

รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความปิติยินดียิ่ง ปรากฏขึ้นที่มุมปากของหลัวหงในยามนี้

นอกจากจะมีความสุขกับความก้าวหน้าของหลัวเฉิงแล้ว เขายังมีความสุขมากที่เห็นหลัวเฉิงไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของตนเอง

ขณะที่ หลัวเฉิงกำลังจะอธิบายว่า เขาได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นล้อมกายาระดับหกแล้ว หลัวหงก็พลันกล่าวต่อ “อย่าได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องปู่ของเจ้า นั่นหาใช่ความผิดของเจ้าแต่อย่างใด”

“อืม…” หลัวหงอ้ำอึ้งอยู่ครู่ แล้วกล่าวต่อ

“แค่กๆ! รับนี่ไป มันคือขี้ผึ้งหลอมกายา เอาไปทาบนร่างกายของเจ้าระหว่างฝึกฝน มันจะช่วยให้เจ้าหลอมกายาได้ดีขึ้น”

หลัวหงไอสองครั้ง จากนั้นยื่นกระปุกให้กับหลัวเฉิง

“ท่านพ่อ ท่านควรเก็บเงินไว้เพื่อซื้อยารักษา…” ขณะที่หลัวเฉิงเปิดปากกล่าว หลัวหงก็ยกมือขึ้นปรามพลางสายศีรษะเล็กน้อย

ทำให้หลัวเฉิงรู้สึกขมขื่นในใจ แม้ขี้ผึ้งหลอมกายาจะไม่ดีเท่าโอสถหลอมกายา แต่ราคาของมันก็สูงเช่นกัน เขาเกรงว่าบิดาของตนนั้น อาจนำเงินที่เก็บไว้ทั้งหมดออกไปซื้อมาให้เขาก็เป็นได้

ยิ่งไปกว่านั้น อาการบาดเจ็บของบิดาเขายังไม่หายดี แต่ยังอุตส่าห์คิดถึงการฝึกฝนของเขา หลัวเฉิงกำกระปุกแน่น ตาแดงด้วยความรู้สึกคับแน่นในอก

หลัวหงส่ายศีรษะกล่าวว่า “ข้ารู้อาการบาดเจ็บของตัวเองดี และโอสถธรรมดานั้นไม่อาจรักษาให้หายได้ ข้าได้ยินมาว่า เจ้าและหลัวฉีมีสัญญาจะประลองกันในอีกสิบวันข้างหน้ามิใช่หรือ เช่นนั้นก็อย่าได้แพ้ล่ะ”

“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นกังวล ข้าไม่แพ้อย่างแน่นอน” หลัวเฉิงกล่าวอย่างหนักแน่น

“ฮ่า…ฮ่า ดีมาก เจ้าฝึกฝนต่อเถอะ” หลัวหงกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วเอื้อมมือไปสัมผัสไหล่ผู้เป็นบุตรชายเล็กน้อย ก่อนเดินจากไป

หลังจากบิดาเขาไปแล้ว หลัวเฉิงก็ออกจากลานฝึกยุทธ์เช่นกัน เพราะเขาต้องไปเลือกวรยุทธเพื่อใช้ฝึกฝน

เมื่อเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับสามแล้ว จะสามารถฝึกฝนวรยุทธได้

ก่อนหน้านั้น หลัวเฉิงคิดว่ามันไม่จำเป็นสำหรับเขา แต่ตอนนี้เขาอยู่ในขั้นหลอมกายาระดับหกแล้ว  และมีพลังเทียบเท่ากับศิลาหนักหกร้อยจิน

ในการฝึกฝนวรยุทธนั้น ไม่เพียงช่วยเลื่อนระดับขั้นหลอมกายาเท่านั้น แต่ยังมีทักษะในการต่อสู้จริงเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ผู้ดูแลศาลาวรยุทธ คือหญิงรับใช้ผู้งดงาม นางจำหลัวเฉิงได้จึงกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม

“คุณชายหลัวเฉิงต้องการฝึกฝนวรยุทธหรือเจ้าคะ” น้ำเสียงของนางนุ่มนวล

“ใช่” หลัวเฉิงพยักหน้าให้นางด้วยรอยยิ้ม

หญิงรับใช้กล่าวว่า “เช่นนั้น คุณชายสามารถเลือกคัมภีร์วรยุทธในชั้นที่หนึ่งได้ตามต้องการ ส่วนชั้นที่สอง ระดับพลังยุทธ์ของคุณชายจะต้องสูงกว่าขั้นหลอมกายาระดับหกนะเจ้าคะ”

“ขอบคุณมาก” หลัวเฉิงผงกศีรษะ

จากนั้นเขาหันหน้า มุ่งสู่ศาลาวรยุทธทันที

หญิงรับใช้แอบทอดถอนใจ ด้วยความรู้สึกสงสารหลัวเฉิงเป็นที่สุด

ความพยายามของหลัวเฉิงทุกคนประจักษ์กันดี อย่างไรก็ตาม หากมีวิญญาณยุทธ์ขยะแล้วไซร้ แม้นพยายามแค่ไหน มันก็ไร้ค่า และเป็นการยากที่จะฝึกฝนวรยุทธต่างๆ ให้สำเร็จได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด