บทที่ 7 นัดหมายในครึ่งเดือน
เมื่อได้ฟังวาจาอันเปี่ยมไปด้วยความโหดร้ายของหลินหยาน ในที่สุดหลัวเฉิงก็เข้าใจ ว่าแท้จริงแล้วนางหาได้รักเขาจริงๆ อย่างที่เคยเข้าใจมาตลอดไม่
เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้นางเปลี่ยนไป นั่นเพราะว่าเขาปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา และไม่อาจไปยังจวนตระกูลจีได้เท่านั้นเอง!
บางที ที่หลัวฉีติดตามเขาตลอดทั้งวันก่อนหน้านี้ คงเป็นเพราะคำชี้แนะจากนางเช่นกัน เพียงเพราะหวังผลประโยชน์จากเขาเท่านั้นเอง!
หลินหยานเลิกคิ้วขึ้นแล้วดุว่า “นอกจากนี้ เจ้าเพิ่งปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา แต่กลับกล้าท้าทายอัจฉริยะของตระกูลจี เจ้าคิดว่าตนนั้นสามารถสู้กับเขาได้หรืออย่างไร”
“คนอื่นๆ เห็นเขาเป็นดั่งเทพในสรวงสวรรค์ แล้วเจ้าล่ะเป็นอะไร ที่พวกเขาบอกว่าเจ้าเป็นมดปลวก เจ้าคิดว่าเขาชมเชยเจ้างั้นหรือ! ช่างงี่เง่าไม่มีหัวคิดนัก!”
“แล้วเจ้ายังมีหน้ากล้าสาบานว่าจะไปเยือนตระกูลจี เพื่อท้าทายบุตรแห่งพระเจ้าของตระกูลจีอีก เจ้าคิดอะไรอยู่ ขนาดปู่ของเจ้ายังมิอาจรับมือเขาได้!”
“ตามความเห็นข้า เจ้ามันก็ไม่ต่างอะไรจากพ่อของเจ้า ที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ! หากพ่อของเจ้ารู้จักประมาณตน แล้วยอมตัดใจเรื่องแม่ของเจ้าเสีย ชีวิตเขาจะกลายเป็นเช่นนี้หรือไม่”
“น่าเสียดาย แม้เขาจะพยายามทุกวิถีทาง เพื่อไล่ตามแม่ของเจ้า แต่นางกลับให้กำเนิดขยะ…”
“พอแล้ว!” หลัวเฉิงพลันตวาดขึ้นแทรกอย่างกะทันหัน
เลือดในกายหลัวเฉิงพลุ่งพล่านไปด้วยความโกรธ เขาจ้องหลินหยานด้วยสายตาเย็นเยียบ “หลินหยาน! ถ้าท่านกล่าวอะไรดูหมิ่นพ่อข้าอีก ข้าจะไม่ปล่อยท่านไปแน่!”
หลินหยานถึงกับตกใจต่อดวงตาของหลัวเฉิง จากนั้นทำเสียงฮึดฮัดแสดงความไม่พอใจ
“ฮึ่ม! หรือข้ากล่าวสิ่งใดผิดไปงั้นหรือ วิญญาณยุทธ์ไร้ดาวคนแรกในประวัติศาสตร์เมืองฉีซาน ไม่เรียกขยะแล้วจะให้เรียกว่าอะไร!”
“ใช่แล้ว! ท่านแม่กล่าวมิผิด! เจ้ามันเป็นแค่ขยะ และความอัปยศของตระกูลหลัวเรา!”
หลัวฉีที่ยืนนิ่งเฉยอยู่ด้านข้างเมื่อครู่ ก็กล่าวเสริมนางอีกคนหนึ่ง
แสงเย็นวูบวาบฉายในดวงตาของหลัวเฉิง เขาหันไปจ้องเขม็งหลัวฉี “‘งั้นหรือ หากข้าเป็นขยะจริง แล้วคนที่ไม่ดีเท่าข้าจะให้เรียกว่าอะไร!”
“เจ้าหมายถึงข้าไม่เก่งเท่าเจ้างั้นหรือ” หลัวฉีชี้นิ้วใส่ตนเอง
ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเรื่องตลกครั้งใหญ่ จึงกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มเยาะ “ข้าเป็นถึงผู้มีวิญญาณยุทธ์ระดับห้าดาวเพียงไม่กี่คนในเมืองฉีซาน กระนั้นแล้ววิญญาณยุทธ์ขยะของเจ้าคู่ควรที่จะเปรียบเทียบกับข้างั้นหรือ”
หลัวเฉิงรุดหน้าเดินเข้าไปใกล้ แล้วกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเรามาประลองกันดีหรือไม่”
มีเพียงวิญญาณยุทธ์ขยะ แต่กลับกล้าท้าประลองกับข้างั้นหรือ!
หลัวฉีเดือดพล่านด้วยบันดาลโทสะ แต่ขณะที่เขากำลังจะกล่าวตกลง
หลินหยานที่อยู่ข้างๆ ก็พลันกล่าวขึ้นแทรกอย่างรวดเร็ว ด้วยกลัวว่าบุตรชายจะตอบตกลงโดยไม่ยั้งคิด
“พวกเจ้าสามารถประลองกันได้ แต่ต้องหลังจากนี้ครึ่งเดือนเท่านั้น!” น้ำเสียงแหลมคมดุจใบมีดกรีดแทรกผ่านทั้งสองคนทันที
นั่นก็เพราะ หลัวฉีเพิ่งทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับสี่ ทว่า หลัวเฉิงก็ทะลวงได้ก่อนบุตรชายนางเสียอีก หาพวกเขาลงประลองกันตอนนี้ เกรงว่าหลัวฉีต้องเป็นฝ่ายพ่ายอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หลังจากปลุกวิญญาณยุทธ์แล้ว จะมีช่วงเวลาที่กระตุ้นการฝึกฝน!
ซึ่งหลัวฉีปลุกวิญญาณยุทธ์ระดับห้าดาวขึ้นมา ภายในระยะเวลาครึ่งเดือน หากมีโอสถที่ช่วยกระตุ้นศักยภาพมากเพียงพอ เขาต้องสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับห้าได้แน่
เมื่อเวลานั้นมาถึง หากพวกเขาประลองกัน หลัวฉีจะต้องเป็นฝ่ายได้ชัยอย่างแน่นอน!
หลัวฉีจ้องเขม็งไปยังหลัวเฉิงแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น อีกครึ่งเดือน เรามาประลองฝีมือกันแล้วดูว่าใครกันแน่ที่เป็นขยะ เจ้ากล้าหรือไม่เล่า!”
“ไม่มีปัญหา ตกลงตามนั้น” หลัวเฉิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เขาขี้เกียจที่จะโต้เถียงเรื่องไร้สาระต่อ จึงหันหลังจากไปทันที
“พ่อแบบไหนกันที่ให้กำเนิดลูกเช่นนี้ได้ เขากล้าภูมิใจในวิญญาณยุทธ์ขยะได้อย่างไร! ฉีเอ๋อร์ แม่จะซื้อโอสถหลอมกายาให้เจ้า อีกครึ่งเดือนข้างหน้าเจ้าต้องทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับ ห้าได้แน่นอน” หลินหยานกล่าวใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความชิงชัง
ก่อนหน้า นางคิดว่าสามารถพึ่งพาความสัมพันธ์ระหว่างหลัวเฉิงและตระกูลจี เพื่อให้บุตรชายนางประสบความสำเร็จได้ในภายหน้า แต่นางไม่คิดเลยว่าความพยายามที่ทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่า
นี่คือเหตุผลว่าทำไมนางถึงไม่พอใจในตัวหลัวเฉิงขนาดนี้
“ขอบคุณท่านแม่! หลัวเฉิงคอยดูเถอะ! อีกครึ่งเดือนข้างหน้าข้าจะตบตีเจ้าให้บวมเป็นหัวหมู!”
หลัวฉีกำหมัดแน่น ในใจเขาแทบทนรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว เขาอยากจะขยี้หลัวเฉิงให้ราบคาบต่อหน้าบรรดาธารกำนัล เพื่อบอกทุกคนว่าเขานั้นแข็งแกร่งกว่าใคร
อีกด้านหนึ่ง หลังหลัวเฉิงกลับถึงจวน เขาก็หยิบขวดหยกออกมา
ซึ่งภายในขวดหยกคือโอสถหยกเย็นหลอมกายา ที่ชายชราอาภรณ์เทามอบให้เขาวานนี้
เมื่อได้เห็นขวดหยกอีกครั้ง หลัวเฉิงก็หวนนึกถึงวาจาของอีกฝ่ายก่อนจากไป
“ยอมรับชะตากรรมแล้วลืมแม่ของเจ้างั้นหรือ” หลังเฉิงกล่าวย้ำวาจานั้นพลางเหยียดยิ้มมุมปากเล็กน้อย
เรื่องพรรค์นั้น ใครมันจะไปทำได้กัน!
หลัวเฉิงเปิดขวดหยกออกพร้อมแสดงรอยยิ้มอย่างเย็นชา
ทันใดนั้น กลิ่นหอมสดชื่นที่สุดจะพรรณนา ก็พวยพุ่งออกมาจากในขวดหยก ปะทะเข้ากับปลายจมูกของหลัวเฉิงทันที
ครั้นมองภายในให้ดี มันมีโอสถสีเขียวประหนึ่งมรกตอยู่สามเม็ด
“นี่คือโอสถหยกเย็นหลอมกายา!” เขากล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ยิ่งหลัวเฉิงมองมันมากเท่าใด หัวใจเขาก็ยิ่งสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น
โอสถหลอมกายาเป็นยาอายุวัฒนะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับขั้นหลอมกายา หากกลืนมันเพื่อใช้ฝึกฝน ผลการหลอมกายาจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล!
เป็นเรื่องน่าเสียดาย โดยทั่วไปแล้ว แม้แต่โอสถหลอมกายาระดับต่ำสุดที่หาพบได้ง่าย กลับมีราคาสูงจนยากจะไขว่คว้า ซึ่งหลัวเฉิงเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหน้านั้น
เขาเทโอสถหยกเย็นหลอมกายาลงบนฝ่ามือ แล้วนำมันใส่ปากในทันที
ทันใดนั้น ความร้อนก็พลันปะทุขึ้นจากท้อง ราวกับเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงไปทั่วสรรพางค์กาย
หลัวเฉิงรับรู้ได้ในทันทีว่าโอกาสนี้มิควรพลาด จึงวิ่งปราดไปยังลานฝึกยุทธ์อย่างรวดเร็ว