บทที่ 6 ความอัปยศของตระกูลหลัว!
หลังได้ฟังวาจาเช่นนั้น หลายคนก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะจนตัวโยน
หลัวเฉิงขมวดคิ้วทันที เพราะเขาไม่คิดเลยว่าคนที่มาเยาะเย้ยเขาในวันนี้จะเป็นหลัวฉี
ในอดีต เขาเป็นอัจฉริยะของตระกูลหลัว และเป็นคุณชายของตระกูลจี เมื่อเขามีโอกาสไปฝึกฝนที่ตระกูลจี คนเหล่านี้ย่อมให้ความยำเกรงและเคารพต่อเขา
โดยเฉพาะหลัวฉี ที่เกาะติดหลัวเฉิงทุกวันอีกทั้งยังมักกล่าวว่า อย่าลืมพาเขาไปด้วย เมื่อถึงเวลาที่หลัวเฉิงต้องไปฝึกฝนในตระกูลจี
แต่พอมาถึงตอนนี้...
นี่คือความความรู้สึกแท้จริงที่เขามีต่อหลัวเฉิง และเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา
หลัวเฉิงถอนหายใจออกมา แล้วมุ่งหน้าเดินต่อไปยังเรือนของปู่โดยไม่สนใจอีกฝ่าย
เมื่อเห็นว่าหลัวเฉิงเพิกเฉยต่อเขา ใบหน้าของหลัวฉีก็มืดลง จากนั้นรีบก้าวไปดักหน้าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลัวเฉิง ข้าจะบอกอะไรดีๆ ให้ ตอนนี้ข้าทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับสี่แล้ว!”
“จริงหรือ เช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย”
หลัวเฉิงพยักหน้าแล้วกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
สีหน้าของหลัวฉีเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
ตามที่เขาคาดเอาไว้ หลัวเฉิงจะต้องแสดงความริษยา ไม่พอใจ หรือมีท่าทางหดหู่อย่างแน่นอน ถ้าได้ยินว่าเขาทะลวงได้อย่างรวดเร็ว!
แต่นี่หลัวเฉิงกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ นั่นทำให้หลัวฉีไม่พอใจเป็นที่สุด!
ตอนนี้ เขาเป็นถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลหลัว! ไฉนหลัวเฉิงกลับนิ่งเฉยได้เช่นนี้
“มีเรื่องเท่านี้ใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าขอตัวไปพบท่านปู่ก่อน” หลัวเฉิงกล่าวด้วยแววตาไร้อารมณ์
ครั้นแผ่นหลังของหลัวเฉิงหายเข้าไปยังเรือนแล้ว ใบหน้าของหลัวฉีก็ยิ่งทวีน่าเกลียดขึ้น
“ไอ้เจ้าขยะนี่ คิดว่าตนยังเป็นคุณชายของตระกูลจีอยู่หรืออย่างไร ทั้งที่เป็นเพียงแค่ขยะผู้ถูกตระกูลจีทอดทิ้งแท้ๆ!” หลัวฉีกัดฟันกล่าว
จิตใจของเขาในตอนนี้มิอาจสงบลงได้ และต้องการหาที่บันดาลโทสะเพื่อระบายมันออก
เมื่อก่อนเขาเคยวิ่งตามแผ่นหลังของหลัวเฉิงมาตลอด แต่ตอนนี้ เขาได้ปลุกวิญญาณยุทธ์หอกห้าดาวขึ้นมา ย่อมแข็งแกร่งกว่าหลัวเฉิงถึงมากถึงร้อยเท่าเป็นแน่! หลัวเฉิงควรยกย่องและชื่นชมเขาสิถึงจะถูก! ไฉนกลับกล้าเมินเฉยต่อเขาเช่นนี้
“คุณชายหลัวฉี เขาเป็นเพียงผู้ที่ปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา ไยต้องโกรธแค้นคนเช่นนั้นด้วย” ศิษย์ในนั้นพลันเอ่ยขึ้น
“นั่นสิ หลังจากท่านปลุกวิญญาณยุทธ์หอกห้าดาวแล้ว เพียงไม่นานช้าก็คงทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเก้า เมื่อถึงตอนนั้น หลัวเฉิงและท่านก็จะราวกับยืนอยู่คนละโลก!” ศิษย์อีกคนกล่าวเสริมพร้อมสีหน้าเหยียดหยาม
หลายคนที่ห้อมล้อมเขาอยู่นั้น ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หลัวฉีก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากก่อนจะหัวร่อเสียงดัง “เขาคงไม่มีค่าพอให้ข้าโกรธด้วยซ้ำ ฮ่า…ฮ่า…”
หลัวเฉิงไม่ได้ยินการสนทนาข้างนอก หรือต่อให้ได้ยินเขาก็มิคิดใส่ใจ เพราะคิดว่าสิ่งเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเขา
เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เป้าหมายของเขาหาใช่อันดับหนึ่งของตระกูลหลัวเล็กๆ หรือเมืองฉีซานอีกต่อไป แต่ต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพเท่านั้น
ณ เรือนหลักของตระกูลหลัว
หลัวหมิงซานนอนซมอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษและยังคงอยู่ในอาการสาหัสขณะนี้
ข้ารู้มาว่าปราณฝ่ามือเมื่อวานนี้ ส่วนใหญ่ท่านปู่เป็นผู้รับไว้ มิเพียงแต่อาการบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น แต่เส้นลมปราณของเขายังเสียหายหนักอีกด้วย ซึ่งยากนักที่จะรักษาให้ฟื้นตัวในเวลาอันสั้น
หรือต่อให้เขาฟื้นตัวขึ้นมาได้ก็ตาม แต่ก็ยากที่จะกลับสู่สภาพเดิมได้สมบูรณ์
“ท่านปู่……” หลัวเฉิงเอื้อมไปกุมมืออันเย็นเฉียบของหลัวหมิงซาน
ดวงตาของเขาแดงเล็กน้อย แสดงถึงความเจ็บปวดรวดร้าวในใจ หากแม้นเขาแข็งแกร่งกว่านี้ ไหนเลยปู่ของเขาจะมีสภาพเยี่ยงนี้ได้
ตั้งแต่วัยเด็กจนเติบใหญ่ นอกเหนือจากบิดาเขาแล้ว ปู่ของเขาคือผู้ที่รักเขามากกว่าสิ่งใด และเขาก็รักท่านปู่ของเขามากเช่นกัน
เมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของปู่เขา ความเกลียดชังก็ปรากฏในดวงตาของหลัวเฉิง และมันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านปู่อย่าได้กังวล ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะนำจีหยวนเฮ่ามาคุกเข่าต่อหน้าท่าน และให้เขายอมรับความผิดในสิ่งที่เขากระทำต่อท่าน!” เขากล่าวให้คำมั่นต่อร่างที่นอนไร้สติของปู่เขา
ปัง!
ระหว่างนั้นเอง ประตูถูกผลักให้เปิดออกอย่างรุนแรง พร้อมกับหลายร่างที่กล้ำกรายเข้ามา
นอกจากหลัวฉีและคนอื่นๆ แล้ว ยังมีสตรีนางหนึ่งที่เดินอยู่ข้างหน้าพวกเขา
สตรีนางนี้ดูอายุราวสามสิบปีเศษ นางสวมอาภรณ์แพรไหมชั้นดีมีราคา ดวงตาคู่สีแดงสดใสเรียวยาวราวกับหงส์เพลิง นางคือมารดาของหลัวฉี!
“ท่านป้า…”
ครั้นหลัวเฉิงกำลังจะเปิดปากทักทาย ก็ถูกกล่าวแทรกโดยหลินหยาน “หลัวเฉิง ไฉนเจ้ายังกล้ามาที่นี่! หากมิใช่เพราะเจ้า ปู่ของเจ้าจะเป็นเช่นนี้งั้นหรือ”
หลัวเฉิงถึงกับชะงักด้วยความประหลาดใจ ในอดีตป้าของเขาคอยดูแลเอาใจใส่และห่วงใยเขาอยู่เสมอ ที่ผ่านมานางมิเคยกล่าวด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ด้วยซ้ำ
หลินหยานเอื้อนเอ่ยขึ้นเสียงเยาะเย้ยซ้ำอีกครั้ง “ปู่ของเจ้าเคยหวงแหนเจ้ายิ่งกว่าสมบัติ และป่าวประกาศว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะ! ภายหน้าต้องมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ ข้าไม่คิดเลยว่าผู้ที่ถูกยกย่องเช่นนั้น จะกลายเป็นผู้ที่ปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา!”
“เจ้าเป็นผู้มีวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิด ทั้งยังไร้ซึ่งดาวแม้เพียงดวง อย่ากล่าวหาว่าตระกูลจีทอดทิ้งเจ้า หากวาจานี้แพร่งพรายออกไป ตระกูลหลัวของเราคงได้อับอายเป็นแน่!