บทที่ 5 สัญลักษณ์บนฝ่ามือ
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร!”
หลัวเฉิงพยายามสงบสติอารมณ์ แล้วรีบวิ่งไปยังลานฝึกยุทธ์ทันที
ภายในลานฝึกยุทธ์ มีแผ่นศิลาขนาดใหญ่วางอยู่หลายแผ่น ซึ่งแต่ละแผ่นมีน้ำหนักแตกต่างกัน
ในวิถีของการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ต้องเริ่มที่ขั้นหลอมกายาเป็นอันดับแรก
ขั้นหลอมกายา คือคือการฝึกฝนลมปราณและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่ง หลังจากไปถึงระดับที่เก้าแล้ว ต้องเริ่มลอกกายามนุษย์ออกทีละขั้นตอนเพื่อกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง!
ตอนนี้ หลัวเฉิงอยู่ที่ขั้นหลอมกายาระดับสี่และมีพลังเทียบเท่าแผ่นศิลาหนักสี่ร้อยจิน!
เขาเดินไปยังแผ่นศิลาหนักสี่ร้อยจิน แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พลันยกแผ่นศิลาขึ้นทันที มือของเขาจับแผ่นศิลาแน่นแล้วเคลื่อนมันขึ้นลงฝึกฝนกล้ามเนื้อ
ระหว่างที่เขากำลังฝึกฝน ไข่เก้าสีก็ค่อยๆ หมุนวนอยู่รอบกายและเริ่มดูดซับปราณแห่งสวรรค์และโลกโดยรอบเข้าสู่ร่างอย่างต่อเนื่อง
ชั่วยามต่อมา หลัวเฉิงรู้สึกว่าแผ่นศิลาที่แต่เดิมมีน้ำหนักมาก ตอนนี้กลับเบาลงอย่างน่าอัศจรรย์
“ขั้นหลอมกายาระดับห้า!” หลัวเฉิงเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
หลังได้สัมผัสกับพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างทวี หลัวเฉิงก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุด!
ก่อนหน้า เขาคิดว่าคงต้องใช้เวลาหลายวัน กว่าจะทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับห้า และมีพลังเทียบเท่าน้ำหนักศิลาห้าร้อยจิน ไม่คิดเลยว่าพลังยุทธ์ของเขาจะเลื่อนระดับภายในเวลาเพียงชั่วยามเท่านั้น!
ความก้าวหน้าที่รวดเร็วเช่นนี้ มั่นใจได้เลยว่ามันต้องเป็นผลมาจากวิญญาณยุทธ์!
“แม้ว่าวิญญาณยุทธ์ของข้าจะเป็นวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิด แต่ผลลัพธ์การฝึกฝนของมัน อาจมากกว่าวิญญาณยุทธ์ระดับกลาง หรือแม้แต่วิญญาณยุทธ์ระดับสูงด้วยซ้ำ!”
ครั้นลองพินิจขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลัวเฉิงก็เข้าใจได้ในทันที
แม้วิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิดนั้น จะมีพลังน้อยกว่าหนึ่งในสิบส่วนของวิญญาณยุทธ์ที่สมบูรณ์
แต่ทว่า ภายในไข่ลึกลับเก้าสี มีดวงดาวนับไม่ถ้วนประหนึ่งดาราจักร ต่อให้มันเป็นเพียงพลังหนึ่งในสิบส่วน ก็ยังมากกว่าวิญญาณยุทธ์ระดับเก้าดาวอยู่ดี!
บางที วิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิดของเขา อาจจะเหนือกว่าวิญญาณยุทธ์ระดับวิญญาณ วิญญาณยุทธ์ระดับพิภพ หรือแม้แต่วิญญาณยุทธ์ระดับสวรรค์!
นี่เป็นเพียงวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิด หากวันหนึ่งมันเกิดออกมาโดยสมบูรณ์ มันจะมีพลังมากขนาดไหน!
“ดีมาก! จีหยวนเฮ่า เราจะได้เห็นดีกัน!” หลัวเฉิงกำหมัดแน่น พร้อมสีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ
เมื่อหวนนึกถึงฉากในพิธีปลุกวิญญาณยุทธ์ ดวงตาของหลัวเฉิงก็เปล่งประกายแสงเย็นยะเยือก เขาเอื้อมมือไปหมายจะคว้าจี้ที่กลางอก ก่อนจะพบว่ามันไม่ได้ห้อยอยู่ที่คอแล้ว
“ว่าแต่ จี้ที่เคยห้อยอยู่คอข้าหายไปไหน”
สีหน้าของหลัวเฉิงฝันเปลี่ยนเป็นซีดราวกับกระดาษทันที หลังตระหนักได้ว่าจี้ห้อยคอของเขานั้นหายไป
นั่นเป็นเพียงสมบัติเดียวที่มารดาของเขาทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า!
แม้นจะหาไปทั่วร่างกาย หรือเดินหาไปทั่วลานฝึกยุทธ์ เขาก็ไม่พบแม้แต่เงา พานให้เขารู้สึกกระวนกระวายยิ่งในยามนี้
เมื่อหลัวเฉิงกำลังจะไปค้นหาต่อยังจัตุรัส ก็สังเกตเห็นว่ามีสัญลักษณ์เก้าสีที่สว่างมากบนฝ่ามือขวา!
“นี่มัน……”
หลัวเฉิงรู้สึกคุ้นเคยกับสัญลักษณ์นี้เป็นอย่างดี เพราะมันคล้ายคลากับจี้ห้อยคอของมารดาเขาทุกประการ!
“จี้นี้หลอมรวมกับร่างกายของข้างั้นหรือ นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เขาขมวดคิ้วมองมันด้วยความตกตะลึง
ครั้นหลัวเฉิงเอื้อมมืออีกข้างไปสัมผัส มันก็ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่อย่างไรเขาก็สัมผัสได้ว่าสัญลักษณ์เก้าสียังอยู่ที่นั่น!
“มันเข้าไปในร่างกายของข้าจริงๆ! จี้ห้อยคอนี้ทำจากอะไรกันแน่!” หลัวเฉิงพึมพำด้วยความฉงนใจ
จากนั้นเขาก็ก้มดูสัญลักษณ์บนฝ่ามืออีกครั้ง เพื่อความแน่ใจ แต่มันก็ยังมิเปลี่ยนแปลง ไม่ช้าเขาก็เริ่มครุ่นคิดไตร่ตรอง
สัญชาตญาณในตัวบอกเขาว่า เกล็ดเก้าสีนี้มีความพิเศษมากทีเดียว และวิญญาณยุทธ์ของเขาต้องมีความเกี่ยวโยงกลับเกล็ดเก้าสีนี้อย่างแน่นอน
“หากจะรู้เรื่องนี้ให้ได้ ในอนาคตต้องไปยังตระกูลจีเท่านั้น แล้วถามกับท่านแม่โดยตรง” หลัวเฉิงตัดสินใจในทันที
ต่อให้คิดเช่นไรก็มิอาจจะเข้าใจได้ เขาจึงไม่ต้องการเสียเวลาอีกต่อไป อย่างไรเสีย เขามาดมั่นว่าในภายหน้าจะต้องไปเยือนตระกูลจี และได้พบกับผู้เป็นมารดาอย่างแน่นอน
“ข้าต้องรีบฝึกฝนต่อไป!”หลัวเฉิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
คราคนึงถึงตระกูลจี หลัวเฉิงก็ต้องการแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว จึงฝึกฝนอย่างมิมีหยุดหย่อน เสียงเหวี่ยงแผ่นศิลาดังต่อเนื่องออกมาจากลานฝึกยุทธ์
จีหยวนเฮ่าสามารถทำร้ายปู่และบิดาของเขาจนบาดเจ็บสาหัสได้ด้วยฝ่ามือเดียว เขาน่าจะก้าวข้ามขั้นหลอมกายาไปนานแล้ว และตอนนี้อาจแข็งแกร่งกว่าขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับหกด้วยซ้ำ!
หลัวเฉิงรับรู้แก่ใจตนดี ว่าเขาในตอนนี้นั้นอ่อนแอมากเพียงใดเมื่อเทียบกับจีหยวนเฮ่า!
เช้าวันรุ่งขึ้น
หลัวเฉิงรีบตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ อาบน้ำล้างตัว และเดินไปยังเรือนของหลัวหมิงซานผู้เป็นปู่ของเขา
เขาอยากรู้ว่าท่านปู่นั้นบาดเจ็บมากขนาดไหน แล้วยามนี้อาการเป็นเช่นไรบ้าง จึงรีบบากบั่นไปหาด้วยความเป็นห่วงอยู่ในใจ
เมื่อสืบเท้าไปเกือบจะถึงที่หมาย หลัวเฉิงก็ต้องหยุดชะงักกึก
เนื่องจากมีศิษย์ชายและหญิงหลายคนยืนอยู่ลานหน้าเรือน และผู้ที่ถูกรายล้อมอยู่นั้นมิใช่ใครอื่นแต่คือหลัวฉี ซึ่งปัจจุบันเป็นบุคคลน่าเลื่อมใสของตระกูลหลัว
ระหว่างนั้นเอง หลายคนก็ได้สังเกตเห็นการมาเยือนของหลัวเฉิงด้วยเช่นกัน
หนึ่งในนั้นกำลังจะเอ่ยปากทักทายหลัวเฉิง แต่หลัวฉีก็ใช้สายตาจ้องเขม็งเขาจนมิกล้าขยับตัวแม้แต่น้อย
“นี่มิใช่คุณชายตระกูลจี หลัวเฉิงงั้นหรอกหรือ หลัวเฉิงปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ไข่ของเจ้า ให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตากับความยิ่งใหญ่ของมันบ้างสิ” หลัวฉีเดินเข้ามาหาเขาแล้วกล่าวเยาะเย้ย