บทที่ 4 ดาราจักร
เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้ผู้คนโดยรอบต่างยืนตะลึงลานด้วยความประหลาดใจ
“เฉิงเอ๋อร์”
ท่ามกลางความเงียบงัน หลัวหงก็พลันตะโกนเสียงดังลั่น แล้วลากสังขารที่บาดเจ็บเดินเข้ามาหาหลัวเฉิง
ด้วยเสียงเรียกกระเส่า ได้ปลุกให้หลัวเฉิงกลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง เมื่อเขาหันไปมองก็พบใบหน้าอันซีดเซียวของผู้เป็นบิดาตน
หลัวเฉิงจึงเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “ท่านพ่อ อาการบาดเจ็บของท่าน…”
“แค่กๆ… พ่อไม่เป็นไร มันเป็นเพียงอาการดั้งเดิมที่มีมาก่อนหน้า” หลัวหงส่ายศีรษะกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางไอเล็กน้อย
เมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของบิดาตนเช่นนี้ หลัวเฉิงก็กัดฟันพร้อมกำหมัดแน่นด้วยความแค้นใจเป็นที่สุด
ครั้งหนึ่ง ท่านปู่ของเขาเคยเล่าให้ฟังว่า บิดาเขานั้นเคยเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองฉีซาน ที่ปลุกได้วิญญาณยุทธ์ระดับเจ็ดดาว
ในตอนที่เขายังอายุไม่ถึงยี่สิบปี เขาก็บรรลุขั้นหลอมกายาระดับเก้า จากนั้นไม่นานก็ทะลวงไปจนถึงขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับหก และกลายเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งแห่งเมืองฉีซาน!
ทว่า โชคชะตานั้นโหดร้าย หลังจากมารดาของข้าถูกพาตัวไป บิดาข้าก็ไปหานางเพียงลำพัง แต่ระหว่างทาง เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเส้นลมปราณขาดสะบั้น จากนั้นระดับพลังยุทธ์ของเขาก็ค่อยๆ ลดทอนลงทีละขั้น มาบัดนี้เขาแทบสูญพลังไปจนหมดสิ้น
หลัวหงเอื้อมมือออกไปวางบนไหล่ของหลัวเฉิงแล้วกล่าวว่า “อย่าได้คิดมากเกี่ยวกับหนทางแห่งการฝึกฝน แม้เจ้าจะมีวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิด แต่หากฝึกฝนอย่างหนัก สักวันเจ้าก็จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง”
หลัวเฉิงยิ้มอย่างขมขื่นในใจ บิดาเขาไม่ค่อยเก่งในการปลอบใจผู้คน
เขารู้ดีอยู่เต็มอกว่า การปลุกวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิด มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม วิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิดของเขา ดูเหมือนมันจะแตกต่างออกไป!
“ท่านพ่ออย่าได้กังวล ข้าจะพยายามให้ดีที่สุด!” หลัวเฉิงฝืนยิ้มขณะกล่าว
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” หลัวหงทอดถอนใจด้วยความโล่งอก
เขากังวลอย่างมากว่าจิตใจของหลัวเฉิงจะบอบช้ำจนมิอาจฟื้นตัวได้ และร้ายแรงยิ่งกว่าคือหยุดฝึกฝนไปเลย
“ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน” หลัวเฉิงกล่าวพร้อมประสานมือ และหันหลังจากไป
หลัวเฉิงแทบอดรนทนไม่ไหวอยากกลับไปดูวิญญาณยุทธ์ของตน เพราะยังมีบางสิ่งที่เขายังสงสัยอยู่ไม่น้อย
ระหว่างที่เขาเดินผ่านจัตุรัส สายตาก็พลันเหลือบเห็นบรรดาศิษย์ทั้งหลายจากตระกูลหลัว ต่างยืนล้อมรอบชื่นชมหลัวฉีอยู่อีกฟากของจัตุรัส
“พี่หลัวฉีท่านเก่งมาก ที่ปลุกได้วิญญาณยุทธ์หอกห้าดาว!” ศิษย์หนึ่งในนั้นกล่าวอย่างชื่นชม
“พี่หลัวฉีคืออัจฉริยะของตระกูลหลัวเรา ไม่สิ ต้องพูดว่าเขาเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองฉีซาน!” ศิษย์อีกคนกล่าวเสริม
ขณะเดียวกัน หลัวฉีซึ่งกำลังหลงระเริงกับคำสรรเสริญเยินยอจากฝูงชนรอบข้าง ก็สังเกตเห็นหลัวเฉิงที่ยืนมองเขาอยู่ด้านนอกกลุ่มคน
เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพร้อมยกมือขึ้นเท้าเอว แสดงรอยยิ้มภาคภูมิใจในตนเอง
นับแต่นี้เป็นต้นไป เขาคือผู้ที่เป็นความหวังใหม่ของตระกูลหลัว!
แม้หลัวเฉิงจะยังอายุน้อย แต่ประสบการณ์ในวัยเด็ก ทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเพื่อนฝูง และเขาเข้าใจดีว่าหลัวฉีวันนี้แตกต่างจากอดีต เขาจึงหันหลังแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ
ครั้นกลับถึงจวน หลัวเฉิงก็รีบปิดประตูหน้าในทันที
“ข้าอยากรู้นัก ว่าข้าปลุกวิญญาณยุทธ์แบบไหนขึ้นมา…” เขาพึมพำกับตัวเอง
แล้วหลัวเฉิงก็สืบเท้ามายังกลางลาน สูดหายใจเข้าลึกๆ เริ่มโคจรลมปราณไปทั่วร่างแล้วปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของเขาออกมาในทันที
พัฟ!
ไข่ยักษ์ใบหนึ่งสูงประมาณสองฉื่อ มีแสงลึกลับน่าพิศวงเก้าสีปกคลุมไปทั่วเปลือก ปรากฏขึ้นที่กลางลานเนื้อศีรษะของหลัวเฉิง
หากมองอย่างใกล้ชิดและสังเกตให้ดี จะเห็นว่าผิวของเปลือกไข่ถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดเล็กๆ เก้าสี ซึ่งดูลึกลับมากทีเดียว
หลัวเฉิงเริ่มเดินเข้าไปใกล้มันเรื่อยๆ ก่อนจะเอื้อมมือออกไปสัมผัสอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นดวงตาเขาก็ฉายแววประหลาดใจยิ่ง
ในตอนที่ปลุกวิญญาณยุทธ์ให้ตื่นขึ้นบนแท่นพิธี เขาสัมผัสได้ว่าวิญญาณยุทธ์นี้มิได้ไร้ดาว เมื่อได้กลับมาเพ่งมองอีกครั้ง มันก็เป็นดั่งเช่นที่เขาสัมผัสได้มิมีผิด!
ภายใต้เปลือกไข่ ความสุกใสนั้นพร่างพราวราวกับดาราจักร มันมีดวงดาวสุกสกาวมากมายสุดคณานับ!
เนื่องจากความสว่างของดาราจักร มิอาจส่องผ่านม่านแสงลึกลับเก้าสีที่อยู่รอบเปลือกได้ จึงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้อื่นที่จะสังเกตเห็นมัน!
“แล้ววิญญาณยุทธ์ของข้ามันเป็นระดับไหนกัน…” เขาพึมพำกับตนด้วยความฉงนสงสัย
ครั้นคิดสิ่งหนึ่งได้ ม่านตาของหลัวเฉิงเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
วิญญาณยุทธ์แบ่งระดับตามจำนวนดาวที่มีอยู่ หนึ่งถึงสามดาวเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับต่ำ สี่ถึงหกดาวเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับกลาง และเจ็ดถึงเก้าดาวเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับสูง!
หลัวเฉิงเคยได้ยินบิดาของเขากล่าวไว้ว่า เหนือวิญญาณยุทธ์ระดับสูง ยังมีวิญญาณยุทธ์ระดับวิญญาณ วิญญาณยุทธ์ระดับพิภพ วิญญาณยุทธ์ระดับสวรรค์ และวิญญาณยุทธ์ระดับจักรพรรดิซึ่งเป็นวิญญาณยุทธ์ในตำนาน!
ผู้ที่มีวิญญาณยุทธ์เหล่านี้ นับว่าเป็นอัจฉริยะด้านวรยุทธที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว! ความสำเร็จนั้นไร้ขีดจำกัด! และจะถูกขนานนามเป็นจักรพรรดิ!
“นี่อาจเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับจักรพรรดิในตำนาน หรือไม่มันก็เกินกว่าระดับจักรพรรดิ…” หลัวเฉิงกล่าวกับตนเองด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
เมื่อมองดูดวงดาวที่สว่างไสวภายในนั้นอีกครั้ง หลัวเฉิงก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ