บทที่ 2 วิญญาณยุทธ์ตื่นขึ้น
“อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย เรามาเริ่มพิธีปลุกวิญญาณยุทธ์กันดีกว่า” ชายชราอาภรณ์เทากล่าว
ครั้นสิ้นเสียง เขาก็วาดมือโบกสะบัด เมฆหมอกหนาเมื่อครู่ถูกกวาดกระจาย เผยให้เห็นดวงดาราสว่างไสวทั่วท้องฟ้า
ครืน!
ไม่ช้า แท่นพิธีปลุกจิตยุทธ์ที่มีความยาวและกว้างสามสิบฉื่อก็ปรากฏ มันถูกปกคลุมไปด้วยแสงจรัสแห่งดวงดาวที่มากมายสุดคณานับ
แววตาของฝูงชนเบื้องล่างที่ประสบพบฉากอันน่าอัศจรรย์นี้ ก็ต่างมีสีหน้าตื่นตะลึงกันถ้วนทั่ว
แม้เมืองฉีซานเองก็มีแท่นพิธีปลุกจิตยุทธ์เช่นกัน แต่มันก็มิอาจเทียบได้กับแท่นพิธีที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาในยามนี้
ชายชราเหลือบมองมันแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผู้ใดที่มีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไขในการปลุกวิญญาณยุทธ์ เชิญก้าวขึ้นมาได้”
“พวกเจ้ารีบลุกขึ้นไปเร็วเข้า!”
เสียงแผดดังของหลัวหมิงซานเมื่อครู่ ได้ปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นจากภวังค์
หลัวเฉิง หลัวฉี พร้อมด้วยบรรดาศิษย์ของตระกูลหลัวอีกหลายสิบคน ที่มีอายุมากกว่าสิบปีและได้ฝึกฝนจนถึงขั้นหลอมกายาระดับสอง ต่างรุดหน้าก้าวขาขึ้นไปยังแท่นพิธี
“ไม่รู้เลยว่า ตัวข้าในตอนนี้จะสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์อะไรขึ้นมากันแน่…” หลัวเฉิงพึมพำกับตัวเอง
เมื่อสองเท้าเหยียบย่ำอยู่บนแท่นพิธี หลัวเฉิงก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย พร้อมด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
ในการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ วิญญาณยุทธ์ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่ง! หากไร้ซึ่งวิญญาณยุทธ์ ก็มิอาจก้าวหน้าในการฝึกฝนได้
อีกทั้ง ระดับวิญญาณยุทธ์ ถือเป็นสิ่งที่กำหนดชะตาความสำเร็จ ของการฝึกฝนในภายหน้าเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้น การที่จะสามารถไปยังตระกูลจีเพื่อพบผู้เป็นมารดาได้ เขาจะต้องปลุกวิญญาณยุทธ์ระดับสูงขึ้นมาเท่านั้น!
หลัวเฉิงคว้าจี้ห้อยคอที่ผู้เป็นมารดาทิ้งไว้ให้โดยไม่รู้ตัว
เมื่อกำจี้นี้ไว้ในมือเขาก็รู้สึกแปลกมาก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันทำจากวัสดุชนิดไหน แต่ส่วนปลายของมันมีแถบเส้นสายอยู่เก้าสี ที่ดูแล้วช่างแปลกพิกลนัก
“เริ่มพิธีปลุกวิญญาณยุทธ์!” ชายชราอาภรณ์เทาแผดเสียงตะโกนดัง
ทันใดนั้น แสงแห่งดาราบนแท่นพิธีปลุกจิตยุทธ์ก็พลันสว่างไสวขึ้นในทันตา มันแผ่ออกมาปกคลุมร่างของหลัวเฉิงและคนอื่นๆ
ในเวลาไม่กี่อึดใจ ผู้คนที่อยู่โดยรอบจัตุรัส ก็ได้ยินเสียงคำรามดังสนั่นเลื่อนลั่นไปทั่ว
โห่ว!
หลังสิ้นเสียง ภาพธรรมของหมาป่ายักษ์ที่มีเปลวเพลิงสีฟ้าลุกโชติช่วงไปทั่วลำตัว ก็ปรากฏออกมาจากร่างของหนึ่งในศิษย์ตระกูลหลัว
ภายในตัวของหมาป่ายักษ์ มีดาวสามดวงส่องแสงสว่างเจิดจ้า!
“หมาป่าเนตรนภา วิญญาณยุทธ์ระดับสามดาว!”
ทุกคนต่างอุทานด้วยความประหลาดใจ
หนึ่งถึงสามดาวเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับต่ำ สี่ถึงหกดาวเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับกลาง และเจ็ดถึงเก้าดาวเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับสูง!
สำหรับตระกูลหลัว วิญญาณยุทธ์ระดับสามดาวนั้นถือว่าดีมากแล้ว
“อสรพิษเหล็กเมฆา วิญญาณยุทธ์ระดับสองดาว!”
“เต่ายักษ์ วิญญาณยุทธ์ระดับหนึ่งดาว!”
“โอ้สวรรค์ นั่นมันวิญญาณยุทธ์หอกห้าดาว! หลัวฉีคือผู้ปลุกวิญญาณยุทธ์ระดับห้าดาว!”
บรรดาหนุ่มสาวต่างปลุกวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาให้ตื่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งหลัวฉียังสามารถปลุกได้วิญญาณยุทธ์ระดับกลาง ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนมีสีหน้าที่ตกตะลึง
เวลาผ่านไปพักหนึ่ง ยามนี้มีเหลืออีกเจ็ดคนบนแท่นพิธี ที่ยังมิอาจปลุกวิญญาณยุทธ์ให้ตื่นขึ้นได้ นั่นรวมถึงหลัวเฉิงด้วยเช่นกัน
บรรยากาศเงียบสงัดไร้ซึ่งซุ่มเสียง บัดนี้หลายคนเริ่มมีสีหน้าหวั่นวิตกด้วยความกังวลยิ่ง
อย่างไรก็ตาม หลังจากเวลาล่วงเลยไประยะหนึ่ง หากวิญญาณยุทธ์ยังไม่ตื่นขึ้น นั่นเท่ากับว่าไร้พรสวรรค์ในการฝึกฝน และมิอาจเดินบนเส้นทางนี้ได้อีก
เมื่อเห็นฉากนี้ บุรุษหนุ่มอาภรณ์หรูที่ให้ความสนใจหลัวเฉิง ก็แสดงสีหน้ารังเกียจ “ฮึ่ม! เขาได้รับสืบทอดสายเลือดสูงสุดของตระกูลจี แต่กลับมิอาจปลุกวิญญาณยุทธ์ให้ตื่นขึ้นได้ ช่างน่าเสียดายสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกายนัก!”
ใต้แท่นพิธีปลุกจิตยุทธ์ หลัวหงจับจ้องไปยังหลัวเฉิงด้วยหัวใจลุ้นระทึก พร้อมกับสวดภาวนาอย่างเงียบๆ
มีเพียงเขาเท่านั้น ที่รู้ว่าหลัวเฉิงทุ่มเทในการฝึกฝนหนักแค่ไหน เพื่อที่จะมายืนอยู่จุดนี้ เพื่อที่จะแข็งแกร่งจนพามารดากลับมาอยู่รวมเป็นครอบครัวอีกครั้ง
หลัวหงพร้อมเอาชีวิตเข้าแลก หากมันช่วยให้หลัวเฉิงปลุกวิญญาณยุทธ์ขึ้นมาได้ ต่อให้มันจะเป็นเพียงวิญญาณยุทธ์ระดับต่ำ อย่างน้อยความหวังของเขาก็ยังอยู่
ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็ยังไม่มีปาฏิหาริย์ใดเกิดขึ้นกับคนทั้งเจ็ด ที่อยู่บนแท่นพิธีปลุกจิตยุทธ์ในตอนนี้
“พอได้แล้ว”
บุรุษหนุ่มเร่งเร้าให้จบพิธีลง เนื่องจากเขาหมดความอดทนเต็มที อย่างไรเสียคนไร้ค่าก็มิอาจปลุกวิญญาณยุทธ์ให้ตื่นขึ้นได้อยู่แล้ว
ชายชราอาภรณ์เทาเหลือบมองหลัวเฉิง จากนั้นส่ายศีรษะแล้วประกาศว่า “พิธีปลุกวิญญาณยุทธ์ยุติลงแต่เพียงเท่านี้!”
“ช้าก่อน! โปรดรออีกสักนิด ข้าต้องสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ให้ตื่นขึ้นได้อย่างแน่นอน!”
หลัวเฉิงยังมิอาจยอมรับความพ่ายแพ้ และเขากำจี้ในมือเอาไว้แน่นจนมีเลือดไหลออกมา
“ฮ่าฮ่า… เจ้าขยะ เจ้าคิดว่าด้วยสายเลือดของตระกูลจีที่ไหลเวียนอยู่ในกาย จะทำให้เจ้าสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ให้ตื่นขึ้นมาได้หรืออย่างไร” น้ำเสียงเย้ยหยันดังมาจากบุรุษหนุ่ม
เขาเปลี่ยนแววตาเป็นเย็นชา กล่าวว่า “จงจำไว้ว่า มดปลวก ต่อให้ทำอย่างไรก็เป็นเพียงมดปลวก และมันสมควรที่จะใช้ชีวิตอยู่ในดินเท่านั้น ไม่มีวันที่มันจะกลายร่างเป็นมังกรแล้วผงาดอยู่เหนือเมฆได้”
บุรุษหนุ่มอาภรณ์หรูยิ้มเยาะ และหันมากล่าวกับชายชราอาภรณ์เทา “เก็บแท่นพิธีออกไปเสีย”
“ขอรับ!”
ในระหว่างที่ชายชรากำลังจะนำแท่นพิธีออกไป จู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหัน
กรร!
เสียงคำรามของมังกรดังขึ้น และแท่นพิธีก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับมันสะบั้นด้วยความหวาดกลัว
ขณะเดียวกัน แสงดารานับไม่ถ้วนเคลื่อนมาบรรจบกันที่หลัวเฉิง ประหนึ่งร่างนั้นกำลังจะหลอมรวมกับดวงดารา ทั่วสรรพางค์กายเขาส่องแสงเจิดจ้า จนมิอาจมองเห็นร่างได้!