บทที่ 10 หุบเขาเมฆาทมิฬ!
ณ ลานฝึกยุทธ์
ปัง!… ปัง! ปัง!…
ปรากฏมีร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหว ออกหมัดซ้ายขวา พร้อมกับเสียงอากาศขาดสะบั้นดังคำราม!
ยามนี้ หลัวเฉิงกำลังฝึกปรือเพลงหมัดสยบภูผาสีหน้ามุ่งมั่น อยู่ในลานฝึกยุทธ์เล็กๆ ข้างจวน ขณะแรงกระแทกหมัดส่งเสียงสะท้านดังอย่างต่อเนื่อง
“สะท้านขุนเขา!” หลัวเฉิงก็ตะโกนเสียงทุ้มต่ำ
สิ้นเสียง เขาก็ชกหมัดออกไปทันที พลังของหมัดนี้มหาศาลประหนึ่งขุนเขากำลังเคลื่อนที่ด้วยพลังที่มิอาจหยุดยั้ง
ปัง!
เสาฝึกซ้อมซึ่งมีความหนามากกว่าหนึ่งฉื่อ สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และปรากฏรอยหมัดตื้นๆ ขึ้นบนนั้น
“นี่มัน พลังขั้นสำเร็จเล็กน้อย!” หลัวเฉิงอุทานด้วยความประหลาดใจ
ขั้นแห่งการฝึกฝนวรยุทธ แบ่งออกเป็นขั้นเริ่มต้น สำเร็จเล็กน้อย ฉลาดล้ำเลิศ สมบูรณ์แบบ และขั้นปรมาจารย์!
ในเวลาไม่ถึงสองวัน หลัวเฉิงกลับสามารถฝึกฝนเพลงหมัดสยบภูผาจนบรรลุขั้นสำเร็จเล็กน้อย!
พลังหมัดของเขาตอนนี้ มีความรุนแรงมากกว่าหกร้อยจิน!
“ดูเหมือนว่า ความเข้าใจของข้าก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน” เขาแสดงรอยยิ้มอันภาคภูมิใจในความสามารถตน
ใบหน้าหลัวเฉิงตอนนี้ เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปิติยิ่ง เขาไม่คิดเลยว่า พรสวรรค์ด้านวรยุทธของตนจะสูงส่งถึงปานนี้
มีเพียงไม่กี่คนในเมืองฉีซาน ที่สามารถฝึกฝนเพลงหมัดระดับสามดาว จนบรรลุขั้นสำเร็จเล็กน้อยได้ในสองวันดั่งเช่นที่เขาทำมันในวันนี้
“ข้าอาจจะต้องไปยังหุบเขาเมฆาทมิฬ เพื่อทะลวงระดับขั้นต่อไป” จู่ๆ ในหัวเขาก็พลันนึกถึงบางสิ่ง ซึ่งอาจสามารถทำให้ตนทะลวงระดับได้รวดเร็วขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
จากนั้น หลัวเฉิงก็ไตร่ตรองวิธีการทะลวงระดับอื่นเท่าที่จะเป็นไปได้อย่างลับๆ ก่อนตัดสินใจวางแผนเข้าสู่หุบเขาเมฆาทมิฬ
เนื่องจาก ช่วงปลายของขั้นหลอมกายาระดับหก ถือเป็นด่านสุดท้ายก่อนทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเจ็ด เรียกอีกอย่างว่าคอขวด ต่อให้มีโอสถหยกเย็นหลอมกายา ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทะลวงผ่านไปได้
จีหยวนเฮ่าเป็นทายาทของตระกูลจี เขามีพรสวรรค์และทรัพยากรอย่างไม่จำกัด จึงยากยิ่งนักที่จะตามทันได้ภายในสิบปี หากยังฝึกฝนเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าสุดท้ายต้องพ่ายแพ้เป็นแน่
หลัวเฉิงต้องการกระตุ้นศักยภาพ และพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาผ่านการต่อสู้จริง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องได้มาจากการเข้าปะทะกับสัตว์ร้ายในหุบเขาเมฆาทมิฬเท่านั้น
นอกจากไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์การต่อสู้ หลัวเฉิงยังมีความคิดอื่นเมื่อไปถึงหุบเขา
หุบเขาเมฆาทมิฬนั้นทอดยาวหลายพันลี้และกว้างใหญ่ไพศาล ไม่เพียงมีสัตว์อสูรนับไม่ถ้วน แต่ยังมีโอสถ สมุนไพร และสมบัติหายากอีกมากมายด้วยเช่นกัน
การตามหาโอสถวิเศษข้างในนั้นถือเป็นโอกาสเดียว ที่เขาจะสามารถช่วยปู่และบิดาของตนได้ในตอนนี้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็รีบเก็บข้าวของแล้วออกเดินทางไปในทันที
หลังออกจากจวนตระกูลหลัว เขาก็สืบเท้าซอกแซกไปตามถนน ก่อน จู่ๆ จะหยุดกะทันหัน
เนื่องด้วยบนทางข้างหน้า มีกลุ่มคนกำลังสนทนากันอย่างสนุกสนาน
หนึ่งในนั้นคือหลัวฉี ส่วนคนอื่นๆ มาจากตระกูลหลิน ชายหนุ่มอาภรณ์น้ำเงินที่อยู่ด้านหน้า ซึ่งหลัวเฉิงรู้จักเป็นอย่างดี นั่นคือหลินเซียว นายน้อยของตระกูลหลิน
ใบหน้าของหลัวเฉิงมืดลงในทันที เขาก้าวไปข้างหน้าหาหลัวฉีแล้วถามว่า “หลัวฉี ไฉนเจ้าถึงออกมาเที่ยวเล่นกับคนของตระกูลหลินเช่นนี้ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่”
นอกจากตระกูลของเจ้าเมืองแล้ว เมืองฉีซานยังมีตระกูลหลักอีกสามตระกูลใหญ่ ได้แก่ หลัว หลินและฉี
ตระกูลหลัว และตระกูลหลินต่างมีความขัดแย้งกันมาโดยตลอด สืบเนื่องมาจากผลประโยชน์ทางกิจการที่สองตระกูลนี้ต่างแก่งแย่งกันมาช้านาน
อีกทั้งมันยังแผ่ขยายส่งผลไปถึงรุ่นหลัง เพราะหลัวเฉิงก็เคยต่อสู้กับศิษย์บางคนของตระกูลหลินมาก่อน ความไม่ลงรอยของสองตระกูลจึงยากนักจะมาบรรจบกันได้
ดวงตาหลัวฉีกระพริบถี่ไร้ซึ่งเสียงตอบ เขายังรู้สึกสงสัยอยู่ว่า ไฉนหลัวเฉิงจึงเดินเข้ามาบอกกล่าวกับเขาเช่นนี้
ระหว่างนั้น หลินเซียวเหลือบมองหลัวเฉิงแล้วกล่าวด้วยยิ้มเยาะ “ดูสิว่าใครมา นั่นมันคุณชายผู้โด่งดังของตระกูลจีมิใช่หรือ ข้าได้ยินมาว่า เจ้าปลุกวิญญาณยุทธ์ที่ยากหาผู้ใดเปรียบ เช่นนั้นก็รีบปลดปล่อยมันออกมา ให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตากับความยิ่งใหญ่ของมันดีหรือไม่”
“ฮ่า… ฮ่า… ฮ่า…”
ผู้ที่ได้ยินวาจาถากถางเช่นนั้น ก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน พร้อมใบหน้าเหยียดหยาม
ข่าวที่ว่าหลัวเฉิงได้ปลุกวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิด ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองฉีซานแล้วในตอนนี้ มันแพร่เร็วราวกับน้ำหนึ่งหยดตกลงบนมหาสมุทรพานให้เกิดระลอกคลื่น
หลัวฉีหน้าแดงด้วยความอับอาย จนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี เขาจ้องไปยังหลัวเฉิงแล้วตะคอกด้วยความโกรธ
“หลัวเฉิง ข้าจะเล่นกับใครมันก็เรื่องของข้า ไยเจ้าต้องใส่ใจด้วย! เจ้าอย่าได้ลืมสัญญาของเรา และข้าไม่กลัวที่จะบอกเจ้าว่า ข้าจะได้เลื่อนเป็นขั้นหลอมกายาระดับห้าในเร็ววันนี้แน่!”
“จริงหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้เจ้าโชคดี!” หลัวเฉิงกล่าวน้ำเสียงทุ้มหนักพลางโบกมือปัดอย่างไม่แยแส
ในเมื่อเตือนอีกฝ่ายด้วยความหวังดี แต่มันกลับไร้ค่า ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดให้เปลืองน้ำลายอีก เขาเพียงเหลือบมองหลินเซียวและคนอื่นๆ ก่อนหันหลังจากไปในทันที
เมื่อถูกหลัวเฉิงมองด้วยหางตา หลินเซียวก็รู้สึกไม่พอใจเป็นที่สุด “เจ้าขยะนี่ ไฉนกลับหยิ่งจองหองได้มากถึงเพียงนี้!”
“คิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะของตระกูลจีหรืออย่างไร! ทั้งที่เจ้าเป็นเพียงขยะผู้ถูกตระกูลจีทอดทิ้ง”
หลังหลินเซียวพึมพำปากก่นด่าอยู่ครู่ ก่อนหันกลับมากล่าวกับหลัวฉีพลางเหยียดมุมปากยิ้ม
“หลัวฉี เมื่อถึงเวลาที่เจ้าประลอง จงสั่งสอนเขาเสีย อย่าแสดงความเมตตาเป็นอันขาด!”
บรรดาคนของตระกูลหลิน ต่างหัวร่ออย่างสนุกปาก