บทที่ 170 พบกันสามเดือนก่อน
ในฐานะอัจฉริยะนักปรุงโอสถรุ่นเยาว์แห่งอาณาจักรเสินไห่ วันนี้ เขาจึงออกมาลงทะเบียนและเข้ารอยังลานแข่งก่อนใคร เพื่อเรียกเสียงชื่นชมยินดีจากผู้คนทั่วทั้งอาณาจักร
แต่เขาไม่คาดคิด ว่าหยางเสี่ยวเทียนจะเข้าร่วมแข่งขันหลอมโอสถวันนี้ด้วย เขาไม่หวังว่าเด็กนั่น จะผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงโอสถได้จริง เรื่องราวมันควรเป็นดั่งคนกล่าวหาเขาสิ
หยางเสี่ยวเทียนหันมองเติ้งอี้ชุนด้วยสัมผัสถึงดวงตาเขา แต่ไม่คิดว่าสีหน้าอีกฝ่ายจะซีดเผือด ขาวราวกระดาษประหนึ่งร่างไร้วิญญาณหลังได้เห็นเขาสบตาเช่นนั้น
ขณะเฉินจื่อหานเดินเข้ามาในสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมรับเสียงโห่ร้องสรรเสริญอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ก่อนทันได้หุบรอยยิ้มอันงดงามน่าพึงใจนั้นลง หลังประสบเห็นสายตาผู้คนโดยรอบ จับจ้องเพียงหยางเสี่ยวเทียนผู้เดียวด้วยประหลาดใจที่เห็นเขาปรากฏตัว
ไม่มีคนแม้แต่ผู้เดียว หันสนใจนางระหว่างย่างกรายออกมาปรากฏตัวดั่งควรจะเป็น เพียงเพราะเด็กนั่น ทำใบหน้าอันบอบบางของนางผู้มิเคยต้องเผชิญเหตุการณ์น่าอับอายเช่นนี้ มืดมนลงด้วยเดือดดาลหยางเสี่ยวเทียนทวียิ่ง
ถึงอย่างนั้น เฉินจื่อหาน เฉิงหลง หูซิง และคนอื่นๆ ก็สืบเท้ากันมาถึงกลางลานแข่ง โดยไร้ซึ่งสุ้มเสียงโห่ร้องใดๆ ราวพวกเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ
เมื่อเฉิงหลงเดินผ่านหยางเสี่ยวเทียน เขาก็เอ่ยกล่าวขึ้นน้ำเสียงเย็นชา “หยางเสี่ยวเทียน เจ้าเพิ่งผ่านการเป็นนักปรุงโอสถ อย่าได้ใจไปหน่อยเลย รอบแรกก็ยังไม่แน่ใจ ว่าจะผ่านหรือไม่”
“เฉิงหลง ข้าคิดว่าสมองเจ้าน่าจะมีปัญหา ดวงตาข้างไหนของเจ้าที่เห็นคุณชายหยางเสินรู้สึกได้ใจกัน” เวลานั้นเอง บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งท่ามกลางฝูงชนนอกลานแข่ง ก็กล่าวแทรกเฉิงหลงขึ้น
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้น ต่างผงะกายตกใจตะลึง ด้วยไม่คาดว่าจะมีผู้ใดกล้าเอ่ยตำหนิเฉิงหลง ว่าสมองมีปัญหาราวกับคนโง่เขลาได้
ซึ่งทันทีหลังเฉิงหลงหันมองคนต้นเสียง สีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนไปเมื่อเห็นบุรุษหนุ่มผู้เป็นเจ้าของประโยคว่ากล่าวตน
บุรุษหนุ่มที่ว่าคือกู่ซี องค์ชายแห่งอาณาจักรกู่เจี้ยน
กู่ซีเป็นคนคลั่งไคล้กระบี่ และมีชื่อเสียงจากความหลงใหลในเคล็ดวิชาแลทักษะการใช้กระบี่ อย่างหาผู้ใดเทียบมิได้
กู่ซียกมือประสานหมัด หันหาหยางเสี่ยวเทียนด้วยรอยยิ้มอย่างมิตรไมตรี “คุณชายหยางเสิน ข้ากู่ซี องค์ชายแห่งอาณาจักรกู่เจี้ยน ได้ยินชื่อเสียงอันน่าเลื่อมใสของท่านมานานแล้ว”
“วันนี้นับเป็นวาสนาอันดี ที่ได้พบคุณชายเข้าร่วมแข่งขันหลอมโอสถ ไม่คาดคิดเลยว่านอกจากคุณชายจะมีพรสวรรค์ด้านกระบี่แล้ว ท่านยังมีทักษะด้านการหลอมโอสถอย่างน่าเหลือเชื่อ ข้าช่างโชคดี ที่ได้เปิดหูเปิดตายิ่งนัก”
“ภายภาคหน้า ข้าคงไม่เพียงต้องขอรบกวนคุณชายหยางเสินเรื่องชี้แนะแค่ทักษะกระบี่เสียแล้ว” กู่ซีกล่าว ฟังมีอัธยาศัยสมดั่งฐานะอันสูงศักดิ์ ขณะการวางตัวก็ดีคู่ควรแก่ผู้เป็นถึงองค์ชาย
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้าพร้อมเผยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรต่ออีกฝ่ายเช่นกัน
เพราะเขายังตะลึงงันด้วยไม่หวัง ว่าจะมีผู้ที่เป็นถึงองค์ชายแห่งอาณาจักกู่เจี้ยนชื่นชมแลพร้อมยินดีไปกับเขา โดยไม่แม้แต่คิดริษยาแฝงในดวงตาขณะแย้มยิ้มบนใบหน้า
อันที่จริง หยางเสี่ยวเทียนยังคงประเมินอิทธิพลของเขาต่ำไป
เรื่องราวที่เขาหยั่งรู้ศิลากระบี่ทั้งร้อยเล่ม กระทั่งกลายเป็นเจ้าตำหนักกระบี่แห่งสำนักเสินเจี้ยน ได้ค่อยๆ แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำเหล่าอัจฉริยะและเซียนกระบี่มากมายจากอาณาจักรโดยรอบต่างชื่นชมแลปลาบปลื้มกับพรสวรรค์ด้านนี้ของเขายิ่ง
ทันใดนั้นเอง ฝูงชนบนอัฒจันทร์ก็เริ่มส่งเสียงแตกตื่น หลังมีกลุ่มชายชราสี่คนเดินขึ้นบนปะรำพิธี
“นั่นคือท่านหลี่เหวิน ท่านอู๋ฉี ท่านเฟิงซิง และท่านโม่หลิงข่ายนี่!” มีคนตะโกนอย่างตื่นเต้น
ชายชราทั้งสี่คนที่ว่า คือปรมาจารย์นักปรุงโอสถผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่แห่งอาณาจักรเสินไห่อันเลื่องชื่อ
หยางเสี่ยวเทียนก็เป็นอีกคนที่ยินดี เมื่อได้พบว่าหลี่เหวินก็มาร่วมชมงานแข่งขันหลอมโอสถวันนี้ด้วย
เขามองไปยังคนทั้งสี่ ซึ่งหลี่เหวินก็ยังคงดูมีพลังอันองอาจเหมือนคราที่แล้ว อู๋ฉี มีรูปร่างอ้วนท้วนและเป็นอาจารย์ของเติ้งอี้ชุน
ส่วนชายชราผู้มีผมสีเงิน เขาคงจะเป็นเฟิงซิงหรือปีศาจเฒ่าเฟิง ที่เฉินหยวนกับคนอื่นๆ เคยกล่าวถึงมาก่อน และชิวไห่ชิว ผู้ถูกเขาสังหารที่เมืองซิงเยว่ก็เป็นศิษย์เขา
โม่หลิงข่าย ท่าทางดูเหมือนกับนักปราชญ์ขงจื้อ ทั้งยังมีอายุน้อยสุดในบรรดาปรมาจารย์นักปรุงโอสถสี่คน
เผิงจื้อกัง ไฉ่ห่าว หลัวจวิ้นเผิง และคนอื่นๆ ต่างลุกขึ้นประสานมือก้มคำนับเพื่อทักทาย เมื่อเห็นหลี่เหวินพร้อมคนทั้งสามมาถึง
หลี่เหวินในฐานะผู้นำสูงสุดของหอสมาคมนักปรุงโอสถหลักแห่งอาณาจักรเสินไห่ เรียกได้ว่ามีฐานะที่ไม่ธรรมดา เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มให้เผิงจื้อกังพร้อมทั้งคนอื่นๆ จากนั้นหันไปหาหยางเสี่ยวเทียนขณะอยู่ท่ามกลางฝูงชนแล้วยิ้มกว้าง
“ข้าไม่คิดเลยว่า สหายตัวน้อยของข้า ก็มาเข้าร่วมการแข่งขันของนักปรุงโอสถระดับหนึ่งดาวครั้งนี้ด้วย ข้าเชื่อว่าการแข่งขันครั้งนี้ ต้องตื่นตาตื่นใจมากเป็นแน่!”
ดวงตาของทุกคนแข็งค้าง ไม่มีผู้ใดคิดเลยว่าหลี่เหวินจะรู้จักหยางเสี่ยวเทียน
หยางเสี่ยวเทียนเผยยิ้มขณะยกมือประสานหมัดแสดงความนับถือ “ปรมาจารย์หลี่ ข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรตินักที่ได้พบท่าน”
จากนั้นหลี่เหวินก็อ้าปากระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมนั่งลงกับทุกคน
แท้จริงแล้ว มันเป็นความตั้งใจของหลี่เหวิน ที่ได้กำหนดสถานที่การแข่งขันหลอมโอสถ ณ เมืองเสินเจี้ยน
เหตุที่เขาทำเช่นนี้ก็เพราะ เขาต้องการชักชวนให้หยางเสี่ยวเทียนเข้าร่วมจริงๆ
ครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นหยางเสี่ยวเทียนหลอมโอสถในตอนทดสอบ เขาชื่นชมทักษะการหลอมโอสถของหยางเสี่ยวเทียนเป็นที่สุด และอยากเห็นมันอย่างถนัดชัดตาอีกครา
พร้อมทั้งอยากรู้ว่าระดับการหลอมโอสถของสหายน้อย พัฒนาสูงถึงไหนแล้วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้
เฉิงหลงและคนอื่น ต่างประหลาดใจเมื่อได้ทราบว่าหยางเสี่ยวเทียนรู้จักกับหลี่เหวินจริง
“อาจารย์หลี่ ท่านรู้จักหยางเสี่ยวเทียนมาก่อนงั้นหรือ” เผิงจื้อกังอดไม่ได้ที่จะถาม
ไฉ่ห่าว หลัวจวิ้นเผิงและสามปรมาจารย์นักปรุงโอสถผู้ยิ่งใหญ่ ต่างมีสีหน้าสงสัยใคร่รู้ ว่าหลี่เหวินรู้จักกับหยางเสี่ยวเทียนได้อย่างไร
หลี่เหวินผงกศีรษะด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าพบเขาเมื่อสามเดือนก่อน”
ทุกคนต่างสะดุ้งตกใจกันเป็นทอดๆ พวกเขาเคยเจอกันเพียงครั้งเดียวเองงั้นรึ แต่ไฉนดูเหมือนทั้งสองตอนนี้ จะคุ้นเคยราวพบกันมานานหลายหนนัก
ไม่นานจากนั้น หลี่เหวินก็เอ่ยกับหลินหยวน “ใกล้ถึงเวลาอันสมควรแล้ว เริ่มการแข่งขันเลยเถิด”
“ขอรับท่านอาจารย์” หลินหยวนพยักหน้าตอบ แล้วยืนขึ้นกวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนแผดเสียงดังกังวาน “การแข่งขันของนักปรุงโอสถระดับหนึ่งดาวเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้ และในรอบคือ…”