ตอนที่ 37 ขอเพียงไม่ละอายแก่ใจตนเอง
ตอนที่ 37 ขอเพียงไม่ละอายแก่ใจตนเอง
"บทเรียนแรกเป็นอย่างไรบ้าง"
หลังจากกลับมาที่เรือนเหมย จูชิงฮวนก็ถามพลางยกยิ้ม
"น่าจดจำ" เซียวเฉินมีประกายในดวงตา พิธีสอบคัดเลือกครั้งนี้ย่อมตราตรึงใจเขานัก
ไม่ใช่เพียงแค่เซียวเฉิน แต่ทั้งเมืองไพศาลก็คงจะลืมเลือนได้ยาก
"แก่นแท้ของการฝึกฝนคือการแย่งชิง การแย่งชิงทรัพยากร ไม่ว่าจะเคล็ดวิชาและคาถา ยาอายุวัฒนะและอาวุธศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงสมบัติแห่งฟ้าดิน... ทั้งหมดล้วนเป็นทรัพยากร แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์เองก็เป็นทรัพยากร ผู้คนต่างต่อสู้แย่งชิงทรัพยากรเหล่านี้เพื่อแข็งแกร่งขึ้น การต่อสู้จึงมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ในสำนักการต่อสู้ก็ยังโหดเหี้ยมมาก" จูชิงฮวนกล่าว
"ข้าเข้าใจแล้ว" เซียวเฉินพยักหน้าอย่างหนักแน่น การต่อสู้มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง!
"เนี่ยนปิงถือเป็นลูกศิษย์ประทับนามแล้ว ต่อไปนี้จะมาฝึกฝนที่เรือนเหมย ส่วนเจ้าต้องระมัดระวังทุกอย่าง บางทีอีกไม่นานศิษย์พี่และข้าอาจไม่สามารถ..." จูชิงฮวนพูดไม่จบประโยค ราวกับว่ามีเรื่องกังวลในใจ
สีหน้าเซียวเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย วันนั้นเขาได้ยินบทสนทนาระหว่างจูชิงฮวนและจี้หรูเปย ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่เช่นกัน
"เอาเถิด อย่าพูดเรื่องนี้เลย ตอนนี้การฝึกฝนสำคัญกว่า" จูชิงฮวนดึงเนี่ยนปิงออกไปด้วยกัน
"หมัดสำคัญที่สุด"
เซียวเฉินพึมพำ จากนั้นก็นั่งลงและจมดิ่งอยู่กับการฝึกฝนบำเพ็ญ
จัวชิงยังอยู่ โจวหลิงเสวี่ยยังอยู่ ตระกูลหวังยังอยู่... เส้นทางของเขายังอีกยาวไกล!
สามวันต่อมาเซียวเฉินไม่ได้ออกจากเรือนแต่อย่างใด จูชิงฮวนและคนอื่น ๆ เองก็ไม่ได้มารบกวนเขา
กระทั่งขอบเขตทะเลทุกข์เสร็จสมบูรณ์ เซียวเฉินจึงออกมาจากเรือน ครุ่นคิดว่าจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตที่สูงกว่าได้อย่างไร
สำหรับเขาการไปถึงขอบเขตสะพานชีวาไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่ยากคือการไปถึงขอบเขตสะพานชีวาอย่างแข็งแกร่งที่สุด
เซียวเฉินหารู้ไม่ว่าลึกลงไปใต้เรือนของเขา มีร่างผอมบางในชุดดำเดินผ่านไปตามอุโมงค์ใต้ดินมืดมิด จุดหมายคือห้องหินแห่งหนึ่ง
นี่ย่อมเป็นห้องหินลับที่สร้างไว้ใต้เรือนของเหล่าผู้อาวุโส ทว่าล่วงเลยมาหลายร้อยปีแล้วก็ยังไม่มีผู้อาวุโสคนใดค้นพบห้องหินแห่งนี้
ทางเข้าอุโมงค์นี้มีน้อยคนนักจะรู้จักและมันก็ยากจะสังเกตเห็น ส่วนห้องหินแห่งนี้อยู่ลึกจากพื้นดินลงไปมาก แม้แต่ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตตำหนักลี้ลับขั้นสูงสุดก็ยังไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของมันได้
"พวกท่านมาเร็วนัก" ร่างผอมบางในชุดดำจุดตะเกียงในห้องหิน เห็นอีกสี่คนในเครื่องแต่งกายเหมือนกันนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใน
"เร็วกว่าเจ้าเล็กน้อย" อีกคนกล่าวเสียงพร่า
พวกเขาทั้งหมดอยู่ในเสื้อคลุมสีดำ อีกทั้งยังก้มศีรษะอยู่ หากเอ่ยปากคงจำกันไม่ได้
"ในเมื่อมาถึงแล้วทำไมไม่จุดไฟเล่า" ร่างผอมบางในชุดดำถามด้วยรอยยิ้ม
"จุดไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด หัวใจก็ยังดำมืดอยู่ดี" เงาร่างสีดำอีกคนพูดขึ้น คราวนี้เป็นเสียงของหญิงสาว
"มีอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถิด" น้ำเสียงชราดังขึ้นจากเงาร่างสีดำคนที่สามภายในห้อง
สิ้นคำผู้แข็งแกร่งในชุดดำหลายคน รวมทั้งร่างผอมบางในชุดดำก็พร้อมใจหันมองคนที่ยังไม่พูด!
"ยามนี้ข่าวรั่วไหลรุนแรง สายลับของฝ่ายตรงข้ามเข้ามาในสำนักแล้ว ข้าอยากลดจำนวนครั้งที่เราพบกันให้น้อยลง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกผู้อื่นจับได้ วันนี้ที่เรียกพวกท่านมาประชุมกันก็เพื่อหารือเกี่ยวกับเด็กหนุ่มในพิธีสอบคัดเลือก"
คนสุดท้ายในคลุมสีดำส่งน้ำเสียงหนักแน่นมีพลัง
"พรสวรรค์และความแข็งแกร่งไม่เลวเลย วิปลาสเหมยรับลูกศิษย์ดีมาคนหนึ่ง แต่เขาจะเทียบกับกายเต๋าโดยกำเนิดได้หรือไม่" ร่างผอมบางในชุดดำถาม
เขาได้เห็นการต่อสู้ของเซียวเฉินในพิธีสอบคัดเลือกทั้งหมด
"ข้าเองก็จะพูดถึงเรื่องนี้ ตามที่ข้ารู้มา เขาและกายเต๋าโดยกำเนิดมาจากเมืองวายุไกล มีความบาดหมางระหว่างกันมากมายนัก" คนสุดท้ายในชุดคลุมดำได้สืบหาที่มาของเซียวเฉิน และเปิดเผยข่าวที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ
"ข้าสนใจเพียงว่าเขาจะเทียบกับกายเต๋าโดยกำเนิดได้หรือไม่ ตระกูลหวังกำลังทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อฝึกฝนนาง" หญิงสาวในชุดคลุมดำพูดด้วยน้ำเสียงกังวล เมื่อกายเต๋าโดยกำเนิดเติบโตขึ้นจะเป็นผู้ไร้เทียมทานในขอบเขตเดียวกัน
"ข้าได้ดูการต่อสู้ของเขาแล้ว ฝีมือของเด็กคนนี้โดดเด่นมาก บางทีเขาอาจจะเป็นลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักสวรรค์ไร้ขอบเขตของเรา หากแม้แต่เขายังไม่สามารถทำให้แผนของเราสำเร็จได้ นั่นก็เป็นโชคชะตาแล้ว!" เสียงสูงวัยกล่าวในเชิงชื่นชมเซียวเฉิน
"พวกท่านเห็นด้วยที่จะให้เซียวเฉินเป็นส่วนหนึ่งของแผนหรือไม่" ร่างผอมบางในชุดดำมองไปที่คนอื่น ๆ
"ข้าไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ต้องทดสอบคุณธรรมและจิตใจของเขาอีกครั้ง เพราะเราไม่อาจพลาดพลั้งได้" หญิงสาวพูดขึ้นอีกครั้ง ทำให้ทุกคนเงียบไป
วางแผนมานานหลายปี หากล้มเหลวแล้วไม่เพียงแต่สำนัก แต่กองกำลังต่าง ๆ มากมายในเมืองไพศาลก็จะประสบหายนะ
"ข้าจะจัดให้มีการทดสอบเพื่อทดสอบคุณธรรมและจิตใจของเขา ตราบใดที่ผ่านการทดสอบได้ ก็จะให้เขาเข้าร่วมแผนการอย่างเป็นทางการ!" คนสุดท้ายกล่าวหลังครุ่นคิด
"ความจงรักภักดีของเขาสำคัญมาก ไม่จำเป็นต้องจงรักภักดีต่อเรา แต่ต้องจงรักภักดีต่อสำนัก จงรักภักดีต่อสำนัก อย่าเป็นเหมือน..." หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบก็ถูกน้ำเสียงชรากล่าวขัด
"อย่าพูดถึงคนทรยศผู้นั้นอีก!"
"วิปลาสเหมยจะยอมให้ลูกศิษย์เป็นส่วนหนึ่งของแผนหรือ" เสียงแหบถามขึ้นในจังหวะนี้
"หากเด็กคนนี้เชื่อถือได้ ข้าจะไปโน้มน้าววิปลาสเหมยเอง"
คนสุดท้ายในชุดคลุมดำลุกขึ้น "เวลาไม่คอยท่า บางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่ให้เวลามากมายนัก ข้ากลัวว่าข้าจะทำให้บรรพบุรุษผิดหวังเหลือเกิน!"
"ทำเต็มที่ก็พอแล้ว ไม่ต้องให้ชื่อเสียงเลื่องลือ ขอเพียงไม่ละอายแก่ใจตนเอง" น้ำเสียงชราค่อยเงียบไปจากห้องหิน และร่างของเขาก็หายไปจากอุโมงค์ใต้ดิน
"ขอเพียงไม่ละอายแก่ใจตนเอง"
ร่างในชุดดำต่างก็พูดทวนประโยคนี้ หากพวกเขาถอดชุดคลุมสีดำออกและเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง ใบหน้าของแต่ละคนก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งแคว้นไพศาลสั่นสะเทือน
ถึงกระนั้นเมื่อพวกเขามารวมตัวกันก็ยังคงรู้สึกหมดหนทางในการทำสิ่งที่ต้องทำ
"หวังว่าเด็กคนนี้จะไม่ทำให้เราผิดหวัง" คนสุดท้ายในชุดคลุมสีดำเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากห้องหิน หลงเหลือไว้เพียงเสียงของเขาที่ยังคงก้องดังอยู่ด้านใน
...
เซียวเฉินในเวลานี้ไม่รับรู้เรื่องราวในห้องหิน เขาฝึกฝนพลังสวรรค์อมตะทั้งคืนแต่ก็ไม่เกิดผลลัพธ์มากนัก
"พลังสวรรค์อมตะ ไม่มีบันทึกวิธีไปถึงขอบเขตสะพานชีวาที่แข็งแกร่งที่สุด"
เซียวเฉินลืมตาขึ้นฉับพลันก่อนส่ายหัวเบา ๆ
การหลอมสะพานชีวาขั้นสูงนั้นยิ่งรากฐานมั่นคงก็ยิ่งแข็งแกร่ง นี่ไม่ใช่ความลับ ศิษย์หลายคนในสำนักรู้กันดี
ทว่าสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว สะพานชีวาของพวกเขามักจะเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับศักยภาพ กำลังภายใน และสายเลือด จะขั้นสูงหรือต่ำนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถควบคุมได้
ทว่ามีบันทึกไว้ว่าหากต้องการฝึกฝนพลังสวรรค์อมตะขั้นต่อไปก็ต้องหลอมสะพานชีวาที่แข็งแกร่งที่สุด มิฉะนั้นจะไม่สามารถทนต่อความรุนแรงของพลังสวรรค์อมตะได้
สิ่งนี้ทำให้เซียวเฉินรู้สึกกังวลเล็กจนนอนไม่หลับทั้งคืน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เซียวเฉินออกจากเรือนเหมยและเดินไปที่หอเรียนของสำนัก
ที่นี่มีหอเรียนหลายสิบแห่ง แต่ละแห่งสอนโดยอาจารย์ที่แตกต่างกัน เนื้อหาที่สอนก็แตกต่างกันไป นักเรียนสามารถเลือกเข้าเรียนได้ตามความต้องการของตนเอง
‘สะพานชีวาขั้นต้น’ เซียวเฉินเห็นป้ายที่แขวนอยู่หน้าหอเรียนแห่งหนึ่ง เขาก้าวเข้าไปด้วยรอยยิ้ม
ทว่าในขณะเขาเดินไป สายตาของศิษย์หลายสิบคนจับจ้องมาที่เขา!