บทที่ 180: นับตั้งแต่ข้าเข้ามาในวัง ข้าเป็นผู้ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดินีแต่เพียงผู้เดียว!
[แฟนเพจBamแปลNiyay:ลงแบบราคาถูกโคตรในmy-novel(ลงช้ากว่าThai-novel100ตอน)กับthai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นนอกจากสองเว็บนี้คือไม่ใช่ผมนะ ถ้าเจอคนอ่านก็อปดันเยอะกว่าก็ท้อเป็นนะครับ]
[ถ้าอ่านฟรีแบบเถื่อนไม่ว่าจะได้มายังไงนั้น ผมไม่ว่าเลยครับ และต่อให้ไม่มีคนอ่าน ผมก็ยังจะแปลต่อจนจบด้วย แต่ถ้าจะจ่ายเงินให้เว็บหรือคนที่copyไปขายอีกที คุณโคตรแย่เลยครับ]
[หลังแปลจบจะมีการแก้คำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น ดังนั้นถ้าคุณอ่านแบบเถื่อน ก็เชิญเลยครับ เพราะมันไม่มีอัพเดทให้หรอก]
บทที่ 180: นับตั้งแต่ข้าเข้ามาในวัง ข้าเป็นผู้ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดินีแต่เพียงผู้เดียว!
“ฝ่าบาท ไฉนเลยจู่ ๆ ถึงประทานของขวัญให้กระหม่อมผู้เป็นเพียงข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยคนนี้? ทั้งที่กระหม่อมมิได้ทำสิ่งใดเป็นอันสำเร็จเลยนะพ่ะย่ะค่ะ!” หลินเป่ยฟานถามด้วยความสบสน
“ท่านขุนนางของข้า ท่านคงไม่รู้อะไรเลย!” จักรพรรดินียิ้มและกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าวดีมา กงแห่งอู๋ซี ระหว่างการแสวงหาสมบัติเซียนเยว่ พวกเขาได้มีความขัดแย้งกับนักล่าสมบัติคนอื่น ๆ จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 200,000 นายและสูญเสียทัพไปมาก ราชวงศ์ต้าเยว่ก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากเรื่องนี้เช่นกัน ซึ่งฟังเช่นไรก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับเราใช่ไหมเล่า? ข้ามีความสุขมาก ดังนั้นข้าจึงอยากให้เรามามีความสุขร่วมกัน!”
"อา เป็นเช่นนั้นเอง!" ทันใดนั้น เหล่าเสนาบดีก็เข้าใจ
ทว่าหลังจากนั้น ความไม่พอใจของพวกเขาก็ผุดขึ้นมากกว่าเดิม แล้วทำไมท่านถึงให้คนมาร่วมมีสุขด้วยแค่คนเดียว? เราทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? พวกเขารู้ว่าจักรพรรดินีลำเอียง แต่นางไม่ควรลำเอียงอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้สิ!
“ฝ่าบาท ถ้าเราทุกคนจะเฉลิมฉลองด้วยกัน ฝ่าบาทก็ไม่สามารถตอบแทนท่านผู้อำนวยการใหญ่เพียงผู้เดียวได้นะพ่ะย่ะค่ะ เราเองก็ยังเป็นข้ารับใช้ผู้ภักดีของท่านด้วย!” เสนาบดีอาวุโสผู้หนึ่งตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ
“พวกเราเหล่าเสนบาดีต่างต้องการการปลอบโยนเช่นกัน ได้โปรดเข้าใจด้วยเถิดฝ่าบาท!” เสนาบดีอาวุโสอีกคนตะโกนเสียงดัง
“ฝ่าบาท ทุกคนควรได้รับรางวัลเช่นกันนะพ่ะย่ะค่ะ!” เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งกล่าวออกมาเช่นกัน
แม้แต่หลินเป่ยฟานก็พูดโพลงออกมาเสริมว่า “ฝ่าบาท ทำไมไม่ให้รางวัลพวกเขาสักหน่อยล่ะ? เหล่าเสนาบาดีและขุนนางผู้น่าเคารพนับถือเหล่านี้ต่างก็ไม่ได้ใช้ชีวิตง่าย ๆ เลยนะพ่ะย่ะค่ะ! โดยเฉพาะคนของทางกรมโยธาและกรมกลาโหม พวกเขาขาดแคลนสินทรัพย์ยิ่ง!”
คนของทางกรมโยธาและกรมกลาโหมต่างเงียบกริบไป
เจ้าก็รู้ว่ามันเป็นเพราะเจ้าไงเล่า ไอ้เจ้าบัดซบ!
เพราะการโน้มน้าวของทุกคน ในที่สุดจักรพรรดินีก็เปลี่ยนใจ “สิ่งที่พวกท่านพูดนั้นถูกต้องอย่างแน่นอน ข้าคงเผลอมองข้ามไป! เนื่องจากเราทุกคนควรมาร่วมยินดีด้วยกัน ข้าคงไม่สามารถให้รางวัลเพียงผู้อำนวยการใหญ่หลินได้เท่านั้น พวกท่านทุกคนที่อยู่ที่นี่สมควรได้รับรางวัลมากมายด้วย!”
ดวงตาของเหล่าเสนาบดีทหารและพลเรือนต่างเบิกกว้างขึ้น ในที่สุด จักรพรรดินีก็เห็นพวกเขาในสายตาเสียที!
พวกเขาจำครั้งล่าสุดที่ได้รับรางวัลไม่ได้ด้วยซ้ำ!
ตั้งแต่หลินเป่ยฟานเข้าร่วมราชสำนัก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้รางวัลอีกเลย!
จักรพรรดินีจะให้รางวัลอะไรกับพวกเขาในครั้งนี้กันนะ?
ทองหรือเงิน?
พวกเขาไม่ได้ขาดสิ่งเหล่านั้นเลย และไม่ต้องการมันด้วย
สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดคือเหล้าชั้นเลิศและอาหารอันโอชะของพระราชวัง...
นั่นเป็นสิ่งที่เงินไม่สามารถซื้อจากข้างนอกได้!
ถ้าพวกเขาได้ลิ้มรสเหล้าชั้นเลิศของวังและได้ลิ้มรสอาหารของวังหลวง พวกเขาก็คงจะพอใจมากเหมือนได้ความอมตะมาครอง!
เมื่อทุกคนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความตื่นเต้นในใจของพวกเขาก็เพิ่มขึ้น
พวกเขายืดคอเหมือนลูกเป็ดที่กำลังรออาหารอย่างใจจดใจจ่อ
“ในช่วงเวลาเช่นนี้ พวกท่านทุกคนคงไม่เพียงแต่มีช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ยังต้องเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก! เช่นนั้นข้าจะใช้โอกาสที่หายากนี้ ด้วยการให้รางวัลพวกท่านอย่างไม่เห็นแก่ตัว เพื่อมาร่วมยินดีกับข้า!” จักรพรรดินีกล่าวเสียงดัง
“ฝ่าบาท ท่านทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก!” เสนาบดีพลเรือนและทหารต่างยิ้มแย้มแจ่มใส
“เพราะอย่างนั้น ข้าจะมอบให้กับเสนาบดีที่น่าเคารพนับถือแต่ละคน …” จักรพรรดินียกนิ้วขึ้นอย่างอ่อนโยน “เป็นเงิน 100 ตำลึง!”
เสนาบดีพลเรือนและทหารต่างเงียบกริบไป
ทุกคนตกตะลึง
เงิน 100 ตำลึง?
พวกเขาจะทำอะไรกับเงิน 100 ตำลึงได้กัน?
มันไม่เพียงพอสำหรับมื้ออาหารด้วยซ้ำ!
มันไม่เพียงพอสำหรับซื้อข้าวมาจุนเจือเลยด้วย!!
ไม่ให้อะไรเลยคงจะดีเสียกว่า!
“ฝ่าบาท คือว่ามีอะไรอีกไหมพ่ะย่ะค่ะ?” ใครบางคนได้ถามออกมาอย่างเหลืออด
จักรพรรดินีส่ายหัว “ไม่มีอะไรอีกแล้ว!”
“แล้วเหล้าที่เป็นรางวัลล่ะพ่ะย่ะค่ะ?” คนผู้หนึ่งถามอย่างไม่คิดจะถอดใจ
“ถ้าอยากดื่มก็ไปซื้อมาสิ! ข้าไม่ได้ให้เงินพวกท่านไปแล้วหรือ?” จักรพรรดินีโบกมืออย่างหมดความอดทน “เอาล่ะ พอได้แล้ว มาเริ่มการประชุมราชสำนักช่วงรุ่งสางกันเถิด! ผู้ที่มีคำร้องสามารถอยู่ต่อได้ ส่วนผู้ที่ไม่มีคำร้องก็ออกไปได้!”
เสนาบดีพลเรือนและทหารต่างเงียบกริบไป
ในตอนเย็น หลินเป่ยฟานกลับมาพร้อมกับกลุ่มขันที
ขันทีถือทองคำ เงิน เครื่องประดับ ผ้าไหมและสิ่งของอื่น ๆ
หลินเป่ยฟานโบกมือพลางกล่าวว่า “ท่านมาที่นี่บ่อยมากแล้ว พวกท่านรู้ว่าจะวางของไว้ที่ไหน ข้าคงไม่จำเป็นต้องบอกท่านอีกต่อไป”
“วางใจได้เลยท่านผู้อำนวยการใหญ่ เรารู้ว่าจะเก็บของไว้ที่ไหน!” พวกเขาตอบกลับมา
พวกเขาวางของล้ำค่าเหล่านี้ไว้ในห้องต่าง ๆ อย่างชำนาญ
หลี่หยูซินพอมาถึง ก็พบว่าภาพตรงหน้านี้ค่อนข้างแปลกพอสมควร
เมื่อเห็นหลินเป่ยฟานถอนหายใจ นางก็ยิ่งงุนงงและถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านผู้อำนวยการใหญ่ มีอะไรกวนใจท่านหรือไม่? ทำไมท่านถึงมีสีหน้ากังวลเช่นนี้?”
หลินเป่ยฟานพยักหน้า “อันที่จริง ข้าเจอเรื่องทุกข์ใจมา!”
“ท่านช่วยเล่าให้ผู้หญิงต่ำต้อยคนนี้ฟังหน่อยได้ไหมเจ้าคะ? บางทีข้าอาจแบ่งเบาภาระของท่านได้!” ดวงตาของหลี่หยูซินเต็มไปด้วยความห่วงใย
หลินเป่ยฟานดูเหมือนจะพบใครบางคนที่ไว้ใจได้ เขาจึงได้ถอนหายใจและกล่าว “แม่นางหยูซิน เจ้าอาจไม่รู้! ตั้งแต่ข้าเข้ามาในวัง ข้าก็กลายเป็นผู้โปรดปรานจากจักรพรรดินีแต่เพียงผู้เดียว! ข้าชี้แนะให้ฝ่าบาทแจกจ่ายรางวัลอย่างเท่าเทียมกัน แต่นางกลับยืนยันว่าจะให้รางวัลแก่ข้าเท่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
หลินเป่ยฟานถอนหายใจอีกครั้ง “ยามนี้ เรือนของข้าไม่อาจเก็บรางวัลทั้งหมดได้อีกต่อไป ข้ารู้สึกเป็นกังวลยิ่ง!”
"หา?" ดวงตาของหลี่หยูซินเบิกกว้างอย่างตกตะลึง
นี่มันปัญหาบ้าบออะไรกัน? มันเป็นสถานการณ์ที่หลายคนต้องการ แต่ไม่อาจทำได้!
ทำไมเขาถึงพูดออกมา ราวกับว่ามันน่ารันทดกันเล่า?
หลี่หยูซินรู้สึกเหมือนถูกหลอก!
นางอยากต่อยหน้าเขาจริง ๆ เลย!
“คิ๊กคิ๊ก!” หลี่ซือซือหัวเราะเบา ๆ ขณะที่นางเดินเข้ามาใกล้อย่างสง่างาม “ท่านสามี ท่านหยอกล้อเล่นเกินไปอีกแล้วนะ! หยูซิน อย่าไปสนใจเขาเลย! บางครั้งสามีของข้ามักพูดอะไรที่ไม่สมเหตุสมผล เขาแค่ล้อเล่น เดี๋ยวก็ชินเอง!”
"โอ้!" หลี่หยูซินพยักหน้า แต่ยังคงสับสน
“แต่ว่ามันยังมีหลายอย่างที่เก็บไม่ได้ และหลายอย่างที่จัดเก็บได้อย่างไม่ถูกต้อง!” หลินเป่ยฟานถอนหายใจ “ยกตัวอย่างเช่น ครีบฉลามและรังนก ของพวกนั้นเปียกชื้นและกินไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ถึงจะเสียดายของดี ๆ แต่หากกินมากไปก็เลี่ยน ช่างน่ารำคาญใจนัก!”
“ข้ารู้สูตรยาสองสามอย่างที่ใช้ครีบฉลามและรังนกเป็นส่วนผสมหลัก ไม่เพียงแต่มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และมีกลิ่นหอมเท่านั้น แต่ยังช่วยบำรุงร่างกายอีกด้วย! ถ้าท่านไม่ว่าอะไร ข้าสามารถทำมันเป็นอาหารโอสถได้นะเจ้าค่ะ!” หลี่หยูซินเสนอ
“แต่เจ้าเป็นแขก ไฉนเลยข้าจะปล่อยให้เจ้าทำเช่นนั้น?” หลินเป่ยฟานตอบกลับไป
“ท่านอาจารย์ใหญ่ ทำไมต้องสุภาพกับสตรีต่ำต้อยผู้นี้ด้วยเล่า?” หลี่หยูซินตอบ
“ท่านสามี หยูซินหาใช่คนแปลกหน้าเสียหน่อย!” หลี่ซือซือดึงมือของหลี่หยูซินและยิ้ม “หยูซิน มาทำอาหารโอสถด้วยกันเถิด ข้าก็สนใจเรื่องนี้เหมือนกัน!”
“ด้วยความยินดีเลยเจ้าค่ะ ท่านหญิง!” หลี่หยูซินตอบตกลง
หญิงสาวทั้งสองพูดคุยและเดินไปด้วยกัน
เมื่อมองดูร่างที่ถอยห่างออกไป หลินเป่ยฟานก็สับสนเล็กน้อย ความสัมพันธ์ของพวกนางดีมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
แต่หลังจากคิดแล้ว เขาก็เข้าใจ
สตรีต่างก็ต้องการสหายสนิท พวกนางคงจะต้องการสหายสนิทกันสินะ
ซึ่งหากต้องหาสหายสนิท การหาคนที่คล้ายกันย่อมดีกว่า
หลี่ซือซือเป็นคนมักรักษาขนบธรรมเนียม ทั้งยังปฏิสัมพันธ์กับสตรีนางอื่นเพียงน้อยนิด กลุ่มคนกลุ่มเดียวที่นางสามารถพูดคุยกันได้อย่างแท้จริงคือท่านหญิงน้อย โม่หรูซวงและเสี่ยวกุ้ย...
หลังจากพิจารณาแล้ว หลี่หยูซินดูจะเหมาะที่สุดแก่การเป็นสหาย
จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจเลยว่าทำไมพวกนางถึงกลายเป็นสหายกัน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา จานโอสถก็มาพร้อมกลิ่นหอมที่ลอยตลบอบอวลในอากาศ
ทันใดนั้น ร่างเล็กก็พุ่งเข้ามาพร้อมตะโกนอย่างตื่นเต้น “ข้ามาแล้ว! เมื่อมีอาหารอร่อย ข้าจะพลาดได้ยังไง?”
ท่านหญิงน้อยนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหม้อใบใหญ่ ดวงตาที่สดใสของนางเบิกกว้างและน้ำลายก็แทบจะไหลออกมา
มือเล็ก ๆ ของนางคันราวกับว่านางกำลังจะล้วงเข้าไปในหม้อได้ทุกเมื่อ
“เวลามีอาหาร ท่านมักจะกระตือรือร้นเสมอเลยนะ แต่ช่วยนั่งให้ดี ๆ ทีเถอะ!” หลินเป่ยฟานดึงนางไปที่โต๊ะ
“ไม่ ขอข้าชิมก่อนสิ!” ท่านหญิงน้อยพูดอย่างไม่เต็มใจนัก
สุดท้าย ทุกคนต่างนั่งอย่างเชื่อฟัง รออาหารอร่อย ๆ มาวางตรงหน้า
“นี่คืออาหารมงคลหยกทองโอสถ มันทำจากหอยเป๋าฮื้อ แตงกวาทะเล กระดูกปลาและส่วนผสมอื่น ๆ แล้วค่อย ๆ ตุ๋นด้วยสมุนไพร ไม่เพียงแต่อุดมไปด้วยสารอาหาร แต่ยังมีรสชาติที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย เชิญเพลิดเพลินกับมันเถิด!” หลินเป่ยฟานอธิบาย
แต่ละคนมีชามของตนเอง ทุกคนต่างลิ้มรสอาหารรสเลิศ
หลินเป่ยฟานยิ้มและกล่าวอีกว่า “จานนี้รวมส่วนผสมทั้งหมดและสมุนไพรเข้าด้วยกัน ทำให้รสชาติของพวกมันผสมผสานและสร้างรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ขึ้น มันเป็นจุดสูงสุดในการทำอาหารก็ว่าได้! อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อเลย! สิ่งนี้ทำให้ข้านึกถึงอาหารที่เรียกว่า ‘พระกระโดดกำแพง '”
“พระกระโดดกำแพง?” ท่านหญิงน้อยที่กำลังยุ่งอยู่กับการรับประทานอาหารก็เงยหน้าขึ้นอย่างสงสัยและถามว่า “นั่นมันอาหารแบบไหนกัน? มันอร่อยไหม?”
ทุกคนเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“พระกระโดดกำแพงทำโดยการตุ๋นส่วนผสมที่หายากต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ด้วยวิธีการเฉพาะ รสชาติอร่อยอย่างย่าเหลือเชื่อและสร้างความประทับใจให้ไม่รู้ลืม! พวกเขาบอกว่ามันหอมมาก จนแม้แต่พระก็ไม่อาจต้านทานการกระโดดข้ามกำแพงเพื่อมากินมันได้ จนมันได้ชื่อนี้มาครอง!”
ทุกคนสนใจมากขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“ทว่าอาหารจานนี้ต้องใช้ส่วนผสมจำนวนมากและกระบวนการนี้มีความซับซ้อนยิ่ง คงใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะได้สักจานหนึ่ง!”
“ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากแต่อย่างใด แค่บอกสูตรมาเถอะ แล้วเดี๋ยวข้าจะหาคนทำให้ในทันที!” ท่านหญิงน้อยกะพริบตาปริบ ๆ พลางเร่งเร้าอย่างกระตือรือร้น
“อย่าเปลี่ยนใจในภายหลังแล้วกัน แต่ก่อนอื่นไปกินอาหารของท่านเองให้หมดก่อนเถอะ!”
“อา ใจร้ายนัก!”
ระหว่างมื้ออาหารนี้ ทุกคนก็มีความสุขทั้งในฐานะเจ้าบ้านและแขก
หลังจากกินและดื่มจนอิ่มแล้ว หลินเป่ยฟานก็นอนบนเก้าอี้โยกอย่างเกียจคร้าน ครุ่นคิดอย่างมีความสุขเกี่ยวกับเรื่องเทือกเขาชิงหลง
ตอนนี้ กองกำลังและยอดฝีมือต่าง ๆ ได้รวมตัวกันในเทือกเขาชิงหลงแล้ว
ทุกคนต่างต่อสู้เพื่อสมบัติเซียนเยว่ มีความขัดแย้งนองเลือดมากมายเกิดขึ้น อีกทั้งกงแห่งอู๋ซีและราชวงศ์ต้าเย่ว์ยังประสบความสูญเสียมากที่สุด
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา กงแห่งอู๋ซีสูญเสียทหารและม้าไป 200,000 นายในขณะที่ราชวงศ์ต้าเยว่สูญเสียไป 150,000 นาย อาจกล่าวได้ว่าเป็นการสูญเสียขั้นหายนะ
… … …
นอกจากนี้แล้ว จำนวนที่ว่ายังเริ่มเพิ่มขึ้นมากเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่ิน
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากการศึกครั้งนี้จบลง กำลังของพวกเขาคงลดลงมากจนไม่อาจร่วมมือกันได้อีก!
หากพวกเขาต้องการระดมกองกำลังของพวกเขา ข้าเกรงว่าพวกเขาอาจจะต้องรอจนถึงปีหน้า!
ในเวลานี้ ความแข็งแกร่งทางทหารของราชวงศ์เซียนเยว่คงได้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งพอที่จะเป็นภัยคุกคามที่อันตรายต่อพวกเขาแล้ว
ทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามความดคิดของเขา
ในขณะนี้เอง หลินเป่ยฟานรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
ศัตรูของเขาทั้งหมดอยู่ในแนวหน้า ต่อสู้และหลั่งเลือดเพื่อสมบัติที่อาจไม่มีอยู่จริง ส่วนตัวเขาก็กำลังสนุกกับการเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง มันช่างเลวร้ายและน่าสาปแช่งนัก เขาจะสามารถทนได้ยังไง?
ถ้าพวกเขารู้เข้า พวกเขาจะไม่โกรธหรอกหรือ?
เช่นนั้นเขาต้องลุกขึ้น!
เขาต้องพยายามให้มากกว่านี้!
อย่างน้อยที่สุด เขาต้องแสร้งทำเป็นพยายามสักหน่อย!
ไม่อย่างนั้น จิตใจของเขาคงไม่อาจสงบลงได้!