บทที่ 169 เจ้าหรือ เป็นอัจฉริยะ!
“ไม่เป็นความจริงแน่นอน!” เฉิงเป้ยเป้ยยืนกราน เมื่อเห็นว่าคนทุกผู้ต่างหันมองตนเป็นตาเดียว ว่าควรเชื่อใครหรือฝ่ายใดกันแน่ที่กล่าวกลับกลอก
แต่เวลานี้ น้ำเสียงที่ยังดื้อรั้นของนางนั้น กลับเริ่มจะสั่นเทาด้วยประหวั่นกลัว “มะ ไม่มีทางที่คนเช่นหยางเสี่ยวเทียน จะผ่านการทดสอบของสมาคมนักปรุงโอสถได้!”
นางไม่เชื่อ จะให้หัวเด็ดตีนขาดยังไงนางก็ไม่มีทางเชื่อ ว่าหยางเสี่ยวเทียนจะสามารถทดสอบ ผ่านการเป็นนักปรุงโอสถของหอสมาคมได้จริง
และไม่มีเพียงเฉิงเป้ยเป้ยเท่านั้น แต่เฉินจื่อหานก็เชื่อไม่ต่างจากนางเช่นกัน
เฉินจื่อหานปรี่เดินออกจากกลุ่ม พร้อมตรงไปหาหยางเสี่ยวเทียนที่กำลังจะลงทะเบียนด้วยแผ่นหยกประจำตัวนักปรุงโอสถระดับหนึ่งดาวของเขาอย่างผู้มีสิทธิ์เช่นคนอื่นๆ
“เดี๋ยวก่อน!” เฉินจื่อหานแทรกกายเข้ามาพร้อมร้องปรามเสียงดัง
เมื่อปรมาจารย์นักปรุงโอสถผู้รับผิดชอบด้านการลงทะเบียนเห็นว่าคือเฉินจื่อหาน เขาก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวอย่างเคารพทันควัน
“คุณหนูเฉิน”
ซึ่งเฉินจื่อหานเพียงหยิบแผ่นหยกประจำตัวนักปรุงโอสถของหยางเสี่ยวเทียน ออกมาตรวจสอบด้วยตนเองโดยพลการขณะพลิกไปมาหาสิ่งผิดปกติ และเอ่ยถามในเวลาเดียวกัน
“หยางเสี่ยวเทียน เจ้าทดสอบเป็นนักปรุงโอสถที่หอสมาคมใด”
หยางเสี่ยวเทียนเหลือบมองยังเฉินจื่อหาน คุณหนูบุตรสตรีขุนนางชั้นสูง ผู้ถือตนเป็นใหญ่กระทั่งทำตัวตามอำเภอใจจนติดนิสัย ทำเขาลอบตั้งคำถามกับตัวเอง ถึงความเหมาะสมของวิธีการวางตัวคนฐานะเช่นนาง ว่านี่หรือชนชั้นผู้ดีมีสกุลเขาปฏิบัติตน
“ข้าสงสัยว่าตำแหน่งเจ้าคืออยู่ในฐานะใดของหอสมาคมนักปรุงโอสถ ข้าถึงจำเป็นต้องตอบเจ้า” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวถามอย่างใจเย็น
ตามกฎของสมาคมนักปรุงโอสถ มีเพียงปรมาจารย์อาวุโสจากหอสมาคมเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์แลมีคุณสมบัติสอบถามเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งนางไม่มีและไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
เฉินจื่อหานที่ได้ยินน้ำเสียงพร้อมสีหน้าเรียบเฉยเช่นนั้นของหยางเสี่ยวเทียน ความรู้สึกเกลียดชังที่มีต่อเขาอยู่มากแล้ว อารมณ์ก็ยิ่งคุกรุ่นด้วยบันดาลโทสะ
ใบหน้าขาวซีดเคล้าชมพู่ดั่งดอกท้อพลันเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ขณะดวงตาเคียดแค้นจ้องมองไปที่หยางเสี่ยวเทียน เด็กชาย ผู้ทำให้นางอารมณ์ขึ้นลงทุกคราเมื่อพบเจอหรือได้ยินนาม
แม้นางจะตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นไร ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติกับแผ่นหยกประจำตัวนักปรุงโอสถระดับหนึ่งดาวของหยางเสี่ยวเทียนตามหวัง
“เป็นดั่งเจ้าหวังไว้หรือไม่” หยางเสี่ยวเทียนเอ่ยถาม ขณะหันมองไปยังปรมาจารย์นักปรุงโอสถผู้ทำหน้าที่ลงทะเบียนด้วยนัยน์ตาเย็นเยียบ หลังละเลยหน้าที่ปฏิบัติตนอย่างไม่เป็นกลาง
ซึ่งทันทีที่ปรมาจารย์นักปรุงโอสถเห็นเช่นนั้น เขาก็พลันก้มหน้าหลบสายตาลนลานอย่างหวาดกลัว ด้วยรู้กิตติศัพท์หยางเสี่ยวเทียนดี
ก่อนรีบยันตัวลุกขึ้น ก้าวไปข้างหน้าหาเฉินจื่อหานด้วยสีหน้าซีดเผือด ขณะนางยังถือแผ่นหยกประจำตัวของหยางเสี่ยวเทียน พลิกมองผ่านไปผ่านมาไม่รับรู้ถึงความกลัวที่เขากำลังเผชิญอยู่เลยสักเล็กน้อย
“คุ คุณหนูเฉิน ข้าขอคืนได้หรือไม่”
เมื่อประสบเห็นท่าทีลำบากใจเช่นนั้นของปรมาจารย์ผู้ลงทะเบียน เพราะคงเกรงกลัวต่ออำนาจนาง เฉินจื่อหานจึงทำได้เพียงส่งมันคืนให้เขาอย่างมิเต็มใจนัก ก่อนยื่นแผ่นหยกประจำตัวของนางให้กับปรมาจารย์นักปรุงโอสถผู้นั้นไปเพื่อลงทะเบียนเช่นกัน
พร้อมหันจ้องมองหยางเสี่ยวเทียน ด้วยสายตาอันโกรธแค้น “หยางเสี่ยวเทียน อย่าได้ภูมิใจนักเลย แม้เจ้าจะผ่านทดสอบเป็นนักปรุงโอสถได้สมดั่งปรารถนาเจ้า!”
“แต่ระหว่างการแข่งขัน ข้าจะสอนบทเรียนให้เจ้าได้รู้แจ้ง ว่าการเป็นอัจฉริยะนักปรุงโอสถหมายความเช่นไร!”
“เช่นนั้นหรือ” หยางเสี่ยวเทียนหันชำเลืองมองเฉินจื่อหาน ก่อนกวาดสายตาลงจากล่างขึ้นบนเชิงเหยียดหยาม “เจ้าหรือ เป็นอัจฉริยะ”
จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินหายไปพร้อมผู้ติดตามทั้งหมด ทิ้งไว้เพียงความคับแค้นใจให้เฉินจื่อหานที่ยังคงยืนนิ่ง หลังได้ประสบกับสายตาดูหมิ่นของสามัญชนเช่นนั้นเป็นครั้งแรก
เฉินจื่อหานเดือดพล่านกระทั่งหน้าอกสั่นไหว ดวงตาแดงก่ำลุกโชนไปด้วยไฟโทสะของนาง จับจ้องตามแผ่นหลังหยางเสี่ยวเทียน ผู้กำลังลับหายไปกับฝูงชนอย่างร้อนรุ่ม
“รอดูไปก่อนเถอะ” กล่าวจบ นางก็หันหลังเดินเข้ารวมกับกลุ่มเฉิงเป้ยเป้ยที่รออยู่อีกด้านทันที
ครั้นหยางเสี่ยวเทียนลงทะเบียนเสร็จ เขาก็เดินเข้าสู้ลานแข่งขันท่ามกลางสายตาอันเบิกกว้าง จากผู้คนที่ได้เห็นเขาปรากฏตัวอย่างไม่มีใครคิดหรือคาดการณ์มาก่อน
“นะ นั่นหยางเสี่ยวเทียน!”
“หยางเสินมีสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันของนักปรุงโอสถระดับหนึ่งดาวด้วย เขาผ่านการทดสอบจากหอสมาคมจริงๆ!”
วันนี้ นอกจากผู้คนของอาณาจักรอื่นแล้ว ยังมีเหล่าอาจารย์และศิษย์เกือบทั้งหมดจากสำนักเสินเจี้ยน ที่มาเฝ้าดูการแข่งขันหลอมโอสถครั้งนี้ ซึ่งครั้นพวกเขาได้เห็นหยางเสี่ยวเทียนย่างกรายเข้าลานแข่งเฉพาะผู้มีสิทธิ์ พวกเขาก็พลันตะลึงลานกันอย่างประหลาดใจ
ซึ่งการปรากฏตัวของหยางเสี่ยวเทียนเพลานี้ ความฮือฮาโกลาหลไม่เพียงเกิดขึ้นเฉพาะกลุ่มอาจารย์และศิษย์ของสำนักเสินเจี้ยนเท่านั้น แต่คนในตระกูลน้อยใหญ่กระทั่งเหล่าวิญญาจารย์พร้อมศิษย์จากสำนักหลักอื่นๆ ยังได้ประสบกับอาการนี้เช่นกัน
รวมทั้งเผิงจื้อกัง เจ้าเมืองเสินเจี้ยนที่ได้รับเชิญเข้าชมการแข่งขันอยู่บนปะรำพิธี ก็สะดุ้งลุกตัวจากที่นั่งด้วยตกใจเช่นกัน หลังได้ยินผู้คนเอ่ยนามนี้ ว่าเขามาร่วมการแข่งขันหลอมโอสถ
ในวันงานเลี้ยงของเขา เฉินจื่อหานถึงกับยืนยันพร้อมสาบานต่อหน้าธารกำนัลชั้นผู้ใหญ่ ว่าหยางเสี่ยวเทียนหลอกหลวงผู้คน เป็นนักปรุงโอสถของหอสมาคมมิใช่หรือ แล้วไฉน วันนี้เขาถึงมีสิทธิ์เข้ามายังลานแข่งขันดั่งคนอื่นได้หากเขาแสร้งจริง
เผิงจื้อกังเผยยิ้มทันที ที่เขายังมิคิดหลงเชื่อกับคำพูดของเฉินจื่อหานทั้งหมด แม้สิ่งที่นางกล่าวครานั้นจะทำเขาเกือบเอนเอียงความนับถือหยางเสี่ยวเทียนไป หากมิคิดตริตรองถึงเรื่องอัศจรรย์ที่เขาสร้าง
ผู้ที่นั่งถัดจากเผิงจื้อกังคือไฉ่ห่าว เจ้าสำนักยวินฮุยและหลัวจวิ้นเผิงรองเจ้าสำนัก
“นั่นคือหยางเสี่ยวเทียน จากสำนักเสินเจี้ยนใช่หรือไม่” ไฉ่ห่าวขมวดคิ้วพร้อมเปิดปากถามหลัวจวิ้นเผิง ขณะมองลงไปที่หยางเสี่ยวเทียน ระหว่างกำลังเดินถึงกลางลานแข่งขัน
“ขอรับ เขาคือหยางเสี่ยวเทียน” หลัวจวิ้นเผิงมีสีหน้าบูดบึ้งน่าเกลียด ด้วยไม่คิดจะได้เจอเด็กผู้นี้
เขาไม่หวังว่านอกจากหยางเสี่ยวเทียนจะมีวิญญาณยุทธคู่ขั้นสูงแล้ว เขาจะมีพรสวรรค์อันน่าทึ่งในทักษะด้านเพลงกระบี่ รวมกระทั่งการหลอมโอสถด้วย
การผ่านบททดสอบเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งดาวของหอสมาคมได้ ทั้งที่อายุเพียงแปดขวบเช่นนี้ เรียกว่าเป็นสัตว์ประหลาดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ท่ามกลางฝูงชน เติ้งอี้ชุนจากสำนักยวินฮุย ที่ได้พบพานกับสีหน้านิ่งเฉยของหยางเสี่ยวเทียนในสถานการณ์แบบนี้ ความรู้สึกชาก็พลันแล่นพล่านไปทั้งกาย ก่อนมาหยุดรวมกันอยู่บนใบหน้า ทำมันเขียวหม่นน่าเกลียดไม่แพ้หลัวจวิ้นเผิงเพลานี้เลย