บทที่ 167 สังเวยเลือดเพื่อพิชิตมัน!
“หากนายน้อยสามารถหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับต่ำได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา เช่นนั้นพรสวรรค์ในการหลอมโอสถของเขา ต้องร้ายกาจอย่างยิ่ง” เฉินเย่หงกล่าว ขณะทำใจให้สงบลง
ภายในเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา ข้าก็ทดสอบเป็นนักปรุงโอสถผ่านได้อย่างรวดเร็ว
สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอาณาจักรมังกรศักดิ์สิทธิ์ นับเป็นประวัติศาสตร์อันน่าจดจำยิ่ง
“พวกเจ้าคิดว่า โอสถวิญญาณหลงหู่ระดับนิรันดร์นายน้อยก็เป็นคนหลอมหรือไม่” ทันใดนั้น หลิวอันก็กล่าว เรื่องอันน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าขึ้นมา ทำทุกคนที่ได้ยินวาจาเช่นนั้นถึงกับสะดุ้งตัวโหยง ใบหน้าซีดเผือด
อูฉีผู้ยังสติครบ ยกมืออันโรยราทุบหัวศิษย์เขาจนเสียงดังฟังชัด ก่อนตวาดหลิวอันในลำคอด้วยความขึ้งโกรธ ที่กล่าวเรื่องพิลึกราวกับมิใช้หัวคิดเช่นนั้นออกมาได้
“คิดบ้าอะไรของเจ้า”
แม้เขาจะเชื่อ ว่าหยางเสี่ยวเทียนสามารถหลอมโอสถสร้างรากฐานระดับต่ำได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม และผ่านทดสอบการนักปรุงโอสถ ซึ่งถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ของประวัติศาสตร์ยิ่ง
แต่หยางเสี่ยวเทียนเพิ่งผ่านทดสอบการนักปรุงโอสถ แล้วเขาจะหลอมโอสถขั้นเซียนเทียน เช่นโอสถวิญญาณหลงหู่ได้อย่างไร
ไม่ต้องกล่าวถึงโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับนิรันดร์เลย ของสิ่งนั้นยิ่งเป็นไปได้ยาก
ขนาดเขาอูฉี นักปรุงโอสถผู้โลดแล่นประสบชีวิตอยู่บนโลกอายุมาจะปูนนี้แล้ว แค่คิดหลอมโอสถระดับนิรันดร์ ยังนับว่าเป็นเรื่องยากแลได้เพียงฝันเท่านั้น
หลิวอันรู้สึกละอายขณะเกาหัวแกรกๆ แล้วกล่าวแก้ตัวกับคำพูดไม่คิดเช่นนั้น “ข้าแค่กล่าวเล่นเฉยๆ”
รุ่งขึ้น หยางเสี่ยวเทียนก็ออกจากจวน มาเยือนหอคัมภีร์ของสำนักเสินเจี้ยนแต่เช้าตรู่
เพราะกลับไปป่าพระจันทร์แดงหนนี้ เขาจะออกล่าหาสัตว์อสูร อยู่เพื่อฝึกมันให้เชื่องสักระยะหนึ่ง ก่อนนำพวกมันใช้เป็นพาหนะประจำตัว
เขาจึงต้องมาที่นี่ หาคัมภีร์เรียนรู้ภาษาของสัตว์อสูรและทักษะควบคุมพวกมันเหล่านั้นในยุคสมัยนี้ ซึ่งหากมีความเชี่ยวชาญที่ว่านี้ เขาจะสามารถพิชิตมันพร้อมสั่งให้ทำตามที่เขาต้องการได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม ความยากในการเรียนรู้ภาษาของสัตว์และทักษะควบคุมมันนั้น ยุ่งยากไม่น้อยไปกว่าการหลอมโอสถเลย ดังนั้น จึงมิค่อยมีคนสามารถเรียนรู้ได้จนทำสำเร็จมากนัก
บนชั้นสี่ของหอคัมภีร์ หยางเสี่ยวเทียนถึงพบคัมภีร์เกี่ยวกับภาษาของสัตว์อสูรและการควบคุมมัน เขาหยิบออกมาทั้งหมด แล้วหาที่นั่งเงียบๆ เปิดอ่านพวกมันทีละเล่มอย่างละเอียด
เนื่องจากทักษะการควบคุมสัตว์อสูร ไม่ค่อยมีผู้ใดให้ความสนใจมากนัก ทั้งหอคัมภีร์ จึงมีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้แค่สิบเล่มเท่านั้น
แต่ก็นับว่าเพียงพอสำหรับหยางเสี่ยวเทียน เขานั่งอ่านพวกมันขณะทำปากขมุบขมิบท่องจำภาษาเหล่านั้นอยู่เงียบๆ
หลังได้อ่านคำแนะนำแลกฎข้องบังคับเกี่ยวกับภาษาสัตว์แล้ว หยางเสี่ยวเทียนก็พยายามออกเสียง ซึ่งใช้วิธีการออกเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของภาษาสัตว์
แม้ครั้งแรก จะฟังดูอึดอันน่าขันด้วยไม่คุ้นเคยเล็กน้อย แต่พอเข้าครั้งที่สอง เขาถึงเริ่มมีความเชี่ยวชาญมากขึ้น
ครึ่งชั่วยามต่อมา ภาษาสัตว์ที่หยางเสี่ยวเทียนพยามพึมพำท่องออกเสียงอยู่บ่อยๆ ก็เริ่มแม่นยำและถูกต้องตามเอกลักษณ์ของมัน
จากนั้นเขาก็อ่านคัมภีร์เล่มที่สองและสาม
กระทั่งคัมภีร์กว่าหนึ่งโหล เกี่ยวกับภาษาและทักษะการควบคุมสัตว์อสูรก็จบลงทั้งหมดอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว
จากการได้อ่านเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ หัวใจหยางเสี่ยวเทียนถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะ ด้วยใคร่อยากทดสอบว่าผลลัพธ์ของการศึกษาพวกมันเหล่านี้ ได้ผลดีตามปรารถนาหรือไม่
ในความเป็นจริง หากมีผู้ใดต้องการควบคุมสัตว์อสูร พวกเขาเหล่านั้นก็แค่เรียนรู้แลศึกษาภาษาของมันให้เข้าใจ เพียงเท่านี้ การจะกำราบพวกมันได้ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
หลังจากนั้นใช้ทักษะควบคุมร่วมกับการใช้ภาษาปราบให้สิ้นพยศ แล้วนำเลือดสังเวยเพื่อพิชิตมัน ก่อนฝึกกระทั่งเชื่อง
ซึ่งหากพลังแห่งจิตวิญญาณของคนผู้นั้นแข็งแกร่งเท่าไร สัตว์อสูรที่อยากได้ครอบครอง ก็จะยิ่งควบคุมได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ปรมาจารย์ผู้สามารถพิชิตสัตว์อสูรส่วนใหญ่ สามารถควบคุมพวกมันได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น
ส่วนปรมาจารย์พิชิตสัตว์อสูรที่สามารถควบคุมสัตว์อสูรได้ถึงสองตัวนั้นหายากมาก หรือแทบไม่มีปรากฏในอาณาจักรนี้เลย
“สงสัยนัก ว่าข้าจะสามารถควบคุมมันได้กี่ตัว” หยางเสี่ยวเทียนพึมพำกับตัวเอง
เขายังคงนั่งท่องจำรายละเอียดทุกคำของภาษาสัตว์อสูรจนเกือบสมบูรณ์ ส่วนทักษะการสังเวยเลือดและฝึกควบคุมมัน เขาก็ศึกษาทุกขั้นตอนกระทั่งจดจำได้ขึ้นใจ
ตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องทำ คือออกล่าหาสัตว์อสูรสักสองสามตัวเพื่อทดสอบมันเท่านั้น
แม้นพลังแห่งจิตวิญญาณของเขาจะแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็ยังใคร่สงสัย ว่าตนจะสามารถควบคุมสัตว์อสูรได้มากถึงสองตัวหรือไม่
เสร็จจากการศึกษาคัมภีร์เกี่ยวกับสัตว์อสูรในหอคัมภีร์แล้ว หยางเสี่ยวเทียนจึงตัดสินใจไปที่ตำหนักกระบี่ เปิดอ่านบันทึกลับของเฉาชุ่น ที่เขาจดรายละเอียดเกี่ยวกับเพลงกระบี่และพลังเวทย์ต่างๆ อันน่าสนใจ
ไม่กี่วันต่อจากนั้น หยางเสี่ยวเทียนจึงได้ฝึกฝนทักษะจากเพลงกระบี่นับร้อย ควบคู่ไปกับเพลงกระบี่ตงเทียน ระหว่างวัน ก็ทำการหลอมโอสถเป็นครั้งคราวหรือออกไปเยือนตำหนักกระบี่ เพื่อศึกษาความลับของทักษะเพลงกระบี่เช่นนี้สืบไป
แต่มีสิ่งหนึ่ง ที่ทำให้หยางเสี่ยวเทียนแปลกใจคือ ในช่วงไม่กี่วันนับแต่เขากลับมา เฉิงเป้ยเป้ยไม่เคยโผล่หน้ามาคอยสร้างปัญหาเหมือนคราที่เขาไม่อยู่เลยสักวัน
เดิมที หากนางมาสร้างปัญหาและทำตัวน่ารำคาญดั่งคราก่อน เขาหวังจะจัดการไล่อีกฝ่ายให้ได้ลิ้มรสความอับอายที่ถูกโยนออกจากจวน อย่างสาสมกับฐานะองค์หญิงเสียหน่อย
แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ปรากฏตัวกระทำหยามเขาเช่นเดิม เขาก็จะเงียบ
หลังผ่านไปไม่กี่วัน ทาสที่เหลือสองร้อยคนทั้งหมด ก็ทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ได้ในที่สุด สิ่งนี้พอทำให้เขารู้สึกสำราญใจขึ้นมาบ้าง
ตอนนี้ หากไม่รวมหลัวชิง เลี่ยวคุน และคนอื่นๆ เขาจะมีวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์นับพันคน อยู่ภายใต้การปกครองของเขา
วันเวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว การแข่งขันหลอมโอสถ ของบรรดานักปรุงโอสถระดับหนึ่งดาวก็มาถึงในที่สุด