ตอนที่ 6 แต่งตั้งพ่อตาเป็นอัครมหาเสนาบดี
“ท่านพ่อ?ท่านจะไปจริงหรือ?”หลังได้รับโองการ บุตรชายของหลี่ฟางก็ดึงเขาและถาม เมืองหลวงกำลังพลุกพล่านและบุตรชายของหลี่ฟางก็ไม่อยากไปเช่นกัน แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือก
หลี่ฟางถอนหายใจ“การเคลื่อนไหวของฝ่าบาทนั้นชัดเจน!”
บุตรชายของหลี่ฟางไม่เก่ง แค่ขุนนางชั้นผู้น้อยในเมืองหลวง แต่ด้วยพ่อที่เป็นราชเลขา ตำแหน่งของเขาจึงสบาย แต่ เมื่อพ่อเกษียณ เขาย่อมต้องกลับบ้านเกิด นี่ทำให้ลูกชายขอองอดีตราชเลขาที่เพลิดเพลินกับเมืองหลวงไม่เต็มใจ
บุตรชายของหลี่ฟางถาม“ชัดเจนอะไร?”
หลี่ฟางถอนหายใจและอธิบายอย่างอดทน“มันชัดเจนแล้วในการเลือกราชเลขาคนใหม่”
“หลินเจี้ยนเฉิง?ชื่อเสียงของเขาไม่ค่อยดีนี่?”
หลี่ฟางมองลูกชายไม่ได้ความและอธิบายอย่างอดทน’หลินเจี้ยนเฉิงเป็นตัวเลือกที่ดี!ฝ่าบาทสายตาเฉียบแหลม หลินเจี้ยนเฉิงคือบัณฑิตที่ฉลาด เป็นจอมปราชญ์ชั้นนำ ซึ่งตรงกับข้อกำหนดของราชเลขาธิการ เขามีคุณสมบัติ”
“เขาคือเสนาบดีกรมพิธีการ เป็นคนจัดการสอบขุนนางหลายครั้ง มีศิษย์และสายสัมพันธ์กระจายทั่วราชสำนัก หลินเจี้ยนเฉิงเชี่ยวชาญระบบราชการ แม้จะมีชื่อเสียงไม่ดีท่ามกลางกลุ่มบัณฑิต แต่กับขุนนางคนอื่น ไม่มีใครกล้าค้าน”
“สำคัญสุด หลินเจี้ยนเฉิงคือพ่อตาของฝ่าบาท ด้วยการสนับสนุนของฝ่าบาท ใครจะกล้าขัด ฉลาดมาก!กลยุทธ์ของฝ่าบาทนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ!”
หลี่ฟางถอนหายใจ รู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วจริงๆ ความเฉียบแหลมทางการเมืองของจักรพรรดิถึงจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมี!ทันใดนั้น หลี่ฟางก็คุกเข่าลง หันหน้าไปทางสุสานของจักรพรรดิผู้ล่วงลับและก้มหัว
“ฝ่าบาท!งานของเราในการช่วยเหลือการปกครองถือว่าสำเร็จแล้ว!ฝ่าบาทไม่ต้องการความช่วยเหลือจากข้าอีก!”
ในขณะเดียวกัน ขันทีเฒ่าก็ส่งโองการยอมรับการลาออกของราชเลขาทั้งสาม ส่วนขันทีอีกกลุ่มก็มาพร้อมพิธีอันยิ่งใหญ่ มาถึงจวนของหลินเจี้ยนเฉิง ขันทีกระจายทรายขาวไปตามทางจากทางเข้าซอยถึงประตูจวนของหลินเจี้ยนเฉิง
ชาวบ้านในซอยนี้เป็นขุนนางักนหมด พอเห็นพิธีใหญ่ พวกเขาก็รู้ว่าจักรพรรดิกำลังแต่งตั้งอัครมหาเสนาบดี!ไม่สิ ในราชวงศ์ต้าเฉียนไม่ถือว่ามีตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีซะทีเดียว มีแค่หัวหน้ากลุ่มราชเลขา แต่ อำนาจของหัวหน้าราชเลขาก็คล้ายกับมหาเสนาบดีอยู่แล้ว
ดังนั้น แรกเริ่มด้วยจักรพรรดิองค์ก่อน พิธีแต่งตั้งหัวหน้าราชเลขาจึงคล้ายกับการแต่งตั้งมหาเสนาบดี กระจายทรายขาวต่อหน้าที่พักของหัวหน้าราชเลขาคนใหม่คือส่วนหนึ่งของพิธี
ต่อมา ขันทีเฒ่าก็นำเสนอโองการผ้าขาว คนมีความรู้ในราชสำนักเข้าใจทันทีว่าจักรพรรดิกำลัง’แต่งตั้งมหาเสนาบดี’!(ต้าเฉียนไม่มีมหาเสนาบดี แต่มีหัวหน้าราชเลขาแทน มีหน้าที่ชี้แนะจักรพรรดิ เป็นที่ปรึกษา และเป็นเสมือนหัตถ์ของจักรพรรดิ สามารถเข้าราชสำนักแทนจักรพรรดิเวลาที่ไม่สะดวก ก็เหมือนอัครมหาเสนาบดี แต่จักรพรรดิองค์ก่อนดันตัดตำแหน่งมหาเสนาบดีไป เลยทำให้เหลือแค่ตำแหน่งหัวหน้าราชเลขา แต่ หลายคนก็ยังติดปากเรียกราชเลขาว่ามหาเสนาบดีอยู่ดีเพราะอำนาจเหมือนกัน ซึ่งความจริงลำดับชั้นขุนนาง ราชเลขาไม่ได้สูงเท่ามหาเสนาบดี แค่หน้าที่ของมันเลยทำให้มีอำนาจ)
โองการผ้าลินินขาวพิเศษนี้ขาวยิ่งกว่าไหมธรรมดา!นี่คือการปฏิบัติเป็นพิเศษต่อหัวหน้าราชเลขา!หลินเจี้ยนเฉิงกลายเป็นหัวหน้าราชเลขาแล้ว!
ถนนเต็มไปด้วยเสียงจอแจ ในขณะเดียวกัน หลินเจี้ยนเฉิงก็รับรายงานจากพ่อบ้านเขา หลินเจี้ยนเฉิงผงะ!เขากลาเยป็นหัวหน้าราชเลขาแล้ว?แต่ไม่ใช่ว่าเขาโดนจักรพรรดิเมินเหรอ?ทำไมจู่ๆถึงเปลี่ยน?
หลินเจี้ยนเฉิงไม่เข้าใจ แต่ขันทีกำลังส่งโองการมาให้เขา เขาจึงแต่งตัวให้เรียบร้อย ก้าวไปในโถง
ขันทีที่มาส่งโองการส่งมอบโองการผ้าขาวให้หลินเจี้ยนเฉิง จากนั้นก็ยิ้ม“ยินดีด้วย ใต้เท้า ท่านเป็นหัวหน้าราชเลขาแล้ว!”
หลินเจี้ยนเฉิงบอกให้พ่อบ้านส่งทองคำและเงินให้ขันที ที่รับมันด้วยรอยยิ้ม เพื่อแสดงความจริงใจต่อหลินเจี้ยนเฉิง ขันทีกระซิบ”ยินดีด้วย ใต้เท้า!ครั้งนี้ ฝ่าบาทอนุมัติการเกษียณของสามราชเลขา รวมถึงหลี่ฟาง และมีการแต่งตั้งราชเลขาใหม่แค่คนเดียว นั่นคือท่าน!’
หลินเจี้ยนเฉิงตะลึง!สามราชเลขาเกษียณ และมีเพียงเขาที่ถูกแต่งตั้งเป็นราชเลขาคนใหม่!สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นน้อยมากในประวัติศาสตร์ หัวหน้าราชเลขาถูกมองเป็นอัครมหาเสนาบดี ผู้อยู่เหนือเสนาบดีทั้งหมด! และอัครมหาเสนาบดีแต่ละคนก็ล้วนทิ้งมรดกที่ไว้ให้คนรุ่นหลังจดจำ!
นี่คือสิ่งที่ขุนนางทั้งหมดใฝ่ฝัน หวังจะจารึกชื่อตัวเอง และได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิ!การมอบหมายอำนาจของทั้งคณะรัฐมนตรีให้คนเดียวเท่ากับการมอบหมายทั้งราชวงศ์ให้หลินเจี้ยนเฉิง!
น้ำตาเอ่อล้นในดวงตาของหลินเจี้ยนเฉิง เป็นเวลาหลายปี จากบัณฑิตที่ทะเยอทะยานสู่การเป็นหัวหน้าราชเลขาในวันนี้
“ฝ่าบาทช่างมีเมตตา ข้าจะตอบแทนมันด้วยหัวใจและความพยายามทั้งหมดของข้า!’หลินเจี้ยนเฉิงก้มหัวไปทางวัง
แต่ เกาหลินเฟิงไม่รู้ว่าการเคลื่อนไหวของเขาได้ทิ้งความประทับใจให้พ่อตา เขาแต่งตั้งหลินเจี้ยนเฉิงคนเดียวเพราะเขาไม่พบว่ามีใครเหมาะสมแล้ว ดังนั้น เขาจึงจะให้หลินเจี้ยนเฉิงดูแลคนเดียวไปก่อน เขาคิดจะหาขุนนางที่มีพรสวรรค์มากขึ้นและส่งไปคณะรัฐมนตรีเพื่อสร้างปัญหาในภายหลัง
ถ้าเกาหลิงเฟิงรู้ว่าหลินเจี้ยนเฉิงกำลังคิดอะไร เขาอาจถอนการแต่งตั้งทันที!แต่ เกาหลิงเฟิงไม่รู้ความคิดของหลินเจี้ยนเฉิงในเวลานี้ เพราะเขากำลังเจอกับการซักถามจากเสี่ยวเต๋อจือและไม่รู้ว่าจะตอบยังไง