ตอนที่ 3 เมินเรื่องของบ้านเมือง
คนส่งข่าวพูดอย่างกลัวๆ“ฝ่าบาทสงสัยเราแล้วจริงหรือ?”
องค์ชายแปดลูบเครา“มันไม่ได้ร้ายแรงนัก!มากสุด ก็แค่อยากบ่มเพาะผู้คุ้มครองส่วนตัว!”
คนส่งข่าวถอนหายใจโล่งอก“แต่ถ้าฝ่าบาททำสำเร็จจริงละ? งั้นเราควรทำเช่นไรกันดีขอรับ!”
องค์ชายแปดหัวเราะและถาม“หวง เจ้าอายุเท่าไรตอนเริ่มฝึกวิชายุทธ์?”
“ข้าเริ่มตอนแปดขวบขอรับ!”
องค์ชายแปดพยักหน้า“ถูกต้อง เจ้าเริ่มตอนแปด และยังเป็นนักรบขั้นสาม ขันทีนั่นอายุยี่สิบแล้ว จะไปเรียนรู้อะไรได้?”
“มันต้องใช้เวลาเป็นสิบปีเพื่อบ่มเพาะขันทีพวกนั้น!ข้าไม่เชื่อว่าขันทีนั่นจะเป็นอัจฉริยะด้านการบ่มเพาะ!”
สุดท้ายหวงก็หัวเราะ
…
ในวัง เสี่ยวเต๋อจือยิ้มให้ขันทีที่มาส่งเขา จากนั้นก็ปิดประตู ขันทีระดับเขา เสี่ยวเต๋อจือมีห้องอิสระในวัง จักรพรรดิยังบอกเขาให้ไม่ต้องไปราชสำนักและอนุญาตให้พักฟื้น
พอคิดถึงน้ำใจของฝ่าบาท เขาก็คุกเข่าอย่างหนัก ก้มกราบไปทางวังของเกาหลิงเฟิงเก้าที
“บุญคุณของฝ่าบาท ต่อให้ข้าต้องตาย ก็ไม่มีวันทดแทนได้!’ด้วยหน้าผากที่บวมจากการกระแทกพื้นเก้าที เสี่ยวเต๋อจือเช็ดน้ำตาและสาบาน”ข้าจะฝึกฝนให้หนักเพื่อรับใช้ฝ่าบาท!’
ในขณะเดียวกัน ในวังไท่ฉือที่จักรพรรดิพำนัก เกาหลิงเฟิงนอนบนเตียง เล่นกับรางวัลที่เขาได้รับจากระบบ
[เม็ดยาหวนคืน : เม็ดยาขั้นสูงที่จะเพิ่มฐานบ่มเพาะ!(หมายเหตุ ผลจะลดลงถ้าใช้ซ้ำ และไม่อาจใช้เพื่อทะลวงผ่านระดับยอดยุทธ์ได้!)
มันเป็นขวดที่ทำจากหยกขาว บรรจุเม็ดยายี่สิบเม็ด เกาหลิงเฟิงได้บ่มเพาะถึงนักรบขั้นเจ็ดแล้ว แม้กระทั่งตอนยังเป็นองค์บชาย เขาก็โดนพ่อรบเร้าให้ฝึก ‘วิชาจักรพรรดิเหลือง’
นี่คือวิชาที่สร้างโดยจักรพรรดิที่หนึ่งและเป็นวิชาลับที่ถ่ายทอดภายในราชวงศ์!มีเพียงผู้ที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์ถึงฝึกได้ มันยังเป็นวิชาเดียวในวังที่สามารถฝึกจนถึงระดับยอดยุทธ์!
จักรพรรดิหนึ่งเองคือยอดยุทธ์ แต่ การเป็นจักรพรรดิทำให้จดจ่อกับการฝึกไม่ได้ นอกจากจักรพรรดิที่หนึ่ง ไม่มีจักรพรรดิใดที่สามารถทำลายผ่านอาณาจักรยอดยุทธ์ได้อีก
บันทึกการทำลายโชคชะตาที่ระบบมอบให้คือวิชาที่จะฝึกฝนได้โดยการลดค่าโชคลาภบ้านเมือง ต่อไป มันถึงเวลาที่จะลอดเม็ดยาหวนคืน! เขาเปิดจุก กลิ่นหอมยาโชย เกาหลิงเฟิงหยิบเม็ดยาและกลืน
บูม!
พลังปราณแท้จริงไหลลงคอเขา ไหลไปตามเส้นปราณ เกาหลิงเฟิงรีบหมุนเวียนมันตามเคล็ดวิชาจักรพรรดิเหลืองและหมุนเวียนพลังทั่วตัว
นักรบขั้นหก!สุดยอด!ผลมันดีจริง!ทะลวงต่อ!
ในโลกที่มีผู้บ่มเพาะ ยิ่งระดับบ่มเพาะสูง ยิ่งปลอดภัย เขาคือคนที่ถูกลิขิตให้เป็นเซียน!เขาไม่อาจโดนมือสังหารฆ่าได้!
นักรบขั้นห้า!
ขั้นสี่!
นักรบขั้นสาม!
กิน กิน กิน!
นักรบขั้นสอง!
นักรบขั้นหนึ่ง!
พลังปราณแท้จริงของวิชาจักรพรรดิเหลืองหมุนเวียนภายในทุกจุดชีพจรของตัวเกาหลิงเฟิง เขารู้สึกว่าร่างกายเขากลายเป็นแข็งเหมืองเกราะเหล็ก! วิชาจักรพรรดิเหลืองถูกมองงเป็นวิชาสายป้องกันอันดับหนึ่งในโลก!
ข้าชอบ!การเป็นจักรพรรดิโดยปราศจากการนำทัพ! ความปลอดภัยมาก่อน! วิชากระดองเต่านี้สุดยอด!
ผลของยาหมด และสุดท้ายเกาหลิงเฟิงก็เข้าสู่อาณาจักรนักรบขั้นหนึ่ง กลายเป็นยอดฝีมือชั้นนำ กลิ่นอายของเขายับยั้ง พลังปราณแท้จริงซ่อนภายในเส้นปราณ เว้นแต่จะเป็นยอดยุทธ์ ไม่มีทางจะสัมผัสถึงระดับของเกาหลิงเฟิงได้
พอเห็นว่ายังเหลือยาอีกห้าเม็ด เกาหลิงเฟิงก็เก็บ ผลิตภัณฑ์ของระบบดีจริงๆ ถ้าเม็ดยาเช่นนี้ปรากฏในโลกบ่มเพาะ เหล่าประมุขสำนักต่างๆจะสู้เพื่อมัน
เกาหลิงเฟิงหาวและงีบหน่อย หลังจากนั้นขันทีก็มาพาเข้าราชสำนักตอนเช้า ขุนนางฝ่ายบุ๋นทางซ้าย ฝ่ายบู๊ทางขวา ที่ยืนแถวแรกท่ามกลางเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นคือผู้อาวุโสใบหน้าคล้ายเกาหลิงเฟิง อาของเขา องค์ชายแปด เกาฉี!
ด้านข้างองค์ชายแปดคืออัครมหาเสนาบดีและราชเลขาคนปัจจุบัน หลี่ฟาง!ภายใต้บัญชาของหลี่เฟิงคือสองรองราชเลขา จางซือกับหวงจง ทั้งสามคนนี้เป็นเสนาบดีที่มีชื่อเสียงที่จักรพรรดิองค์ก่อนทิ้งไว้เพื่อช่วยในการปกครอง
ที่นำขุนนางฝ่ายทหารคือหยางเทียนอู่ แม่ทัพเซินอู่แห่งราชวงศ์ต้าเฉียน!เขาไม่ใช่แค่ผู้นำขุนนางทหาร แต่ยังเป็นผู้นำของขุนนาง!
ตามปกติ ราชสำนักยามเช้าจะคล้ายกับตลาดแสนวุ่นวาย ทุกคนจะเถียงกัน ขุนนางฝ่ายบุ๋นเถียงกันเอง ฝ่ายบู๊ก็เถียงกันเอง จากนั้นสองฝั่งจะแบ่งเป็นสองฝ่าย และเริ่มเถียงใหม่ เกาหลิงเฟิงพบว่ามันน่ารำคาญ คนเหล่านี้ไม่เคยหยุดเถียงกัน!
“เงียบ!’เกาหลิงเฟิงทนไม่ไหวอีกและคำราม สุดท้ายทั้งราชสำนักก็เงียบ เกาหลิงเฟิงประกาศ”สำหรับวันนี้ ทุกคนไปได้แล้ว!”
ทุกคนอึ้ง ไม่มีการประชุมยามเช้า?
.”กลับวัง!’เกาหลิงเฟิงยืนและเดิน การเป็นจักรพรรดิช่างเพลิดเพลิน!
และยิ่งดีเมื่อมีระบบ[ละเลยเรื่องของบ้านเมือง : -1000 โชคลาภ!]
[ขอแสดงความยินดีกับท่านที่ประสบความสำเร็จ ‘ จากวันนี้ไป ราชาไม่ต้องเข้าร่วมราชสำนักยามเช้า’และได้รับรางวัล’กระบี่น้ำพุมังกร!]
สุดยอด!หายไปอีกพัน และได้รับรางวัล ยิงนกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว
ใต้บัลลังก์ องค์ชายแปดกับมหาเสนาบดีหลี่ฟางสบตากัน ทั้งสองมีรอยยิ้ม